เกษียณทหารแล้วไปทำฟาร์มที่ต่างโลก - ตอนที่ 175
พื้นดินตรงหน้าของภามค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปด้านข้างเรื่อยๆ จุดที่เนื้อดินหายไปนั้นกลายเป็นหลุมที่กว้างขึ้น และลึกลงไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้ง นี่ไม่ใช่เวทมนตร์สำหรับแยกแผ่นดินเหมือนแผ่นดินไหว แต่เป็นการย้ายดินออก คล้ายกับการขุดหลุมมากกว่า มันทั้งเบา และดูธรรมดามากๆ
แต่สำหรับผู้ฝึกฝนเวทมนตร์นั้นรู้ดีว่าการควบคุมมานาให้แสดงผลของเวทย์อย่างละเอียดอ่อนทุกขั้นตอนแบบนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก มีเพียงผู้ที่มีพลังจิตแข็งกล้าหรือไม่ก็ผู้ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในธาตุธรรมชาติเท่านั้นที่จะทำได้เช่นเดียวกับภาม
ถ้าเป็นจอมเวทย์คนอื่นคงจะใช้คาถาสร้างแผ่นดินไหวเพื่อแยกแผ่นดินตรงหน้าออกมาแล้ว แต่นั่นก็จะทำให้เกิดเสียงดัง แรงสั่นสะเทือน รวมทั้งวัตถุใต้ดินที่ต้องการอาจเสียหายไปด้วย หรือหากเป็นอัศวินเวทย์เหมือนกับทีเรียนก็ไม่มีพลังพอจะใช้คาถาแผ่นดินไหว การใช้จอบขุดยังเร็วเสียกว่าวิธีของภาม
ตอนนี้ปากหลุมกว้าง และลึกขึ้นมากอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกองดินสูงที่ขึ้นมาอยู่แทนที่ว่างด้านบน เพียงไม่กี่นาทีคนทั้งหมดในโกดังก็เริ่มเห็นแสงสว่างสีฟ้าอ่อนๆ เรืองออกมาจากก้นหลุมที่ลึกถึง 20 เมตรพอดี ตามที่ลูแชงค์ได้ให้ข้อมูลไว้ตั้งแต่แรก ทุกคนต่างตกตะลึงยกเว้นภามผู้ที่ใช้เวทย์ขุดดินเพียงคนเดียว
“ลูแชงค์ครอบครัวเจ้าที่เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา เหตุใดจึงรู้ว่ามีผลึกเวทย์ถูกฝังอยู่ที่นี่ได้?” จอมเวทย์ชุดดำหยุดการขุดลงกลางคัน แล้วหันไปถามชายหนุ่มผมทองที่กำลังจับจ้องแสงสีฟ้าไม่กะพริบตา
“เอ่อ…คือ…มีจอมเวทย์ผู้หนึ่งมาบอกกับพ่อของข้า ตั้งแต่ตอนที่ข้าเพิ่งอายุ 5 ขวบขอรับ แต่ท่านพ่อก็ไม่ได้เชื่อทันที ผ่านไปปีกว่าจึงได้หาอุปกรณ์เวทย์มาตรวจสอบ ซึ่งเขาก็ได้ลองขุดดินลึกลงไปเพื่อตรวจจับพลังเวทย์ และสามารถรับรู้การคงอยู่ของมันได้ แต่เพราะกลัวปัญหาจึงก็ไม่กล้าเอาขึ้นมาขอรับ” ลูแชงค์เล่าออกมาตามตรงจากสิ่งที่รับรู้มาจากบิดาอีกทีหนึ่ง
“แล้วจอมเวทย์ผู้นั้นเป็นใครกัน?” เจ้าของโกดังคนปัจจุบันถามต่อ
“ท่านพ่อก็ไม่ทราบเพราะนางแค่มาบอกเขาแล้วก็จากไปทันที แต่ที่ท่านพ่อจำได้ก็คือ นางเป็นหญิงชราผมขาวในชุดคลุมจอมเวทย์สูงศักดิ์สีน้ำเงินขอรับ” ตัวตนของจอมเวทย์ที่ลูแชงค์กล่าวมาไม่อยู่ในความทรงจำของภามเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเจ้าของกิจการขนส่งนั้นย่อมมีผู้ช่วยที่มีความรู้อยู่หลายคน เขาจึงเลือกที่จะถามดีกว่าคิดหาคำตอบที่ตัวเองไม่รู้อยู่อย่างนั้น
“ทีเรียน เรญ่า ตระกูลสูงศักดิ์ที่มีสีประจำตระกูลสีน้ำเงิน คือตระกูลอะไร บอกข้อมูลทั้งหมดมาหน่อยสิ” ภามคาดเดาว่าจะต้องมีตระกูลที่ว่าแน่นอน จึงได้ถามออกไปเช่นนั้น
“มีอยู่สองตระกูลที่ใช้สีน้ำเงิน แต่เป็นคนละเฉดสีขอรับ หนึ่งคือตระกูลอินดิโก้จากดินแดนตะวันออกเฉียงใต้ ทำการค้าเกี่ยวกับผ้าเป็นหลัก และอีกหนึ่งคือตระกูลแซฟไฟร์แห่งชายแดนตะวันตกซึ่งมีเหมืองไพลิน ซึ่งเป็นอัญมณีเวทย์ธาตุน้ำบริสุทธิ์ขอรับ” อัศวินเวทย์นั้นจำเป็นต้องจดจำสัญลักษณ์ของขุนนางใหญ่ทุกตระกูลในจักรวรรดิให้ได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทีเรียนจะรู้เรื่องนี้
“อืม…อย่างนั้นจะมีโอกาสเป็นจอมเวทย์จากตระกูลแซฟไฟร์มากกว่าสินะ เพราะมีเหมืองหินเวทย์อยู่กับตัว จอมเวทย์ของพวกเขาน่าจะแข็งแกร่ง” ภามลองวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้
เรญ่าที่พยายามคิดอยู่นานในที่สุดก็กล่าวขึ้นเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างออก แต่ท่าทางของหญิงสาวผมดำนั้นดูจะเป็นกังวลอยู่บ้าง
“แต่ยังมีอีกตระกูลที่แข็งแกร่งไม่แพ้ตระกูลแซฟไฟร์อยู่อีกเจ้าค่ะ”
“หืม?…ตระกูลอะไรรึ?” ภามเริ่มสนใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ตระกูลอควาเรียสแห่งอาซูเรีย” หญิงสาวตอบด้วยสีหน้า และนำเสียงจริงจัง
“ว่าไงนะ! จะเป็นไปได้รึ? พวกเขาจะมาถึงที่เมืองฟลอริสตี้เชียวเหรอ? ระยะทางมันไม่ใช่ใกล้ๆเลยนะ แล้วยิ่งเป็นจอมเวทย์ชั้นสูงแบบนั้น จะต้องมีการบันทึกไว้ในฐานะแขกของจักรวรรดิอย่างแน่นอน แต่ข้าที่ศึกษาข้อมูลด้านนี้มาโดยตรง กลับไม่เคยเห็นมีการพูดถึงความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างสองจักรวรรดิมาก่อน” ทีเรียนกล่าวขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เมื่อกล่าวถึงตระกูลนี้
“เอิ่ม…ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าพูดเรื่องอะไร อธิบายมาหน่อยได้ไหม?” ภามกล่าวถามแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย
“ราชวงศ์อควาเรียส แห่งจักรวรรดิทะเลใต้อาซูเรีย เป็นจักรวรรดิที่เข้มแข็งด้านการรบเป็นอย่างมาก ดินแดนนั่นตั้งอยู่บนทวีปทางใต้ โดยมีทะเลแซกส์ขวางกั้นระหว่างจักรวรรดิกาลอเรียของเรากับดินแดนแห่งนั้นเอาไว้เจ้าค่ะ” เรญ่าอธิบายถึงความสำคัญของตระกูลนี้ออกมานั่นทำให้ทุกคนถึงกับเครียด
ส่วนภามนั้นกลับคิดต่างออกไป เพราะเรื่องการปรากฏตัวของจอมเวทย์ลึกลับคนนั้นก็นานมากแล้ว จนปัจจุบันนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวของจักรวรรดิอาซูเรียแม้แต่น้อย ถึงแม้สงครามจะเกิดที่ทางใต้ของกาลอเรีย แต่มันก็ยังไม่เกี่ยวข้องกับดินแดนอีกฟากของทะเลอยู่ดี
“เอาล่ะพอก่อน ตอนนี้เราควรจะรีบนำหินเวทย์นี้ขึ้นมาให้เร็วที่สุดจะดีกว่า เรญ่าติดตั้งประตูมิติทันที หลังจากที่ข้านำมันขึ้นมาเพื่อไม่ให้จอมเวทย์ในเมืองนี้สัมผัสถึงพลังมหาศาลของมันได้ เราต้องเคลื่อนย้ายมันให้เร็วที่สุด” ภามสั่งการเสร็จ เขาก็ใช้พลังควบคุมพื้นดินต่อทันที นอกจากผลึกเวทย์ก้อนใหญ่จะค่อยๆลอยขึ้นมาแล้ว ปากหลุมก็กว้างขึ้นมากเรื่อยๆ
“รับทราบเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบรับคำสั่งผู้เป็นนาย พร้อมกับหยิบกล่องโลหะสี่เหลี่ยมขนาดพอดีมือออกมาจากกระเป๋าคาดเอว และนำไปวางไว้ตรงที่ว่าง ซึ่งภามได้เว้นเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้
เพียงเรญ่ากดปุ่มเล็กๆที่ข้างกล่องกลไกก็ทำงานทันที ฝากล่องเปิดออกเป็นสี่แฉก จากนั้นทั้งเสาโลหะ และชิ้นส่วนมากมายก็ยืดขยายออกมาจากกล่องอย่างน่าอัศจรรย์ มันมีขนาดใหญ่กว่ากล่องใบเล็กนั้นนับพันเท่า ทุกชิ้นส่วนก็ประกอบร่างกันจนเข้าที่อย่างสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเองจนเสร็จสิ้น
ปรากฏเป็นซุ้มประตูวงแหวนโลหะกลมขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนที่ติดอยู่กับพื้นนั้นดูเหมือนฝังลงไปในพื้นคล้ายกับซุ้มครึ่งวงกลมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ลวดลายอักขระอาคมที่สลักอยู่บนวงแหวนโลหะเรืองแสงสีฟ้าเจิดจ้า เหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะทำงานได้ตลอดเวลา
สำหรับชายชาวเมืองฟลอริสตี้ทั้งสามที่เห็นการปรากฏขึ้นของประตูมิติ ก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเพราะสิ่งนี้มันน่าอัศจรรย์ไม่ต่างจากผลึกเวทย์ก้อนยักษ์ด้านล่างเลยแม้แต่น้อย อุปกรณ์เวทย์ที่ขยายขนาดจากเล็กเป็นใหญ่อย่างนี้ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนอย่างแน่นอน และที่สำคัญพลังที่เปล่งออกมานั้นมหาศาล
และยังไม่ทันที่ทั้งสามจะหายตะลึง ผลึกเวทย์ยักษ์ก็โผล่พ้นดินขึ้นมาลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว ขนาดมันใหญ่โตกว่าที่จินตนาการเอาไว้หลายเท่าเลยทีเดียว ซึ่งแสงอ่อนๆสีฟ้าที่เรืองออกมายิ่งทำให้ศิลาพลังงานเวทย์ก้อนนี้ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เรญ่า ติดต่อไปหาท่านอองรีให้เตรียมรับของ แล้วเดินเครื่องเปิดประตูมิติได้!” เจ้าของกิจการขนส่งสั่งการในขณะที่เขาใช้สองมือสร้างพลังสีเขียวขึ้นมาประคองหินยักษ์ให้ลอยขึ้นอย่างมั่นคง
ผู้ช่วยสาวหลังจากติดต่อไปที่ปลายทางด้วยบัตรประจำตัวของเธอแล้ว ก็เข้าไปกดปุ่มสองสามทีที่แท่นควบคุมของประตูมิติ เพียงเสี้ยววินาทีที่ระบบสั่งการ ม่านพลังสีฟ้าก็ก่อตัวขึ้นภายในวงแหวนดุจระลอกคลื่นบนผิวน้ำ แสงสว่างจ้าสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าการเชื่อมต่อของมิตินั้นพร้อมแล้ว
“การเชื่อมต่อพร้อมแล้วเจ้าค่ะท่านภาม” หญิงสาวให้สัญญาณกับเจ้านาย
“ดี! เรญ่าควบคุมความเสถียรของประตูไว้ให้ดี เพราะหินเวทย์นี่มีมีพลังมหาศาล มันจะต้องรบกวนระบบแน่ๆ อย่าให้พลาดเชียวล่ะ” ภามเน้นย้ำปฏิบัติการส่งของผ่านมิติในครั้งนี้เป็นพิเศษ
“รับทราบเจ้าค่ะ” หลังจากตอบรับ เรญ่าก็หันกลับไปดูหน้าจอแผงควบคุม โดยไม่คลาดสายตา
ภามผลักดันพลังส่งผลึกเรืองแสงสีฟ้าเข้าสู่ประตูมิติอย่างช้าๆ ซึ่งดูเหมือนว่าขนาดของมันจะใหญ่กว่าซุ้มประตูโลหะไปสักเล็กน้อย แต่การเตรียมการมาอย่างดีก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เรญ่าปรับปุ่มดึงคันโยกเล็กน้อยขนาดประตูก็กว้างขึ้นจนเกือบสุดขอบผนัง และคานโกดังเลยทีเดียว
และนั่นก็ทำให้ผลึกเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกาลอเรีย ผ่านประตูมิติเข้าไปได้อย่างง่ายดาย จนเมื่อแสงสีฟ้าของประตูมิติดับลงทุกอย่างก็กลับมาสลัวเหมือนเดิมอย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น