จักรวรรดิกาลอเรียเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล ประกอบไปด้วยอาณาจักรน้อยใหญ่มากมาย ที่ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศแตกต่างกันไปตั้งแต่หนาวสุดขั้วไปจนถึงร้อนสุดขีด ผู้คนนั้นยิ่งมีหลากหลายเผ่าพันธุ์มากมายด้วยวัฒนธรรม
แต่จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่แห่งนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่อาณาจักรแห่งหนึ่ง นั่นก็คืออาณาจักรฟาร์เมียดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่พื้นที่ทั้งหมดที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก และอยู่อาศัย ยังคงมีพื้นที่ทุรกันดารผสมกันไปตามแต่ธรรมชาติจะรังสรรค์
หนึ่งในนั้นก็คือเทือกเขาใหญ่แห่งหนึ่ง อันเป็นปราการธรรมชาติ และประตูจากภาคกลางลงไปสู่ภาคใต้ของอาณาจักร เทือกเขาคูเลบราแนวภูเขาหินที่ทอดตัวยาว และคดเคี้ยวดั่งอสรพิษ ตั้งแต่ทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก อย่างกับว่าเทือกเขานี้คือกำแพงใหญ่แบ่งแยกเหนือใต้อย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็ด้วยธรรมชาติสร้างมา ยังคงมีทั้งพื้นที่ราบ และพื้นที่แนวเขาต่ำอยู่หลายแห่งท่ามกลางเทือกเขายาวแห่งนี้ การสัญจรไปมาจากทั้งสองด้านของเทือกเขาจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น ผู้คนในอาณาจักรฟาร์เมียจึงยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอมา
แม้ว่าสำหรับคนต่างถิ่นต่างแดนที่ไม่คุ้นเคยเส้นทางแล้ว ก็จะมีปัญหาอยู่บ้างเล็กๆน้อยๆ
หญิงสาวผมยาวสีน้ำเงินมัดรวมเป็นหางม้ากำลังเดินไปตามเส้นทางบนภูเขาหินที่ทั้งแคบ และลาดชัน แม้ว่าเธอจะสวมเครื่องแต่งกายที่ทะมัดทะแมงเหมาะแก่การเคลื่อนไหว แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทางตลอดทั้งคืนจนกระทั่งเช้า ก็ทำให้การเดินอย่างมั่นคงนั้นยากลำบากกว่าปกติ
สุดท้ายเธอจึงต้องยอมแพ้นั่งพักใต้ร่มของชะง่อนหินใหญ่ ที่ยื่นออกมาจากหน้าผาริมทาง หญิงสาวไม่สนใจมารยาทใดๆ เธอล้มลงนอนไปกับพื้นแล้วพิงผนังหินที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินอย่างหมดแรง ไม่เพียงแค่ร่างกายเท่านั้นจิตใจของเธอก็อ่อนล้าเช่นกัน แต่ด้วยอยู่ท่ามกลางทางสัญจรแบบนี้เธอจึงไม่อาจหลับได้
ด้วยความกังวลใจมากมายหลังผ่านการเดินทางหลบหนีไม่หยุดพัก ทั้งการทิ้งเพื่อนร่วมทางให้ถูกจับตัวไปโดยคนแปลกหน้า ทั้งพบกับคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจจนเธอจำเป็นต้องใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับสูงเพื่อหลบหนี แต่ก็ยากเย็นเหลือเกินกว่าจะหลุดพ้นมาได้
“แกร็ก แกร็ก” เสียงเหมือนกำลังมีใครเดินมาตามทางที่เต็มไปด้วยกรวดหิน
“ใครน่ะ!” หญิงสาวผมน้ำเงินที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นต้องรีบลุกขึ้นมา พร้อมตะโกนออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าตนรู้ตัวแล้ว(เพื่ออะไร?) ตอนนี้ในมือของเธอกำมีดสั้นประดับไพลินสีฟ้าแน่น
“เอิ่ม…ข้าก็แค่คนที่เดินผ่านมาขอรับ” เด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบในชุดผ้าหยาบๆ บนหัวของเขาโพกผ้าเอาไว้แน่นหนา แม้ว่าการแต่งกายจะเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป แต่ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดอย่างกับลูกผู้ดี ซึ่งดูแล้วขัดกันอย่างชัดเจน และดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์นั้นก็ดูไม่เป็นพิษภัยแม้แต่น้อย
หญิงสาวผมน้ำเงินจดจ้องไปที่เด็กน้อยพร้อมกับคิดพิจารณาสักครู่
‘แม้ว่าร่างกายจะเป็นเด็ก แต่สมองของเขาอาจจะเป็นผู้ใหญ่ เอ้ย! นี่ข้าคิดอะไรอยู่เนี่ย แม้ว่าเด็กคนนี้มีท่าทางอะไรแปลกๆ แต่ก็ดูไม่มีประสงค์ร้าย คงต้องลองถามดูก่อนสินะ’
“พี่สาวขอรับ ข้าขอนั่งด้วยได้ไหม?” เด็กชายกล่าวขออนุญาตด้วยความสุภาพ
“อืม…ได้สิ แล้วเจ้ามาจากไหนล่ะ ตลอดทางริมหน้าผาไม่มีทางแยกเลย และข้าก็ไม่เห็นจะมีใครตามมาเลย เจ้าโผล่มาจากไหนกัน?” หญิงสาวถามเด็กน้อยไปตามตรง เพราะเธอคิดว่าเด็กคงจะไม่โกหก และแถวนี้อาจจะมีเส้นทางเล็กๆไปที่หมู่บ้านที่เธออาจมองพลาดไป
“หมู่บ้านของข้าอยู่ด้านบนขอรับ” เด็กน้อยเหยียดแขนชี้นิ้วขึ้นบนเพดานหิน
“ด้านบน? บนเขาเหรอ? แล้วเจ้าลงมาได้อย่างไร ข้าไม่เห็นทางเดินอื่นเลยสักเส้น?” หญิงสาวยิ่งงงไปใหญ่ เพราะตลอดทางที่วิ่งมาเธอไม่เห็นหมู่บ้านหรือทางแยกใดๆเลย แล้วเด็กน้อยที่มาจากด้านบนนั่นคือที่ไหนกันแน่
เด็กชายยังไม่ตอบ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวดุจดั่งจะอ่านใจให้รู้ความนัย แล้วเขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อที่อยู่ตรงหน้าท้อง แล้วหยิบเอาแซนด์วิชออกมาชิ้นหนึ่งพร้อมกับยื่นมันไปให้หญิงสาวตรงหน้า
“พี่สาวหิวไหม? กินนี่ก่อนสิขอรับ”
“เอ้ะ! เจ้าหยิบมันออกมาจากกระเป๋านั่นเหรอ?” หญิงสาวประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น กระเป๋าเสื้อแบนๆตรงหน้าท้องนั่นเก็บแซนด์วิชชิ้นโตนี้ไว้ได้ยังไง
“ถ้าท่านไม่กิน งั้นข้าจะกินแล้วนะ” เด็กชายในชุดซอมซ่ออ้าปากกว้างเตรียมจะงับแซนด์วิชในมือทันที โดยไม่รีรอคำตอบจากหญิงสาวผู้ผ่านความยากลำบากมาตลอดคืน
“เดี๋ยว! ข้าจะกินด้วย แบ่งให้ข้าครึ่งนึงนะ” ไม่รอช้าหลังห้ามเด็กน้อยสำเร็จเธอก็รีบคว้าแซนด์วิชครึ่งหนึ่งจากเขามากัดกินอย่างหิวโหยทันที
นอกจากแซนด์วิชแล้วเด็กชายยังหยิบอาหาร ขนม และเครื่องดื่มออกมาเรื่อยๆจนกินอิ่ม แต่ก็ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้นหญิงสาวก็ได้รับผลพลอยได้กินจนอิ่มไปด้วยเช่นกัน ทั้งสองไม่ได้พูดจากันมาก หลังจากกินอาหารเสร็จก็นั่งพักใต้ชะง่อนผานั้นจนหลับไปทั้งคู่
เวลาล่วงเลยเข้าถึงยามสาย แสงสว่างในหุบเขาสะท้อนก้อนหินสีขาวจนสว่างจ้าแสบตา หญิงสาวผมสีน้ำเงินจึงต้องลืมตาตื่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อมองสำรวจไปทั่วที่พักไม่เห็นเด็กชายตัวน้อยเธอจึงร้องเรียกด้วยความกระวนกระวาย
“เจ้าหนูๆ หายไปไหนแล้ว!”
“ข้าอยู่นี่ขอรับ” เสียงของเด็กชายดังขึ้นเหนือศีรษะของหญิงสาว ไม่ใช่เพราะว่าเขาเกาะเพดานหินอยู่ แต่เป็นเพราะเขาขึ้นไปนั่งอยู่ด้านบนชะง่อนหินนั้นต่างหาก
หญิงสาวรีบวิ่งออกมาด้านนอกร่มเงาหิน แล้วปีนเหลี่ยมหน้าผาขึ้นไปเล็กน้อยก็ขึ้นมาถึงบนชะง่อนหินที่เด็กชายนั่งอยู่ได้ ตอนนี้ในใจเธอรู้สึกโล่งอกที่เด็กน้อยไม่ได้หายไปไหน หัวใจของเธอรู้สึกพองโตอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเด็กชายใสซื่อที่เพิ่งเจอกันคนนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น
เธอเข้าไปนั่งข้างๆเด็กชาย เมื่อเห็นเขาทอดสายตามองไปไกลหญิงสาวก็มองตามไปบ้าง ทิศทางนั้นก็คือหุบเขาทางทิศใต้นั่นเอง
“เจ้าอยากไปนี่นั่นเหรอ?” หญิงสาวกล่าวถามเด็กชายด้วยความอยากรู้
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่อยากรู้ว่าทางใต้นั้นมีอะไรเท่านั้น” เด็กชายซอมซ่อยังคงมองออกไป และกล่าวตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา
“แหมๆ เจ้านี่มักน้อยเสียจริง ถ้าเป็นข้าหากอยากจะไปที่ไหน ข้าต้องขวนขวายที่จะไปให้จงได้ เฮ้อ! แต่ว่าทางใต้ที่เจ้าเห็นนั้นกำลังเกิดสงคราม การต่อสู้ของผู้คนมากมายที่ผลาญชีวิตกัน และกันเพื่ออำนาจ ทรัพย์สิน แต่พ่อของข้าบอกว่าสิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้กับชีวิตของคนเราหรอกนะ ชีวิตเรานี่แหละสำคัญที่สุด” หญิงสาวยิ่งกล่าวออกมา น้ำตาของเธอก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วพี่สาวยังจะไปทางนั้นอยู่เหรอ?” จู่ๆเด็กน้อยก็กล่าวถามขึ้นมาอย่างกับรู้ใจ
“หืม! เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าจะไปที่นั่น? อ้อใช่ เพราะข้าบอกเจ้าว่ามาจากทางถนนเส้นนี้สินะ อืม…แม้ว่าทางใต้ของที่นี่จะมีสงคราม แต่หากเจ้าเดินทางผ่านพ้นพื้นที่การต่อสู้นี้ลงไปจนถึงชายทะเล และล่องเรือข้ามไปที่ทวีปอีกฟากหนึ่ง เจ้าก็จะได้พบดินแดนอันสวยงาม และสงบสุขยังไงล่ะ” หญิงสาวผมน้ำเงินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงคิดถึงสุดใจ
รอยยิ้มงดงามของหญิงสาวเผยออกมา จิตใจล่องลอยออกไปยังดินแดนแสนไกล อาการเหม่อลอยท่ามกลางสายลมที่พัดเส้นผมของสาวงามให้ปลิวไสว หากมีชายหนุ่มอยู่ตรงนี้คงจะอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความงามของเธอ ที่เป็นดั่งเจ้าหญิงตกยากร่อนเร่หนีข้าศึกไปเรื่อยๆ แต่ตรงนี้มีเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น
“แต่พี่สาวท่านต้องผ่านอันตรายมากมายเลยนะกว่าจะไปถึงที่นั่น” เป็นอีกครั้งที่เด็กน้อยพูดขัดบรรยากาศ
“ข้าไปไม่ถึงพื้นที่สงครามหรอก แค่ลงจากเทือกเขาคูเลบรานี้ไปก็จะถึงเมืองที่เหล่าสหายของข้าอยู่แล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็จะกลับขึ้นเหนือไปอีกครั้ง อืม…ข้าชื่อว่าเทลล่า แอนนา อควาเรียส แล้วชื่อของเจ้าล่ะ?” หญิงสาวหันมาตอบกลับเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พร้อมแนะนำตัวเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“ข้าชื่อ แพนดั้น ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยบอกชื่อพร้อมด้วยรอยยิ้มอันใสซื่อบริสุทธิ์
MANGA DISCUSSION