เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 58 หน้าด้านไร้ยางอาย
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า?” เกาฟู่ส่วยพอเห็นฉินจิ่วเกอลงมือ ตนก็ไม่น้อยหน้า คว้ามาได้กำหนึ่งก็ยัดเข้าปาก ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่สู้เขา!” สองพี่น้องแซ่ม่อตะโกนให้กำลังใจอย่างอ่อนแรง หากในใจกลับหวังให้เกาฟู่ส่วยพริกติดคอตายไปเสีย
“จะเกิดเรื่องไหมนะ” เหิงโหย่วเฉียนกังวลใจจนอยู่ไม่สุข กลับได้ยินเสียงหัวเราะของอาวุโสสองดังแทรกขึ้น “จะกลัวไปไย อย่างมากก็แค่เผ็ดตาย บนโลกนี้มีใครบ้างไม่ตาย?”
เหิงโหย่วเฉียนตะลึงงัน เหลือบตามองอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “อาวุโสท่านนี้ ช่างมองทะลุซึ้งจริงๆ”
“คนเราต้องมองไปข้างหน้า อีกวันก็คือเช้าวันใหม่ที่สวยงาม คนที่ตายไปแล้วจะยังนับเป็นอะไรอีก” อาวุโสสองสั่งสอนด้วยท่วงด่าปลอดโปร่งดั่งผู้ทรงภูมิ
“เผ็ด!”
ฉินจิ่วเกอกินไปเป่าปากไป รู้สึกเหมือนมีใครมาก่อไฟอยู่ในปาก
ความร้อนแผดผลาญแพร่จากลำคอลงสู่หลอดลมก่อนกระจายลงตับไตไส้พุงจนลามไปทั่วทุกส่วนในร่างกาย
ณ ตอนนี้ ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าตนเองเหมือนหงส์อัคคีที่เกิดใหม่จากกองเพลิง ไม่ก็ปูลวกแดงสดตัวหนึ่ง ทุกเซลล์ในร่างกายล้วนกระปรี้กระเปร่า
“ศิษย์พี่ใหญ่สู้เขา!” ศิษย์น้องเล็กส่งเสียเชียร์ แววตาทอประกายหยอกล้อ นางวางแผนไว้นานแล้ว
ฉินจิ่วเกอปาดน้ำตาป้อยๆ ลิ้นไม่รับรู้รสชาติอะไรอีกแล้ว ศีรษะก็คล้ายจะระเบิด มองดูตะกร้าพริกแดงเถือกที่ปลายเท้า พบว่าตนเพิ่งกินไปไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วน
เหลือบมองเกาฟู่ส่วย อีกฝ่ายคล้ายฮอร์โมนสูบฉีด คนกินอย่างหน้ามืดตามัวจนแทบจะกลืนลงไปทั้งตะกร้าอยู่แล้ว
ฉินจิ่วเกอพลันบังเกิดความเลื่อมใสในตัวอีกฝ่ายขึ้นมา ที่แท้ก็มีดีเหมือนกัน กินพริกเสมือนกินเยลลี่ ไม่เชื่อก็ดูสีหน้าหวาดผวาของเจ้าอ้วนน่าตายตอนนี้สิ มันที่กินไม่เลือกยังไม่กินของพวกนี้เลย
เสมือนกลัวคนมาแย่งกิน เกาฟู่ส่วยคุกเข่าติดพื้น ศีรษะมุดหายลงไปในตะกร้า เหลือไว้เพียงแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวอ้างว้างไว้ให้คนดูได้ชม
“เจ้าเด็กนี่ อีกหน่อยคงได้ดิบได้ดีแน่!” อาวุโสสองเอ่ยชม แต่ก่อนอื่นมันต้องไม่เผ็ดตายไปเสียก่อน
เหิงโหย่วเฉียนตอบ “หามิได้ๆ ศิษย์พรรคเราแต่ไรมาก็เป็นพวกบากบั่นไม่ย่อท้ออยู่แล้ว”
วกกลับไปมองฉินจิ่วเกอ เห็นอีกฝ่ายกำลังพักจิบน้ำสบายเฉิบ ท่าทีเหมือนไม่แยแสการแข่งขันที่กำลังเป็นไปอย่างรุ่มร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
เห็นฉินจิ่วเกอที่ดื่มน้ำจนเต็มกระเพาะเช่นนี้ เหิงโหย่วเฉียนฉงนสงสัย ชี้นิ้วถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่กินต่อ?”
ฉินจิ่วเกอยกมือเช็ดเหงื่อ ปากแทบจะพ่นไฟออกมา “ท่านจะไปเข้าใจอะไร ปู่น้อยผู้นี้มีกระบวนท่ากลืนนทีขุนเขาอยู่ ตอนนี้กำลังรวบรวมพลัง!”
“เอางั้นก็ได้ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะกลืนนทีขุนเขาได้อย่างไร!” เหิงโหย่วเฉียนเบิกตาจ้องฉินจิ่วเกอโดยไม่ละสายตา กลัวว่าอีกฝ่ายจะเล่นลวดลาย แอบหยิบเม็ดพริกเอาไปซ่อน
ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ฉินจิ่วเกอทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอันผ่าเผย ไม่คิดแข่งต่ออีกแล้ว
จริงน้า แค่ยอมแพ้เสียก็สิ้นเรื่อง
เพราะถึงยังไงชนะก็ได้สามพัน แพ้ก็เสียสามพัน เท่ากับว่าเท่าทุนพอดี
ไม่สิ พรรคหลิงเซียวเล่นงานม่อไซ่เจี่ยงม่อไซ่ถีสองพี่น้องถึงสองรอบ ทั้งยังบีบให้พวกมันลงสัญญาลูกหนี้ แล้วไหนจะยังเหยียบหน้าพรรคจอกประกายสิทธิ์ไว้แทบเท้าอีก
กำไรสามพันศิลาวิญญาณ ทั้งยังให้ศิษย์น้องทุกคนได้ร่วมสนุกครื้นเครง คำนวณดูแล้วนับว่าไม่ขาดทุน
เชื่อว่าหากบอกกล่าวเรื่องบัญชีหนี้ให้อาวุโสสามฟัง แม้จะเป็นอาวุโสสามผู้พิถีพิถันในการคำนวณวางแผนยังไม่อาจแสดงความเห็นเป็นอื่นได้
ฉินจิ่วเกอสองมือไพล่หลังศีรษะ จ้องมองเกาฟู่ส่วยที่กำลังกระเสือกกระสนด้วยแววตาเวทนาจับใจ แทบจะบอกกล่าวความจริงออกไปอยู่แล้ว
สุดท้าย วีรชนเสียสละบากบั่นจนประสบผล เกาฟู่ส่วยพอกินพริกเม็ดสุดท้ายในตะกร้าเสร็จ ท้องของมันก็บวมเป่งดั่งลูกแตง ใบหน้าหูเหอล้วนแดงเห่อไปหมด
เกาฟู่ส่วยชันกายขึ้นยืนอย่างยากลำบาก สองขาสั่นไหวจวนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ยามลมพัดนัยน์ตาแสบสันจนแทบน้ำตาไหล หากก็ยังพยายามปั้นสีหน้าของผู้ชนะเอาไว้สุดกำลัง
ผู้ชมรอบด้านต่างเงียบเป็นเป่าสาก ไม่ทราบกำลังตกตะลึงหรือชื่นชมอยู่กันแน่
“เอาเถอะ เอาเป็นว่าข้าขอยอมแพ้ก็แล้วกัน” ฉินจิ่วเกอไม่มีความละอายแม้แต่น้อย ยกชูธงขาวจากใจ
“เจ้า เจ้าไม่ได้กินเลยรึ?” เกาฟู่ส่วยแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ไหนล่ะความเป็นสุภาพบุรุษ เจ้าทำตัวเป็นอันธพาลยอมแพ้ไปเช่นนี้น่ะหรือ?
ฉินจิ่วเกอกล่าว “ศิษย์พี่เกาช่างปราดเปรื่องสามารถจริงๆ พริกปริมาณยี่สิบจินกลับหายลงท้องท่านไปหมด ข้ายอมรับหมดใจเลยจริงๆ สำหรับการแข่งขันนั้น ข้าเองก็กินพริกลงไปถึงครึ่งฝ่ามือ ถือว่าเป็นการให้เกียรติท่านแล้ว จริงสิ ดูปากที่บวมเจ่อของท่าน ทางที่ดีควรรีบไปตามหมอมาจะดีกว่า”
ศิษย์น้องเล็กยืนอยู่ด้านข้าง การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนลานประลองไม่อาจเล็ดลอดสายตาคมวาวของนางไปได้แม้แต่นิดเดียว
จริงดั่งคาด ศิษย์น้องเล็กคาดเดาถึงผลลัพธ์นี้ไว้แต่แรกแล้ว ซึ่งสอดคล้องตรงกันกับพฤติการณ์ในระยะหลังของศิษย์พี่ใหญ่พอดิบพอดี
ความรักทำให้คนตามืดบอด ศิษย์พี่ใหญ่ทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ต้องเปลืองแรงลงมือเอง ยังสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยเชาวน์ปัญญา นับว่าปราดเปรื่องเป็นอย่างยิ่ง
“พรวด!” เกาฟู่ส่วยกระอักเลือดออกจากปาก พร้อมกับน้ำกระเพาะที่มีลิ่มเลือดปนออกมาอีกหลายคำ อุณหภูมิร้อนสูงจนแม้แต่พื้นยังต้องส่งเสียงร้อนฉ่า
“เจ้าหลอกข้า!”
เกาฟู่ส่วยท้ายที่สุดก็มองออก การตัดใจยอมแพ้อย่างเด็ดเดี่ยวของฉินจิ่วเกอไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมใดๆ เลย
ที่จริงจะแพ้หรือไม่ พรรคจอกประกายสิทธิ์ก็ยังเป็นฝ่ายเสียหายอยู่ดี เหมือนกับลิงที่ถูกปั่นหัวไปมา ที่เลวร้ายกว่าก็คือความอัปยศทางจิตใจอันแสนสาหัส
“เจ้า ข้าขอประลองกับเจ้าใหม่อีกครั้ง!” เกาฟู่ส่วยตวาดด้วยอารมณ์ มันไม่ยินยอมอย่างที่สุด พริกปริมาณยี่สิบจิน แค่คิดยังต้องขนลุก แต่ตนกลับกลืนลงท้องไปทั้งหมด
เคราะห์ดีที่ตนคือยอดยุทธ์ชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุด หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น น่ากลัวว่าป่านนี้คงสลบเหมือดได้แต่นอนคอยความช่วยเหลือไปแล้ว
“แข่งอีก? เดิมพันด้วยศิลาวิญญาณอีกน่ะหรือ?” ฉินจิ่วเกอยกระดับตัวเอง ในฐานะศิษย์พี่พระเอกของเรื่อง พูดไปแล้วมันก็คือหนึ่งในตัวละครประจำทีม เรื่องเงินๆ ทองๆ พูดถึงให้น้อยหน่อยจะดีกว่า
“นอกจากศิลาวิญญาณยังจะเดิมพันอะไรได้อีก?” เกาฟู่ส่วยคิดไม่ตก เดิมพันด้วยทักษะยุทธ์? หรือจะเป็นสมบัติล้ำค่า?
ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า กล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ “จิ๊ๆ พรรคจอกประกายสิทธิ์เจ้าขาดแคลนภูมิความรู้ปานนี้เชียวหรือ นอกจากศิลาวิญญาณแล้ว พวกเจ้านึกไม่ออกเลยหรือว่ามีของล้ำค่าอะไรอีกบ้าง”
เกาฟู่ส่วยไม่อาจตอบโต้อีกฝ่ายได้วูบหนึ่ง ก่อนจะต้องถามออกไป “เจ้ากำลังจะบอกอะไร?”
“พรรคจอกประกายสิทธิ์เจ้าคงมีที่ดินในความดูแลอยู่ไม่น้อยกระมัง เช่นนั้นก็เอาออกมาเดิมพันสักแห่งสองแห่งแล้วกัน” ฉินจิ่วเกอแจกแจงอย่างใจกว้าง ศิลาวิญญาณนับเป็นอะไร ที่ดินต่างหากที่สำคัญ
“ไม่มีทาง!” เหิงโหย่วเฉียนร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน กลัวว่าเกาฟู่ส่วยจะบ้าจี้ตามฝ่ายนั้นไปจริงๆ “ในเมื่อไม่ต้องการศิลาวิญญาณ เช่นนั้นการแข่งขันก็เป็นอันสิ้นสุดเพียงเท่านี้ พวกข้าขอตัวก่อน”
“ไม่ได้!” เกาฟู่ส่วยกัดฟันอย่างไม่ยินยอม ริมฝีปากของมันยามนี้บวมเจ่ออย่างน่ากลัว “ข้าต้องแข่งกับมันให้รู้แล้วรู้รอด หากแข่งกันด้วยวรยุทธ มีหรือมันจะเอาชนะข้าได้!”
ถึงเมื่อครู่จะชนะ แต่มันกลับไม่ได้รับรู้ถึงความภาคภูมิน่านับถือที่มาพร้อมกับชัยชนะเอาเสียเลย มองดูสายตาที่แฝงแววเยาะเย้ยจากรอบด้านแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกาฟู่ส่วยอับอายจนแทบจะกัดลิ้นตายไปตรงนั้น
“เจ้าเอาจริงรึ?” ฉินจิ่วเกอจนปัญญา นี่ตนเป็นคนไร้เหตุผลเพียงนั้นเชียว?
“เจ้าไม่ลองคิดทบทวนสักหน่อยรึ”
“ไม่จำเป็นต้องทบทวนอะไรทั้งนั้น ถามคำเดียวว่ากล้าหรือไม่กล้า!”
เกาฟู่ส่วยแผดเสียงหวีดแหลมจนเส้นเสียงแทบขาด
ฉินจิ่วเกอไขว้แขวนเหนืออกคล้ายต้องการจะป้องกันตัว สีหน้าอึมครึม “ข้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้ามีแผนจะเล่นงานข้า!”
“ฮ่าฮ่า”
เกาฟู่ส่วยระเบิดหัวร่ออย่างคลุ้มคลั่ง มันปักใจเชื่อแล้วว่า อีกฝ่ายจะต้องเป็นแค่เด็กน้อยอันธพาลผู้หนึ่ง ปราศจากพละกำลังใดๆ โดยสิ้นเชิง
ฉินจิ่วเกอลากเสียงยาวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนดวงตะวันที่แขวนลอยอยู่กลางหาว เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “เดิมทีข้าไม่คิดลงไม้ลงมือกับเจ้า แต่เจ้าหัวเราะได้น่าเกลียดจนข้ารับไม่ได้ ดังนั้นข้าจะยอมประลองกับเจ้าให้ก็ได้!”
เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเกาฟู่ส่วยพลันหยุดชะงักทันควัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมอย่างที่สุด “ขึ้นเวทีพร้อมลมหายใจ ลงจากเวทีร่างเย็นชืดไร้ลม เจ้าอย่ามาเสียใจเอาภายหลังก็แล้วกัน”
ฉินจิ่วเกอไม่แยแสสนใจ คนเปล่งเสียงหัวเราะฮ่าๆ สองคำ เพียงพริบตาร่างก็ไปปรากฏอยู่บนเวทียกสูงเหนือพื้นดินห้าหกเมตรนั่นเรียบร้อยแล้ว
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง พยับเมฆเคลื่อนคล้อย
ฉินจิ่วเกอเหยียดแขนออกอย่างไม่ยินดียินร้าย พร้อมรับคำท้า “เข้ามา”
เกาฟู่ส่วยเหินร่างขึ้นเวที ระดับฝีมือของมันเหนือกว่าฉินจิ่วเกอถึงสองขั้น ปิดหนทางสู่ชัยชนะของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์
ศิษย์พรรคหลิงเซียวคนอื่นๆ ต่างก็เคยพบเห็นเคล็ดวิชาสุดแกร่งกร้าวของฉินจิ่วเกอกันมาแล้ว แต่พละกำลังโดยรวมของศิษย์พี่ใหญ่บรรลุถึงระดับใดแล้วนั้น พวกมันต่างก็มืดแปดด้าน
แม้แต่ตัวอาวุโสสองเองก็ยังไม่ทราบชัด ครั้งนี้อาศัยการยั่วยุจากพรรคจอกประกายสิทธิ์ช่วยให้ได้เห็นว่าเจ้าทารกน้อยนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ หรือไม่
หลังหยิบเอากระบี่ไร้คมออกจากแหวนมิติ ฉินจิ่วเกอก็ยืนอย่างอหังการอยู่บนเวที จิตต่อสู้พวยพุ่งออกรอบด้าน
เกาฟู่ส่วยที่รอประลองอย่างสมเกียรติกับฉินจิ่วเกอนานแล้วก็ไม่รอช้า กลืนโอสถฟื้นฟูพลังลงไปสองสามเม็ด ควบผนึกพลังตระเตรียมจู่โจม
“โลกันตร์ผลาญกำเนิด!” เพลิงอัคคีสีทองพวยพุ่งออกจากร่างของเกาฟู่ส่วย เข้มข้นดั่งวารีอันขุ่นคลั่กจนปกคลุมท้องนภา โดยมีเป้าหมายคือฉินจิ่วเกอที่ด้านล่าง
ความร้อนลวกรุนแรงนี้ เหงื่อยังไม่ทันหยาดหยดลงจากใบหน้าก็ถูกไอร้อนทำให้ระเหิดหายไปเสียก่อน
“กระบี่ไร้คม กรีดแทง!”
กระบี่หนักวาดทับซ้อนเป็นชั้นๆ จนกลายสภาพเป็นเงาดำคมกริบที่ถาโถมเข้าใส่ทะเลเพลิง บนพื้นเหลือไว้เพียงรอยบากเรียบเนียนหลายสาย
เพลิงอัคคีมิได้มอดดับตามอานุภาพพลังกระบี่ หากแต่ย้อนทวนกลับมา หมายจะแผดผลาญฉินจิ่วเกอไม่ให้เหลือซาก
“ให้ข้าช่วยเผาเจ้าจนเป็นเถ้าถ่านก็แล้วกัน!” เกาฟู่ส่วยหัวเราะราวกับคนเสียสติ นัยน์ตาถลึงกว้าง มันต้องการจะลบล้างความอัปยศนี้ด้วยมือของตัวเอง
ฉินจิ่วเกอไม่สะทกสะท้าน ขับเคลื่อนพลังวิญญาณกระแทกเพลิงอัคคีจนมอดดับ ยามที่เปลวเพลิงลามเลียเข้าใส่อีกครั้ง กลับถูกกายเนื้อของฉินจิ่วเกอกระแทกกลับไป เสียงฟู่ฟู่ผสานไปกับอากาศ พวยพุ่งเข้าใส่รูจมูก
“ตาย!”
จะดับเพลิงก็ต้องดับที่ต้นตอ
ฉินจิ่วเกอใช้เคล็ดมารมายา พริบตาก็บรรลุถึงระยะสิบเมตรจากตัวเกาฟู่ส่วย กระบี่หนักวาดกระทบพื้น พื้นแตกออกเป็นทางลากยาวไปจนถึงที่ที่เกาฟู่ส่วยยืนอยู่ กลับถูกพลังวิญญาณของอีกฝ่ายสะกดไว้อย่างทื่อด้าน
“ข้าคือปราณสุริยันขั้นสูงสุด ขาดอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุพิสุทธิ์ไพศาล แล้วเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร!” เกาฟู่ส่วยอ้าปากกว้างขวาง ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนอีก หากเป็นไปได้มันคงกลืนฉินจิ่วเกอลงท้องไปแล้ว
เพลิงอัคคีร้อนลวก แม้พลังวิญญาณจะห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แต่ด้วยพลังของปราณสุริยัน ย่อมไม่อาจป้องกันอุณหูมิร้อนสูงได้เลย
“ศิษย์พี่” ศิษย์น้องเล็กกระชับหมัดแน่นขึ้น ในใจจดจำภาพลักษณ์ของเกาฟู่ส่วยเอาไว้แล้ว
นัยน์ตาของอาวุโสสองเกิดประกายวาบผ่าน เจ้าเด็กนี่ยังไม่ยอมเอาไพ่ตายออกมาใช้อีก หรือต้องการจะรักษาหน้าเอาไว้?
“ผ่า!”
ครืนนน พลังที่มีน้ำหนักหลายหมื่นจินแหวกนภาทลายดิน แหวกผ่าทะเลเพลิงจนแยกออกเป็นสองฟาก
ฉินจิ่วเกออาศัยความเร็วสูงสุดเคลื่อนร่างวูบวาบ กระบี่ไร้คมที่มันใช้คืออาวุธเต๋า จึงเพิกเฉยต่ออุณหภูมิร้อนสูงนี้ได้
ท่ามกลางเปลวเพลิงบริสุทธิ์ กระบี่ไร้คมอันเทอะทะแลดูงุ่มง่ามขัดตา แต่ตัวกระบี่กลับส่งเสียงครางกระหึ่มจนกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับฉินจิ่วเกอ
“อัคคีสามทมิฬ!”
เกาฟู่ส่วยมือปากกระหม่อมล้วนมีเปลวไฟพุ่งผลาญท่วมฟ้า บันดาลให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ
ผู้ฝึกตนที่บรรลุปราณสุริยันล้วนแล้วแต่ฝึกเคล็ดลมปราณ ทางหนึ่งก็ช่วยในด้านฝึกปรือ อีกทางหนึ่งคือสร้างเสริมคุณลักษณะธาตุของตัวผู้ใช้
เคล็ดลมปราณของพรรคหลิงเซียวล้วนปราศจากคุณลักษณะธาตุ เอาคำพูดของอาวุโสใหญ่มาใช้ หากยังไม่บรรลุถึงกลั่นดวงธาตุ ทางที่ดีอย่าได้เลือกคุณลักษณะธาตุตามใจชอบ
พรรคจอกประกายสิทธิ์เป็นพวกโผงผางเลือดร้อน เคล็ดลมปราณล้วนเป็นธาตุไฟ ในช่วงชั้นเดียวกันจึงมีความดุดันอหังการ นับว่าร้ายกาจไม่เบา
“ลองรับมือไม้ตายก้นหีบข้าหน่อย!”
ฉินจิ่วเกอลากกระบี่หนักไปตามพื้นขณะเข้าใกล้ตัวเกาฟู่ส่วยจนเกือบประชิด เพียงแต่รอบด้านรายล้อมไปด้วยกองเพลิง ไม่ว่าจะจู่โจมจากมุมไหนก็ล้วนแล้วแต่ถูกปราการเพลิงขวางกั้นไว้
“ข้าเองก็อยากรู้ว่าเจ้าจะทลายปราการเพลิงของข้าได้ยังไง!”
“เพ้ย!” ฉินจิ่วเกอถ่มถุยออกมาทีหนึ่ง น้ำลายปื้นใหญ่ร่วงแผละลงบนหน้าเกาฟู่ส่วย
ไม่ว่าผู้ใด เกรงว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งเองทันทีที่ถูกถ่มน้ำลายใส่หน้า ปฏิกิริยาแรกย่อมต้องยกมือเช็ดถูล้างคราบน้ำลาย
เปลวเพลิงอันร้อนลวก ไม่รอให้เกาฟู่ส่วยปาดเช็ด ก็ะระเหิดแห้งหายไปในทันที
อาศัยจังหวะที่เกาฟู่ส่วยปิดตา ฉินจิ่วเกอใช้กระบี่ไร้คมทะลวงปราการเพลิงได้สำเร็จ
เกาฟู่ส่วยถูกพลังกระบี่กระแทกจนซวนเซ รัศมีพลังปั่นป่วนยุ่งเหยิง ถูกลอบกัดอย่างเจ็บแสบ
ล่างเวที เจ้าอ้วนน่าตายและศิษย์น้องเล็กปรบมือโห่ร้องอย่างตื่นเต้น กระบวนท่าเมื่อกี้เรียกได้ว่างดงามไร้ที่ติ สามารถนำไปใส่ในสารานุกรมฝึกสอนก็ยังได้
ศิษย์คนอื่นๆ ถูกนามกรนางมารน้อยข่มขวัญ จึงต้องปรบมือร้องชมศิษย์พี่ใหญ่กันอย่างช่วยไม่ได้
เหิงโหยว่เฉียนจ้องมองไปทางอาวุโสสองด้วยสายตาติเตียนขั้นสุด แม้ยามประลองสามารถใช้ได้ทุกวิธีการ แต่การถ่มน้ำลายต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ย่อมได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้
อาวุโสสองแสร้งทำเป็นตาบอดชั่วคราว ที่จริงกลับเสียหน้าจนแทบแย่ ตอนนี้มันเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้องของมันถึงเลือกที่จะปิดด่านเวลานี้ไม่ยอมออกมา
ชัยชนะที่ได้มาอย่างไม่เป็นธรรม ถึงชนะไปก็ไม่เหลือหน้าตาให้รักษาอีก เป็นกลวิธีที่ต่ำทรามอะไรอย่างนี้!