21.00 น. ณ สำนักงานกลุ่มโอเมก้า
เวลานี้อาคารแห่งนี้เงียบสงัดเพราะเป็นเวลาค่ำคืนที่ปิดทำการแล้ว ชายหนุ่มภายใต้ชุดแบทเทิลสูทรัดรูปสีดำ กับหมวกเหล็กราชสีห์ทมิฬกำลังแกะเมมโมรี่การ์ดในกล้องวงจรปิด พร้อมเปลี่ยนการ์ดอันใหม่แทนที่อันเก่า เพราะนี่ก็ครบเวลาสามวันที่ความจำในการ์ดบันทึกข้อมูลนี้จะเต็ม
หลังจากจัดการจนเสร็จก็เป็นเวลาเดียวกับที่มีร่างเงาดำพุ่งเข้ามาจากหน้าต่างที่ด้านหลังของภาม แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด เพราะผู้มาใหม่นั้นก็คือคนที่เขาได้นัดหมายเอาไว้แล้ว เขาหันกลับไปช้าๆเพื่อกล่าวทักทายหญิงสาวผู้มาเยือนที่ยืนนิ่งไป
“เป็นอะไรไปเรญ่า?” เพียงถอดหน้ากากออกเกราะหัวทั้งหมดก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในหน้ากากราชสีห์ทมิฬอย่างกับสายน้ำไหล ด้วยเทคโนโลยีนาโนแมชชีน น้ำเสียงเขาเหมือนประหลาดใจกับท่าทางของเธอ
“อ้ะ!…ข้าแค่รู้สึกไม่คุ้นเคยที่ท่านสวมชุดนี้” แม้แบทเทิลสูทสีดำรัดรูปจะเสริมเกราะเหล็กบางส่วน และอยู่ในที่มืด แต่แสงจันทร์บางๆนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มดูองอาจทรงพลังเป็นอย่างมาก แตกต่างกับชาวไร่หนุ่มที่เธอรู้จักอย่างกับเป็นคนละคน โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในความมืดภามจึงไม่เห็นหน้าแดงๆของเรญ่า
“เฮ้อ! คนอื่นก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แต่นี่เป็นชุดสำหรับต่อสู้ที่ข้าใช้คล่องที่สุด มันถูกสร้างขึ้นจากชุดต้นแบบสมัยที่ข้ายังเป็นทหารอยู่ ที่สำคัญมันยังถูกพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเก่าอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว ตอนแรกข้าก็อยากจะสร้างให้พวกเจ้าใช้ด้วยแต่คงจะไม่กล้าใส่กันสินะ ฮะๆ” แม้แต่นักฆ่าที่ต้องการความคล่องตัวอย่างเรญ่ายังรู้สึกแปลกๆกับชุดรัดรูป ยิ่งไม่ต้องถามเลยว่าหญิงสาวคนอื่นจะคิดอย่างไร
“เอ่อ…ท่านภามเจ้าคะ ท่านเรียกข้ามาคุยที่นี่มันจะไม่เสี่ยงให้ยามด้านนอกได้ยินหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวผมดำสงสัยกับท่าทางคราวนี้ของภาม เพราะครั้งก่อนที่มาติดกล้องวงจรปิดพวกเขายังต้องระวังตัวไม่ให้มีเสียงดังเล็ดรอดออกไป
“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ข้าใช้อุปกรณ์เวทย์ป้องกันเสียงเอาไว้แล้ว ที่ต้องเรียกเจ้ามาเพราะข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยเท่านั้น…” ภามอธิบายออพชันเสริมของชุดแบทเทิลสูทให้หญิงสาวฟังจากนั้นก็เข้าเรื่องธุระที่นัดมาคุยกัน
สิ่งแรกก็คือภามอยากรู้ความคืบหน้าในการสืบข่าวของเรญ่าที่เธอได้ทำมาในสามวันนี้ รวมทั้งตัวตนของเหล่านักฆ่าของโอเมก้าจากส่วนกลางที่ชายหนุ่มเพิ่งได้รับข่าวมาจากแอดเลอร์ และรีบแจ้งให้นักฆ่าสาวไปหาข้อมูลอย่างเร่งด่วน
ซึ่งหญิงสาวก็ทำได้สำเร็จนอกจากภารกิจแรกที่ให้ตามหาที่อยู่ และจับตาการเคลื่อนไหวกลุ่มนักฆ่าของฮาเซลไว้แล้ว ยังได้ข้อมูลอย่างละเอียดของนักฆ่าจากส่วนกลางมาด้วย หลังจากไปสอบถามจากชายอ้วนนามว่าดอมที่เป็นผู้ประสานงานก่อนหน้านี้
ทำให้ได้รู้ว่านักฆ่าจากส่วนกลางที่ถูกส่งมาเป็นชาย 3 คน พวกเขาอยู่ใน 10 อันดับแรกขององค์กร เรียกว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือสูงมากสามารถใช้เวทมนตร์ได้ และยังมีอุปกรณ์เวทย์ติดตัวอีกด้วย หน้าที่ของพวกเขาคือสังหารอดีตทหารของดยุคเรโคลเต้ให้หมด ตอนนี้ทั้งสามกำลังแยกย้ายกันสืบข่าวของเป้าหมายอยู่
ซึ่งจากข้อมูลของดอมที่เขารู้ก็บอกมาทั้งหมดแล้ว ส่วนแผนการที่ทั้งสามวางแผนเอาไว้กลุ่มโอเมก้าสาขาเมืองฮาเวสตี้นั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ เพราะการทำงานของทั้งสามค่อนข้างอิสระ และตัดสินใจกันเองได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง แต่ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกอย่างที่ดอมบังเอิญได้รับรู้มา
นั่นก็คือฟาร์มลึกลับของภามกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่กลุ่มโอเมก้าจะต้องครอบครองให้ได้โดยเร็ว ซึ่งสิ่งนี้อยู่เหนือการควบคุมของฮาเซลไปแล้ว และดูเหมือนว่าส่วนกลางจะไม่มั่นใจในฝีมือของฮาเซล จึงตัดสินใจจะส่งนักฆ่าฝีมือดีรวมทั้งกองทัพนักฆ่าจำนวนมากเพื่อเข้ายึดพื้นที่ให้ได้
“หึ! ถ้าพวกมันกล้าก็ให้พวกมันเข้ามา!” หลังจากฟังเรื่องราวจากเรญ่าจนจบ ภามก็โมโหขึ้นมาเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ไม่อาจสั่นคลอนความมั่นใจที่ชายหนุ่มมีต่อตัวเอง และทุกคนในฟาร์มไปได้
“ท่านภามมั่นใจหรือไม่ว่าพวกมันจะผ่านม่านพลังเข้ามาไม่ได้?” เรญ่ายังคงไม่ค่อยรู้จักม่านพลังหมอกมายาที่ล้อมรอบฟาร์มดีนักจึงถามออกไป
“ข้ามั่นใจในความสามารถสมาชิกของฟาร์มเราต่างหาก ถึงแม้จะเรียกว่าม่านพลังแต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้ป้องกันการเข้ามาของคนภายนอกโดยตรง หมอกมายานี้จะส่งผู้ที่เข้ามาให้ทะลุผ่านไปด้านหนึ่งของหมอกเท่านั้น เปรียบเสมือนประตูมิตินั่นแหละแต่มันก็มีช่องว่างเล็กๆอยู่ พวกสัตว์จากภายนอกก็เคยหลุดเข้ามาหลายครั้งแล้ว” เจ้าของฟาร์มเล่าออกมาตามตรง
“อย่างนั้นก็หมายความว่า ศัตรูก็สามารถเข้ามาในฟาร์มได้หากพวกเขาบังเอิญพบกับช่องว่างมิตินั้นสินะ อืม…เพราะอย่างนั้นท่านถึงบอกว่ามั่นใจในความสามารถของสมาชิกในฟาร์มมากกว่า และนี่คงเป็นสาเหตุที่ท่านคอยฝึกพวกเด็กๆมาตลอดด้วย” เรญ่าเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้ไม่ยาก แม้ว่าเธอจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ด้วยประสบการณ์การต่อสู้เธอก็รู้เรื่องนักเวทย์ และอุปกรณ์เวทย์เป็นอย่างดี
“ใช่แล้วเป็นแบบนั้นแหละ แต่การจะเข้ามาในฟาร์มได้นั้นไม่ต่างจากการสุ่ม ถึงพวกเขามาพร้อมกันเป็นร้อยเป็นพัน แต่การจะเข้ามาคงได้แค่ทีละคนเท่านั้น แม้ว่าจะมีฝีมือเก่งกาจเท่าไรก็คงจะถูกพวกเรารุมเล่นงานยับแน่นอน นี่ยังไม่รวมถึงสัญญาณเตือนภัย และระบบป้องกันที่ข้าติดตั้งไว้แล้วด้วย” เจ้าของฟาร์มกล่าวอย่างภาคภูมิใจในการเตรียมพร้อมของตน
“แหะๆ ถ้าท่านเตรียมพร้อมขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ว่าแต่ท่านภามเรียกข้ามาที่นี่คงไม่ใช่เพียงแค่ฟังรายงานเท่านั้นสินะเจ้าคะ” หลังจากจากเห็นเปลวไฟที่ลุกโชนในดวงตาของภาม ที่แสดงถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมแม้ว่าจะอยู่ในที่มืดก็ตาม เธอก็ไม่ต้องกังวลกับการรับมือผู้บุกรุกอีก จึงถามเรื่องต่อไป
“เราสองคนจะไปเมืองฟลอริสตี้ เพื่อเปิดกิจการใหม่กัน!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความมั่นใจภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องกระทบใบหน้าเข้ามา
ณ โกดังเก็บสินค้า ฟาร์มกลางหุบเขาลึกลับ
แสงจันทร์ยามรัตติกาลของฟาร์มแสนอบอุ่นแห่งนี้ยังคงส่องแสงจ้าเข้ามาภายในโกดัง ในฝั่งที่ถูกจัดไว้เป็นโรงแปรรูปไม้สำหรับงานช่าง แต่ไม่เพียงแค่แสงจันทร์เท่านั้น แสงไฟนีออนภายในนี้ยังส่องสว่างให้คนด้านในสามารถทำงานยามค่ำคืนกันได้สะดวกสบาย
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้กำลังทำงานกัน แต่กำลังนั่งประชุมหารืองานกันมากกว่า เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเด็กๆ และผู้ไม่เกี่ยวข้อง พวกเขาจึงใช้ที่นี่เป็นห้องประชุมชั่วคราวแทนโรงอาหารพนักงาน
“ได้ขอรับ รับทราบขอรับ พวกเราจะดูแลทางนี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับท่านภาม”อดีต บารอนอองรีที่ถือการ์ดประจำตัวสำหรับเข้าออกฟาร์มอยู่ ได้นำมันกลับไปใส่ในเสื้อหลังจากพูดคุยกับภามผ่านการสื่อสารโดยการ์ดเสร็จสิ้น
“ท่านภามว่าอย่างไรบ้างท่านอองรี” อลันที่อยู่ด้านข้างกล่าวถาม
“ตอนนี้เขากำลังบินไปเมืองฟลอริสตี้กับเรญ่า” แม้ว่าชายชราจะสนทนากับเจ้านายอยู่นาน แต่เขากลับตอบคำถามมาสั้นๆ แล้วเหลือบมองไปยังวานีล มีอา และบีดีเลียที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาเพื่อสังเกตปฏิกิริยาสักครู่ เมื่อไม่มีใครแสดงอารมณ์ร้อนใจใดๆออกมาเขาจึงกล่าวต่อ
“อะแฮ่ม…เรื่องนั้นเป็นแผนการที่เรารู้อยู่แล้ว แต่อีกเรื่องสำคัญที่ท่านภามแจ้งมาก็คือนักฆ่ายอดฝีมือจากส่วนกลางของโอเมก้า พร้อมด้วยกองทัพนักฆ่าจำนวนหนึ่งจะเข้ายึดที่นี่ และพวกมันก็ออกเดินทางจากเมืองหลวงมาแล้ว” ชายชรากล่าวไปแล้วหยุดเพียงเท่านี้เพื่อให้ทุกคนคิดตามสักครู่
แม้ว่าสีหน้าจะดูเคร่งเครียดขึ้นมาบ้าง แต่คนในที่ประชุมนี่ต่างก็รู้ดีว่าการป้องกันของฟาร์มนั้นมีหลายชั้น และยากจะเข้ามาได้พร้อมกัน รวมทั้งมั่นใจในความสามารถของตัวเอง จึงไม่ได้กล่าวอะไรแล้วรับฟังต่อ
“แต่เรื่องเร่งด่วนก็คือนักฆ่าระดับสูงที่ส่วนกลางส่งมาก่อนหน้านี้กำลังไล่ล่า อดีตทหารของท่านดยุคอยู่ พวกเราต้องรีบไปช่วยพวกเขาให้เร็วที่สุด!” กล่าวจบอองรีก็หันไปมองแอดเลอร์ และเบ็นที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
MANGA DISCUSSION