เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 100 ผ่านคืนวันแปดพันปี
เพราะเป็นคนฉลาดมีหัวคิด ฉินจิ่วเกอถึงได้มีแผนการของตัวเองอยู่เหมือนกัน เฒ่าเรืองปัญญาหนังหน้าหนาทน เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจอศึกปะทะสุนัขอีกครั้งในด่านที่สาม ตนจึงต้องหาผู้ช่วยซึ่งเป็นยอดฝีมือเอาไว้สักราย
“ไม่ทราบอาวุโสมีนามว่ากระไร? ” ฉินจิ่วเกอเข้าหาด้วยความเป็นมิตร แต่ชายฉกรรจ์ตรงหน้ากลับเผยท่าทีหวาดระแวงไปเสียฉิบ
อย่างไรเสียคนที่กล้าด่าเฒ่าเรืองปัญญาว่าไอ้แก่ไร้ปัญญาเช่นนี้ นับว่าไม่เคยมีมาก่อน แม้แต่ชนชั้นสุญญตาก็ยังไม่กล้าเลย จากที่เล่าขานกันมา เฒ่าเรืองปัญญามิใช่เสนาอำมาตย์ที่ยกขึ้นวางลงได้โดยง่าย ยังมีบุคลิกลักษณะของปรมาจารย์วัดเส้าหลินแห่งยุทธภพ
ใจแคบ แค้นฝังลึก ใจแคบเป็นที่ยิ่ง แค้นฝังลึกเป็นที่ยิ่ง
“เราผู้เฒ่าคือประมุขตระกูลจวงที่สังกัดใต้อาณัติสี่ขุมอำนาจใหญ่โดยตรงของเมืองเทียนเอิน” เอ่ยถึงต้นกำเนิดและตระกูลของตน ชายร่างกำยำผู้นั้นรู้สึกมีหน้ามีตาอยู่ไม่น้อย นอกจากสี่ขุมอำนาจใหญ่แล้ว ตระกูลจวงเมืองเทียนเอินก็คือตัวตนที่ไม่อาจตอแยได้
โอ๊ะโอ ก่อนที่จะเข้ามายังจัตุรัสแห่งนี้ ฉินจิ่วเกอเคยได้ยินมาคร่าวๆ ว่า ร้อยปีก่อนหน้านี้ เคยมีประมุขจวงที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในใต้หล้า เลยเข้าไปรนหาที่ตายในนาวาเรืองปัญญา ผลลัพธ์น่ะหรือ ถูกกักตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ลองนับดูนี่ก็ใกล้จะได้เวลาปล่อยตัวเต็มทีแล้ว
“ขอบังอาจถามชื่อแซ่สักหน่อย”
“จวงปี้! [1]”
“อ๋า? ” ฉินจิ่วเกอเหงื่อแตกซ่ก มารดามันเถอะ พวกที่กล้าขึ้นนาวาเรืองปัญญามานี้ นอกจากตนเองแล้ว ไม่มีใครที่ปกติเลยสักคนหรืออย่างไร?
ตอนนี้พระเอกเองยังไม่ลุกขึ้นมาเสแสร้งแกล้งโชว์เหนือ แล้วเจ้าเป็นตัวอะไร ยังกล้าอวดโอ่?
“เราคือประมุขตระกูลจวงแห่งเมืองเทียนเอิน แซ่จวงนามปี้! ” ประมุขจวงหัวเสียแล้ว เจ้าทำสีหน้าแววตาแบบนั้นหมายความว่ากระไร เหตุใดถึงได้ดูชั่วร้ายขนาดนั้น
“อ้อ” ฉินจิ่วเกอยังคงตะลึงไม่หาย ในที่สุดก็มีคนที่ชื่อแปลกประหลาดกว่าตนโผล่ออกมา “ตระกูลอันสูงส่งของท่านเปิดบ่อนด้วยหรือไม่? ”
“ย่อมแน่นอน” จวงปี้กล่าวตอบอย่างทระนง แค่ฟังจากชื่อ หากพวกมันไม่เป็นเจ้ามือ แล้วจะให้ใครเป็น?
“เชิญอาวุโสขยับมาใกล้ๆ หน่อย ข้ามีเรื่องต้องการจะหารือกับท่านสักเดี๋ยว” ทุกคนในที่นั่นทำหูผึ่งทันที ไม่ยอมผละจากไปไหน แม้แต่เฒ่าเรืองปัญญาเองก็เช่นกัน ถึงภายนอกจะทำเป็นเหมือนไม่สนใจ แต่ที่จริงกำลังเงี่ยหูฟังเต็มที่
ฉินจิ่วเกอทำข้อตกลงกับจวงปี้ รับประกันว่ามันจะผ่านเข้าด่านทดสอบที่สามได้แน่นอน หากพบเจอภูตผีปีศาจใดเข้า ก็ให้มันเป็นฝ่ายจัดการ ส่วนฉินจิ่วเกอจะนอนหมอบแกล้งตายรอ ประมุขจวงเป็นคนจริง ดังนั้นจึงกัดฟันยอมรับข้อเสนอ
“ใต้เท้าเฒ่าเรืองปัญญา ข้าติดอยู่ในนาวาลำนี้มานานเกือบร้อยปีแล้ว ตอนนี้มีคำถามต้องการจะถามท่าน ไม่ทราบว่าจะถามได้หรือไม่? ” จวงปี้เกริ่นถาม
เฒ่าเรืองปัญญาเริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาแล้ว มันกล้าอวดอ้างว่าไอคิวของตนเหนือล้ำกว่าทุกคนในที่นี้อย่างไม่ติดฝุ่น แต่เพราะเจ้าเด็กปราณสุริยันที่จู่ๆ ก็เสนอหน้ามานี้เองที่ทำให้มันเกิดความลังเลขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อไม่อาจเสียหน้า เฒ่าเรืองปัญญาเลยปิดตาลงแล้วตอบรับไปว่า “ถามมา”
“อ่า คือว่า ผู้เยาว์ขอถามสุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้ด้านนอกนั่น ไม่ๆ เป็นสัตว์เซียน เทียบกับอาวุโสท่านแล้ว ใครวิ่งไวกว่ากัน? ” ประมุขจวงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังยิ่ง ท่าทางเหมือนลูกสะใภ้
ช่วยไม่ได้ คำถามนี้ยากที่จะไม่ชวนเข้าใจผิดว่าเป็นการลบหลู่เฒ่าเรืองปัญญา เมื่อครู่เพราะกังวลถึงหน้าตาของตน ฉินจิ่วเกอจึงไม่ถาม ตอนนี้เลยให้ประมุขจวงลองหยั่งเชิงดูแทน
และก็ไม่ผิดจากที่คาด เฒ่าเรืองปัญญาพิโรธโกรธาขึ้นมาแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไร เอาสุนัขมาเทียบกับเราผู้เฒ่า?
เป็นเพราะทุกคนที่อยู่ที่นี่ รวมทั้งการที่มันต้องอ้าประตูที่นำไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์เอาไว้ เฒ่าเรืองปัญญาจึงไม่อาจกระชากคอเสื้อจวงปี้ขึ้นมาเขย่าแรงๆ ให้ตายคามือได้ “สุนัขนั้นมีสี่ขา เราผู้เฒ่ามีเพียงสองขา หากไม่นับรวมการเดินทางข้ามมิติเข้าไปด้วย งั้นก็คงเป็นสุนัขที่เร็วกว่า”
“ไม่ใช่สิ” เฒ่าเรืองปัญญารีบปฏิเสธคำตอบของตัวเอง นี่มันจะโหดร้ายเกินไปหน่อยแล้ว!
หากบอกว่าตนวิ่งเร็วกว่าหมา เช่นนั้นเจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่จะต้องบอกว่าเทียบกับสัตว์เดียรัจฉานแล้ว ตนยังเดียรัจฉานกว่า แต่ถ้าบอกว่าตนวิ่งช้ากว่าหมา นั่นไม่แปลว่าแม้แต่สัตว์เดียรัจฉานตนก็ยังเทียบไม่ได้หรอกรึ? เหอเหอ เราผู้เฒ่าออกพเนจรโลดแล่นอยู่ในทวีปฉงหลิงมานานนับแสนปี มีสิ่งใดบ้างที่เราไม่เคยประสบพบผ่านมา อ่อนหัดเกินไปแล้ว!
“เร็วเท่าเทียมกัน” ผู้เฒ่าเรืองปัญญาตอบโดยไม่ลังเล เจ้าเด็กนี่ จิตใจมันช่างดำมืดจริงๆ ประมุขจวงที่เป็นคนสัตย์ซื่อ เพียงพริบตาก็ถูกมันทำเสียคนซะแล้ว
“แค่กๆๆๆ” ฉินจิ่วเกอกระอักไออย่างรุนแรง ดูเหมือนการที่คนผู้หนึ่งได้ขึ้นเป็นผู้สูงส่งของโลกแห่งการฝึกตนจะไม่ได้แปลว่าคนผู้นั้นจะต้องฉลาดเท่าเทียมกันด้วย
ใบหน้าแดงก่ำของเฒ่าเรืองปัญญาเริ่มถอดสีอย่างที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีม่วง ก่อนเปลี่ยนเป็นสีดำมะเมี่ยม สุดท้ายก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนยากระบุชัด “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก พวกเจ้าทั้งสอง ไสหัวไปด่านที่สามกันได้แล้ว! ”
มือสะบัดออกวูบ มิติภายในของนาวาเรืองปัญญาก็ถูกเปิดออก นำพาคนทั้งสองเข้าสู่ด่านทดสอบที่สาม อันเป็นที่ที่ต้นพฤกษาสวรรค์สถิตอยู่
พฤกษาโบราณ ผ่านคืนวันแปดพันปี หมื่นพันแมกไม้ไม่อาจเทียม พฤกษาสวรรค์หยัดยืนเหนือกาลเวลา ยืดยาวพันหมื่นปี ลำต้นเปล่งประกายผลึกใส ใบยังส่องแสงห้าสีเช่นเดียวกัน
ฉินจิ่วเกอและจวงปี้มาปรากฏอยู่ในทุ่งอันอุดมสมบูรณ์พร้อมๆ กัน ผืนดินในที่นี้เป็นปุ๋ยชั้นดี แว่วเสียงน้ำไหลรินมาเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่มีพืชพรรณแลบุปผา กระทั่งไม่มีสัญญาณชีวิตใดเลย ฟ้าดินสงบสุข ตะวันจันทราเคียงคู่กัน ที่สุดขอบของทุ่งร้างพันลี้ ปรากฏเสาชะลูดใหญ่โตสูงค้ำฟ้าค้ำดิน ยืดขยายออกทั้งสี่ทิศ
ในระยะหมื่นลี้ ไร้กำเนิดไร้แตกดับ ไร้อดีตไร้ปัจจุบัน โลกทั้งใบ มีเพียงต้นไม้อันศักดิ์สิทธิ์หรือก็คือต้นพฤกษาสวรรค์ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคไท่หวงสุดเวิ้งว้าง!
รู้น้อยไม่เท่ารู้มาก เยาว์วัยไม่เท่าทรงวัยวุฒิ ,เชื้อราไม่รู้คืนแรม จักจั่นไม่รู้ใบไม้ผลิ ท่ามกลางฟ้าดินที่มีต้นพฤกษาสวรรค์ให้ร่มเงาพิทักษ์ ไม่มีพืชพรรณใดที่จะเจริญงอกงาม และมีอายุขัยยืนยาวไปกว่ามันได้ พันปีหมื่นปี เป็นเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ในระยะหนึ่งหมื่นลี้โดยรอบ จึงมีเพียงต้นไม้เพียงต้นเดียว ตระหง่านทระนงถึงเพียงไหน!
ผลอู๋เลี่ยงสดงอกเงยอยู่บนสุดขอบต้นอย่างเป็นอิสระ แต่ละลูกมีขนาดเท่าหนึ่งกำปั้น ผลดกครึ้มเต็มยอดไม้ ห้อยระย้าอยู่บนกิ่งไม้แลเถาวัลย์ ผิวนอกมีลวดลายหยินหยางสลักไว้ ดูคล้ายมังกรอสรพิษลัดเลื้อยอยู่กลางเมฆหมอก ไม่อาจลอกเลียนออกมาให้เหมือนกันได้
ที่แท้ผลอู๋เลี่ยงมีลักษณะเป็นเช่นไรกันหนอ? แต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครพรรณนาได้ว่าผลอู๋เลี่ยงมีลักษณะเป็นทรงกลมหรือทรงเหลี่ยม อ้วนกลมหรือผอมฟีบ เหมือนกับคนเราที่เกิดมาแตกต่างกัน ไม่อาจหาแบบที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วได้ ต้นพฤกษาสวรรค์นี้สูงชะลูดจนสุดประมาณ เถาวัลย์ห้อยระย้าเหมือนน้ำตก กิ่งก้านสาขาล้วนงดงามดุจหยกเสลา
ลำต้นเหมือนถูกแกะสลักออกมาจากหยกผลึกแห่งแดนเซียน ทุกรายละเอียดล้วนสรรค์สร้างออกมาอย่างปราณีต กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ผนึกไอวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดแห่งฟ้าดินไว้ สีของมันเหมือนแก้วผลึกหลากสีสัน ผิวเป็นผลึกใสกระจ่าง แผ่ประกายสูงศักดิ์ดั่งสมบัติอันล้ำค่าออกมาอยู่เรืองรอง
“นี่น่ะหรือต้นพฤกษาสวรรค์” จวงปี้ตะลึงตาลาน แค่ยืนดูอยู่ไกลออกมานับพันลี้ พฤกษาต้นนี้ยังสูงทะลุฟ้าดินจนไม่เห็นยอด
ฉินจิ่วเกอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก หรี่ตาลงอย่างเพ่งพิจ “เหมือนอย่างที่ตำนานเล่าขานไว้ไม่มีผิด ไอวิญญาณในนาวาเรืองปัญญาลำนี้ล้วนมีต้นกำเนิดจากต้นพฤกษาสวรรค์นี้เอง ซึ่งแตกต่างจากโลกภายนอกนับร้อยเท่า”
“ถ้างั้นเราลงมือกันเลยดีหรือไม่พี่ฉิน? ” ระดับพลังของฉินจิ่วเกอแม้จะไม่สูง แต่บุคคลที่สามารถรับมือกับเฒ่าเรืองปัญญาได้บนโลกนี้จะมีอยู่สักกี่คนกัน
ประมุขจวงทั้งที่เป็นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นแปดยังไม่กล้ามองข้ามหัวอีกฝ่าย ในใจจึงเกิดความคิดที่จะผูกมิตรขึ้นมา เลยเรียกหาอีกฝ่ายว่าพี่ฉิน
“ได้ งั้นเจ้าก็นำหน้าได้เลย ข้าจะคอยรั้งท้ายเอง หายห่วง” คำพูดประโยคเดียว กลับตีแผ่สันดานของฉินจิ่วเกอออกมาอย่างหมดเปลือก ที่พูดกันว่ายามแบกหม้อก้นดำข้าสู้ตาย ยามส่งตัวเองไปตายเจ้าสู้แทน ช่างสมเหตุสมผลนัก
ประมุขจวงสีหน้าไม่สู้ดี ท่าทางเหมือนคนท้องร่วงจวนเจียนจะล้มมิล้มแหล่ “เช่นนั้นก็ตามมาอย่าให้ห่างก็แล้วกัน”
“บอกไว้ก่อนเจ้าอย่าได้วิ่งปรู๊ดไปเลยเชียว เกิดมีคนดักโจมตีอยู่ข้างๆ แล้วข้าจะทำอย่างไร” ฉินจิ่วเกอยังกังวลถึงเรื่องความหน้าด้านของเฒ่าเรืองปัญญาไม่หาย แม้ตอนนี้จะเพ่งสายตาจนลูกตาแทบหลุดออกจากเบ้าแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็สามารถเห็นผลอู๋เลี่ยงสดที่งอกเงยอยู่บนต้นพฤกษาสวรรค์ได้อยู่
ฐานะที่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุพลังหยินหยางฟ้าดินเอาไว้ พลังเทวะของต้นพฤกษาสวรรค์ทำให้แม้แต่ผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็ยังไม่อาจครอบครองได้ จึงทำได้แค่ปฏิบัติต่อมันเหมือนต้นไม้ต้นนี้เป็นบรรพชนต้นตระกูล บ่อยครั้งที่ต้องไปลองขุดหาอยู่ใต้โคนต้น เผื่อว่าจะมีผลที่ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกปลิดออกจากขั้ว จากนั้นตกลงสู่กบาลของพวกดวงกุดจนกลิ้งหล่นอยู่แถวนั้นสักลูกสองลูก
“ไม่ให้ข้าวิ่งปรู๊ด หรือเจ้าจะให้ข้าวิ่งปร๊าด? ” จวงปี้ขยุ้มศีรษะตนเองอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า พูดคุยกับอัจฉริยะนี่ช่างยากเหลือเกิน
“ข้าไม่ได้จะให้เจ้าวิ่งปร๊าดเสียหน่อย แต่ให้พวกเราเดินเท้ากันไปต่างหาก ทำเช่นนี้เกิดมีเรื่องขึ้นมาจะได้ค่อยๆ รับมือ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ” ไม่กล้าทำอะไรทะเล่อทะล่า โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ฉินจิ่วเกอจึงต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน
น่าเสียดายจริงๆ เกิดตนเป็นพระเอกละก็ คงได้พุ่งชนแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย มิหนำซ้ำผู้เฒ่าเรืองปัญญายังต้องใช้สองมือประคองของขวัญให้ข้าเหมือนต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติอีกด้วย
ผู้เฒ่าเรืองปัญญากลับเข้าเรือนศิลาของตน ด้วยพลังจิตอันกล้าแข็ง ไม่จำเป็นต้องให้มันไปปรากฏตัวด้วยตัวเองก็สามารถมองดูทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในโลกของต้นพฤกษาสวรรค์ได้อยู่ดี พวกเจ้าคิดเข้าใกล้ต้นพฤกษาสวรรค์ บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายเพียงนั้น คิดจริงๆ หรือว่าเราผู้เฒ่าจะไม่เตรียมอะไรไว้ต้อนรับพวกเจ้าเลย?
หากได้เข้าใกล้ต้นพฤกษาสวรรค์ในระยะพันลี้ ในทุกๆ หนึ่งลี้ ผู้บุกรุกจะถูกพลังสะกดทับเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเท่า และซ้อนทับต่อกันไปเรื่อยๆ หากต้องการเข้าใกล้ จำต้องทานรับแรงกดดันสิบเท่าให้ได้ ทำได้แล้วถึงจะสามารถเข้าสู่ระยะหนึ่งร้อยเมตรสุดท้ายได้
ขอเพียงเข้าถึงระยะหนึ่งร้อยเมตรสุดท้ายได้ ไอวิญญาณที่หนาแน่นดั่งน้ำในมหาสมุทรรวมถึงกฎแห่งเต๋าอันเป็นธรรมชาติย่อมสลายแรงกดดันทั้งหมดไปเอง ส่วนระยะตั้งแต่หนึ่งร้อยเมตรไปจนถึงหนึ่งพันลี้นั้น ผู้เฒ่าเรืองปัญญาสามารถควบคุมความยากง่ายได้ดั่งใจ
พูดในลักษณะนี้แล้วกัน นอกเสียจากอยู่ๆ สมองของเฒ่าเรืองปัญญาเกิดลัดวงจรขึ้นมา หากมันอยากให้ผู้เข้าทำการทดสอบพ่ายแพ้ตรงจุดไหน มันก็สามารถทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงตรงจุดนั้นได้เลย เพราะแรงกดดันในระดับที่เท่ากัน ศักยภาพของอัจฉริยะเยี่ยงใดก็ล้วนมีขีดจำกัด ยิ่งไม่ต้องพูดว่าผู้ที่ทำการควบคุมความหนักเบาก็คือตัวผู้เฒ่าเรืองปัญญาเอง
บางที นี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตลอดหลายปีที่ผ่านมาถึงได้มีคนนำผลอู๋เลี่ยงกลับบ้านไปเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น
“คิดอยากได้ผลอู๋เลี่ยงสดกลับไป ด่านนี้ไม่ใช่หมูๆ หรอกนะ แถมเจ้าต้นพฤกษาสวรรค์นั้นยังขี้เหนียวเสียยิ่งกว่าอะไร ต่อให้เป็นตัวข้าในตอนนี้ หากต้องการเก็บมาสักผลยังหืดขึ้นคอ เพราะงั้นพวกเจ้ากลับไปอาบน้ำเข้านอนเถอะ”
เฒ่าเรืองปัญญารำพึงรำพัน ทันทีที่เห็นฉินจิ่วเกอและจวงปี้เข้าสู่ระยะพันลี้ พลังจิตของมันก็หมุนวน พร้อมกับแรงกดดันที่ถั่งโถมลงจากฟ้า
“หนักอะไรขนาดนี้! ” จวงปี้ต้านทานแรงกดดัน พลังชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นแปดพวยพุ่ง พร้อมกันนั้นแรงกดดันก็ถูกปรับให้อยู่ในระดับเดียวกันเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าผู้ที่เข้ามาจะมีขอบเขตพลังในระดับกลั่นดวงธาตุ กฎสรรพสิ่ง หรือแม้แต่สุญญตาก็ล้วนไม่มีข้อยกเว้น ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเกินกว่าใคร
ฉินจิ่วเกอเองก็ต้องต้านแรงกดดันระดับปราณสุริยันขั้นสูงสุด แต่สำหรับสังขารระดับมันแล้ว แค่นี้ถือว่าจิ๊บจ๊อย
“ยุ่งยากจริงๆ หากยังคงมุ่งหน้าต่อไปกันในลักษณะนี้ แรงกดดันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ถือว่าตึงมือเหมือนกันนะเนี่ย” หน้าผากของจวงปี้เริ่มมีเหงื่อผุดซึม เพราะน้ำหนักบนตัวจึงต้องกัดฟันสู้ ตามองไปทางฉินจิ่วเกอ
ความหมายก็คือ เจ้าเป็นคนฉลาด เพราะงั้นรีบหาทางแก้ซะ
ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า ต่อหน้าพลังอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่มีที่ให้ใช้สติปัญญาหรอก “ระยะห่างจากจุดที่พวกเราอยู่ไปจนถึงต้นพฤกษาสวรรค์ก็คือหนึ่งพันลี้ นี่ไม่เท่ากับว่าพวกเราต้องต้านพลังกดดันหนึ่งพันเท่าหรอกรึ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากคนเพียงหยิบมือ น่ากลัวว่าจะไม่มีใครต้านไหวอีกแล้ว”
ประมุขจวงยามนี้มีแต่ความคิดอึมครึมรายล้อม ที่แท้เป็นเพราะเหตุผลกลใดกันแน่ ทวีปฉงหลิงถึงได้เกิดเรื่องอุบาทว์แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าไม่อายเลยจริงๆ! ที่แท้มันผิดพลาดที่ตรงไหนกัน?
ใช่เป็นเพราะจิตใจมนุษย์นั้นบิดเบี้ยวไป หรือเป็นเพราะความเสื่อมถอยทางจรรยาธรรม?
หนึ่งพันลี้ หากจะบอกว่าไกลก็ไม่ไกล จะบอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ในสายตาของยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุ ระยะทางหนึ่งพันลี้ลำบากเพียงไม่กี่ลมหายใจก็สามารถบรรลุถึง ยิ่งกับชนชั้นกฎสรรพสิ่ง ขอแค่แกว่งมือแหวกเปิดมิติออก ก็สามารถไปโผล่ที่จุดหมายปลายทางได้ในเสี้ยวพริบตา
เพียงแต่ในโลกแห่งพฤกษาสวรรค์นี้ พลังแห่งธรรมชาติล้วนหมุนวนอยู่รอบต้นพฤกษา กฎนิรันดร์ของพฤกษาสวรรค์จะยังสะกดสถานที่แห่งนี้เอาไว้ตลอดกาล แม้แต่สุญญตาก็ไม่อาจขัดขืน
ทีละน้อย คนทั้งสองเดี๋ยวเดินหน้าเดี๋ยวถอยหลัง หลังจากเดินเท้ามาได้ระยะหนึ่งร้อยลี้ พวกมันต่างก็ไม่อาจยืนตรงๆ ได้อีกต่อไป ประมุขจวงที่นำหน้าตอนนี้เปลี่ยนท่าเป็นนอนขนานกับพื้นโลก กล่าวคือกำลังคลานสี่ขา ทิ้งไว้เพียงร่องลึกแห่งความพยายามเอาไว้บนผิวดิน
[1] 庄壁 จวงปี้ กำแพงภูผา พ้องเสียงกับคำว่า 装逼 จวงปี้ ที่แปลว่า เสแสร้ง