องค์หญิงหมอเทวะ - ตอนที่ 30 : สัตว์ประหลาดน่าเกลียด
เมิ่งซิ่วเหวินยิ้มให้ซูมู่เกอด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักมองไปที่นางและนั่งลงตรงหน้าซูมู่เกอเหมือนคนคุ้นเคย
แม้ว่าซูมู่เกอต้องการสร้างชื่อให้ตัวเองเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของนาง โดยใช้ประโยชน์จากคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางต้องการมีส่วนร่วมกับครอบครัวนี้มากนัก
นางสามารถบอกได้ว่าการสอบสวนและข้อสงสัยจากเมิ่งซิ่วเหวิน เมื่อไม่นานมานี้ เขาไม่ใช่คนง่ายๆอย่างที่เขาปรากฎตัวตอนนี้
ขณะที่เมิ่งซิ่วเหวินนั่งลง ซูมู่เกอลุกขึ้นยืนและก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างจากชายหนุ่ม
“ทิวทัศน์ของคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งตรงนี้สวยงามมาก ข้ามาที่นี่โดยบังเอิญ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่านเลย นายท่านเมิ่ง ข้าขอลา” ซูมู่เกอหันกลับและกำลังจะจากไป
“ว่ากันว่าคุณหนูใหญ่ซูสามารถรักษาคนได้โดยไม่รู้สึกถึงชีพจร?”
ซูมู่เกอหยุดอย่างนุ่มนวล และตระหนักว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเมิ่งซูซูและนาง ณ ห้องโถงเกียรติยศที่ผ่านมา
“มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้สึกถึงชีพจรอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น ข้าจึงจะรู้สภาพร่างกายที่แท้จริงของคุณหนูเมิ่งคนที่สองได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งเสี่ยวเหวินเดินตามหลังนางไป เมื่อเห็นปานของนาง ความรู้สึกรังเกียจปรากฏในดวงตาของเขา แต่เขาปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
เขาเข้าหาซูมู่เกออย่างช้าๆ และหยุดห่างกันเพียงครึ่งฟุต
ซูมู่เกอป่วยเป็นโรคขาดสารอาหารซึ่งทำให้นางดูผอมมาก ผิวของนางมีสีเหลืองอมฟ้าเล็กน้อย แม้นางจะมีใบหน้าที่บอบบาง นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำว่า “สวย” กับสีผิวเช่นนี้
มีกลิ่นหอมของผงชาดจากเมิ่งซิ่วเหวิน ซูมู่เกอกำลังจะถอยห่างออกไปเมื่อมีเสียงแหลมเรียกชื่อนางดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“ซูมู่เกอ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่กับพี่ชายของข้า เจ้าต้องการทำสิ่งใด?”
เมิ่งซูซูมาพร้อมกับสาวใช้บางคน ดูปกป้องเมิ่งซิ่วเหวินข้างหลังนางเหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกไก่ของมัน
เมิ่งซิ่วเหวินเลิกคิ้วและมองไปที่ซูมู่เกอ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดสิ่งใด
“ข้าก็สงสัยเช่นกันว่าทำไมนายน้อยเมิ่งถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่”
เมิ่งซูซูจ้องไปที่ซูมู่เกอ พูดขึ้นว่า “ซูมู่เกอ เจ้าเจตนาอันใด! ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง พี่ชายของข้าต้องบอกหรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด?!”
ซูมู่เกอมองพี่ชายและน้องสาวอย่างไม่แยแส
“อืม ข้าไม่รู้คำตอบของคำถามของท่านหรอก คุณหนูสอง”
เมิ่งซูซูตกใจและเมิ่งซิ่วเหวินก็เช่นกัน คำถามคือทำไมซูมู่เกอถึงมาที่นี่กับเมิ่งซิ่วเหวิน เนื่องจากเมิ่งซิ่วเหวินเป็นนายท่านของคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง เขาสามารถปรากฏตัวได้ทุกที่ที่ต้องการ ซูมู่เกอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ทั้งสองคนมาเจอกันที่ตรงนี้
“เจ้า เจ้านี่ช่างอัปลักษณ์ไม่พอยังเต็มด้วยลิ้นที่แหลมคมน่าเกลียด!” เมื่อรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูมู่เกอ เมิ่งซูซูมีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์ในการข่มเหงลักษณะของรูปร่างส่วนตัว
เมิ่งซิ่วเหวินคิ้วขมวดเล็กน้อยมองไปที่ซูมู่เกอที่สงบนิ่งเหมือนเคย แล้วตวาดด้วยเสียงต่ำ “ซูซู หยุดเรื่องไร้สาระของเจ้าซะ ขออภัยต่อคุณหนูซูเดี๋ยวนี้!”
แม้ว่าเมิ่งซูซูจะกลัวพี่ชายของนางที่ยิ้มตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่เคยตามใจนางเลย นางเพียงยืนเชิดหน้ายืดคออย่างดื้อรั้น
“ข้าไม่ได้พูดสิ่งใดผิด นางเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียด หรือไม่จริง? ถ้าข้าโตมาแบบนั้น ข้าคงอับอายเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับผู้อื่นได้”
“ซูซู หุบปาก!”
ซูมู่เกอเหลือบมองพี่ชายและน้องสาว “อืม ข้าได้เรียนรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับการเลี้ยงดูในคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งจากท่านทั้งสองแล้ว”
ก่อนที่พวกเขาจะพูดอีกครั้ง นางจากไปตามทางเดินที่นางเดินมาแล้ว
นางจะหาทางอื่น และมันจะดีกว่า ถ้าอยู่ห่างจากคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง
เมื่อซูมู่เกอเดินกลับไปที่ห้องโถงเกียรติยศ ซูหลุนส่งคนมาหานางและบอกนางว่าพวกเขากำลังจะกลับแล้ว ซูมู่เกอคำนับหญิงชราเมิ่ง มันการเป็นอำลาและลาจาก
ทันทีที่ซูมู่เกอจากไป สาวใช้คนหนึ่งไปที่ห้องโถงเกียรติยศและบอกกับนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสวน
นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งหรี่ตาแคบลง โบกมือให้สาวใช้ออกไป
มามะแม่นมที่รับใช้แม่เฒ่าเมิ่ง เดินเข้ามาในห้องพร้อมซุปเม็ดบัวหวานหนึ่งถ้วย
“นายหญิง ท่านดูเหนื่อยๆ ทานต้มเม็ดบัวหน่อยเจ้าค่ะ”
นายหญิงเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองนาง พร้อมกับลมหายใจแผ่วเบาออกมา
“เจ้าคิดว่านางหาเรื่อง?”
มามะขึ้นไปหานางและนวดไหล่ของนาง “นายหญิง ท่านไม่ชอบคุณหนูซูหรือ?”
“นางมีความสามารถมากและมีแผนการของตัวเอง แต่นางไม่เหมาะกับคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งของเรา ดังนั้นจากนี้ไปจะดีกว่าถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง”
พ่อของซูมู่เกอเกิดในครอบครัวที่ยากจน และเขามีตำแหน่งสูงเช่นนี้ได้ก็เพียงเพราะเขาละทิ้งภรรยาเก่าของเขาและแต่งงานกับอีกคนที่มาจากชนชั้นสูง ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของมารดาผู้ให้กำเนิดของนางต่ำเกินไป ถ้าสำหรับนางลูกนางบำเรอที่จะได้แต่งงานกับลูกชายของตระกูลเมิ่ง มันจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งกับนาง
“แต่นายหญิงเจ้าค่ะ อย่างไรก็สุขภาพของท่าน….”
นายหญิงเมิ่งโบกมือของนาง “ซูซูพูดถูกในสิ่งหนึ่ง ข้าได้ไปพบแพทย์ของจักรวรรดิมามากมาย และข้ารู้ว่ามันต้องรออีกสักปีหรือสองปีตามคำพูดอันคลุมเครือของพวกเขา เด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่าสิบห้าจะเก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างไร? ครั้งล่าสุดในคฤหาสน์ตระกูลซู ข้าจ่ายเงินให้นางไปแล้ว”
มามะบีบริมฝีปากของนางแน่น มันไม่ง่ายไปหรือเพื่อที่จะตอบแทนใครสักคนที่ช่วยชีวิต แต่นางไม่กล้าพูดมันออกไป
“แล้วอาการป่วยของคุณหนูสอง…”
“ภรรยาของนายท่านใหญ่จะเป็นผู้ดูแลมัน เมืองชุนหยางไม่ใช่เมืองเล็กๆ ที่นี่น่าจะมีแพทย์หญิงที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้”
“เจ้าค่ะ” มามะไม่ตอบอะไรอีกและนวดหญิงชราไปเรื่อยๆ
………………….
เมื่อออกจากคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง ซูหลุนบอกว่าเขาต้องไปพบหย่าเหมิน ที่ทำการเมือง เพื่อจัดการบางสิ่งบางอย่าง เขาขอให้คนรับใช้ไปส่งซูมู่เกอกลับบ้าน แล้วเขาก็จากไป
มันเป็นเวบาเกือบเที่ยงแล้วและถนนก็แออัดมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยชุดกระโปรงและเครื่องประดับที่ส่งมาในวันนี้ยังมีเงินมูลค่าห้าสิบเหลียง มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเงินออมส่วนตัวของเขา
ตั้งแต่นางอยู่ที่นี่ ไม่มีเหตุผลที่ซูมู่เกอจะกลับไปมือเปล่า
“แวะร้านขายยาข้างหน้า” ซูมูเกอเปิดม่านเล็กน้อยและกล่าวกับคนขับรถม้า
“คุณหนูใหญ่ นายท่านบอกว่าให้ท่านกลับบ้านเลย….”
“หยุดแวะร้านขายยาข้างหน้า และอย่าทำให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม!” ซูมู่เกอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ว่าคนขับจะไม่ต้องการทำตามคำสั่ง เขาก็ยังคงหยุดรถม้า
ซูมู่เกอยกม่านและกระโดดลงจากรถ “รอข้าอยู่ที่นี่”
ซูมู่เกอเดินเข้าไปในร้านขายยา เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางชะงักค้าง นางหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่หลังประตู
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าก็เดินออกมาจากร้านขายยา
“นักพรตเต๋าอาวุโส เราไม่มีสมุนไพรที่ท่านต้องการจริงๆ โปรดถามที่อื่น”
นักพรตเต๋าบ่นด้วยเสียงเย็นชาและดูเหมือนไม่พอใจอย่างมาก “เจ้าจะเปิดร้านขายยาโดยไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร!” เขาเหวี่ยงแขนเสื้อและจากไป
ซูมู่เกอไม่ได้ออกมาจากหลังประตูจนกว่าเธอจะแน่ใจว่าร่างนั้นเดินจากไปแล้ว
นักบวชลัทธิเต๋าคนนี้เป็นคนที่ให้ยาพิษแก่นางหลายเดือนมาแล้ว แต่ทำไมเขามาที่นี่ เขามาจับเธอหรือ?
เจ้าของร้านยาไม่พอใจที่ถูกบ่นด่า และตกใจเมื่อหันกลับมาและเห็นคนๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“ผี!”
ซูมู่เกอรู้สึกพูดไม่ออก แต่ทำใจเย็นพูดออกมาว่า “ท่านมีเห็ดหลินจือแดงหรือไม่?”
เจ้าของร้านค่อยๆ รู้สึกตัว แต่ก้มหน้าลงไม่มองหน้าของซูมู่เกอ ปานนั่นช่างน่ากลัวมาก!
“เห็ดหลินจือแดงรึ ใช่ มีขอรับ เรามีมัน”
ในรัฐฉู่ พบว่าเห็นหลินจือแดง คุณภาพธรรมดามีอยู่ทั่วไป และก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น
ซูมู่เกอมองไปที่เห็ดหลินจือแดงบนเคาน์เตอร์และมันก็คุณภาพแย่มากจริงๆ
“นักพรตเต๋าท่านนั้นมองหาอะไร แล้วทำไมเขาถึงได้โกรธขนาดนั้น?”
เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ เจ้าของร้านตะคอกออกมา
“เขาต้องการซื้อโสมที่มีอายุมากกกว่าห้าร้อยปี และเห็ดหลินจือแดงที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี! ฉันไม่มีให้หรอก และทั้งเมืองชุนหยางก็เช่นกัน”
ซูมู่เกอไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม แต่ซื้อสมุนไพรอื่นๆ มากมายและเครื่องมือบางอย่างในการทำยา
“นำสิ่งเหล่านี้ไปที่รถม้า”
เด็กฝึกงานร้านขายยาเอาของมาให้แล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ ข้าจะขนไปให้ที่รถม้า”
ซูมู่เกอเดินออกจากร้านขายยาและกำลังจะไปร้านหนังสือ หลังจากเรื่องทั้งหมด นางรู้ว่ามีความรู้น้อยเกินไปกับโลกในตอนนี้
“ปัง!” เมื่อผ่านตรอกเล็กๆ ร่างสีดำล้มลงแทบเท้าของนางร่วงจากท้องฟ้า
ซูมู่เกอก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก นางขมวดคิ้วและมองคนที่กำลังนอนอยู่บนพื้นและคุดคู้ตัวเองขึ้น
ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส มีกลิ่นคาวเลือด นางไม่ต้องการประสบปัญหาที่ไม่จำเป็น ดังนั้นนางจึงหันหลังกลับ แต่จู่ๆ ชายคนนั้นก็เอื้อมมือจับที่ข้อเท้าของนาง
ซูมู่เกอตัวสั่นเทา หยุดหายใจ และหันกลับไปมองเขา
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบากเลือดไหลอาบทั่วใบหน้า มันไม่สามารถบอกลักษณะเดิมของเขาได้…..
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”
ซูมู่เกอขยับเท้าและพยายามสลัดชายคนนั้นออก แต่เขาจับไว้มั่น จับข้อเท้าของนางแน่นและไม่ยอมปล่อยมัน
ยิ่งซูมู่เกอพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งจับแน่นขึ้นเท่านั้น
ในที่สุด ซูมู่เกอก็ต้องหยุด
“ภายใต้สภาพที่อ่อนแอเช่นนี้ ท่านยังคงจับข้าไว้แน่นเป็นเวลาหนึ่งนาที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเอาชีวิตรอดของท่าน ดี ข้าจะช่วยท่าน”
ชายคนนี้ดูเหมือนจะได้ยินสิ่งที่ซูมู่เกอพูด และค่อยๆคลายมือของเขา
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาในหูของซูมู่เกอ นางจึงจัดการพาชายคนนั้นเข้าไปในบ้านที่ว่างเปล่า
ในไม่ช้า กลุ่มชายในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบก็มาถึงสถานที่ที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่
“มีคราบเลือดอยู่ที่พื้น เขาอยู่ไม่ไกล! เร็วเข้า!”
หลังประตูที่ซ่อนตัว ซูมู่เกอได้ยินคำพูดที่มาจากภายนอกอย่างคลุมเครือ หลังจากเสียงฝีเท้าของคนเหล่านั้นค่อยๆ หายไป นางก็นั่งยองๆลงที่พื้นเพื่อดูชายคนนั้น
เขามีบาดแผลถูกแทงหลายแห่ง แต่ไม่มีแผลใดอันตรายถึงชีวิต บาดแผลร้ายแรงมีเพียงแห่งเดียวคือลูกศรที่ช่องท้อง
ลูกศรถูกดึงออกมา แต่เงี่ยงของเหล็กปลายแหลมต้องทำให้เจ็บที่อวัยวะและบาดแผลมีเลือดไหลออกมา
แต่ตอนนี้นางไม่มียา ไม่มีเครื่องมือ และไม่ใช่สิ่งพื้นฐานใดที่ดีที่สุดสำหรับการห้ามเลือด ชายคนดังกล่าวเสียเลือดมาก ถ้าปล่อยให้เขาไม่ได้รับการรักษาเขาก็คงจะตาย
ซูมู่เกอมองลงไปที่ฝ่ามือของนาง นางไม่ได้ใช้พลังวิเศษของนางตั้งแต่ถูกวางยาพิษ
“ท่านขอให้ข้าช่วยท่าน และท่านจะต้องรับผลที่ตามมาไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร”
ซูมู่เกอยื่นมือออกไป และขยับฝ่ามือไปที่หน้าท้องที่มีบาดแผลของชายคนนั้นทีละน้อยๆ ในไม่ช้านางก็รู้สึกว่าฝ่ามือของนางอุ่นขึ้น และรู้สึกเหมือนความร้อนบนฝ่ามือจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รักษาบาดแผล
มันจนกระทั่งความร้อนบนฝ่ามือค่อยๆจางลงความรู้สึกไม่สบายของนางก็เริ่มหมดลง
ซูมู่เกอเอาฝ่ามือออกจากบาดแผล นั่งลงบนพื้น และเช็ดหน้าผากของนางซึ่งมีเหงื่ออยู่เต็ม
บาดแผลของชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลง คาดว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ซูมู่ เกอรู้ดีว่าพลังในตอนนี้จะช่วยรักษาอวัยวะที่เสียหายของชายคนนี้ได้อย่างแน่นอน
หลังจากพักหายใจ ซูมู่เกอพยายามที่จะลุกขึ้นยืน และใส่ยาเข้าไปในปากของชายคนนั้น
“ตายหรืออยู่ มันขึ้นกับตัวท่านเองแล้วตอนนี้”
ขณะที่นางจากไป เปลือกตาของชายที่อยู่บนพื้นก็ขยับ แล้วเขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้น……