ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - ตอนที่ 81 เปิดเผย
เผยเยี่ยนจะช่วยนางคิดหาวิธี?!
นางสามารถพบเจอเรื่องประเสริฐเช่นนี้ได้ด้วย!
อวี้ถังคอยฟัง รู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
เผยเยี่ยนอดจะยกยิ้มมุมปากไม่ได้ เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ
ไม่มีสายตาที่เสียดแทง ไม่มีท่าทีไม่แยแส รอยยิ้มของเขาเหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงตอนหน้าร้อน ค่อนข้างจะแยงตา แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสว่างไสวเหลือเกิน
อวี้ถังจ้องมองด้วยสายตาโง่งม
นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเผยเยี่ยนกระมัง?
แต่ไม่รู้ว่าตนทำอะไรลงไป ถึงโชคดีขนาดได้เห็นสีหน้าและอารมณ์ที่แท้จริงของนายท่านสามสกุลเผย?
อวี้ถังคิดไม่ออก รู้สึกว่าหลังตนกลับถึงเรือนแล้วต้องใคร่ครวญบทสนทนาของคนทั้งสองใหม่อีกรอบ หาเหตุผลที่เผยเยี่ยนยิ้มออกมาให้ได้ ครั้งต่อไปเมื่อมาพบเขา จะได้ทิ้งความประทับใจอันดีเอาไว้ให้เผยเยี่ยนอีก
เรื่องล้างแค้นสกุลหลี่นั้น นางยังคาดหวังให้สกุลเผยช่วยออกแรงอีกมาก!
“ท่านบอกมาเร็วเข้า” อวี้ถังรีบประจบสอพลอเผยเยี่ยนโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี น้ำเสียงที่ใช้ก็ซื่อตรงจริงใจยิ่งกว่าอะไร “ท่านมีความรู้กว้างขวาง ความคิดที่ออกมาย่อมจะสูงส่งกว่าของพวกข้าร้อยพันหมื่นเท่า ท่านว่ามาเถอะ ข้าจะทำตามทุกอย่างเลย”
ริมฝีปากของเผยเยี่ยนกระตุกขึ้นอีกครั้งแล้ว
เด็กคนนี้ใช่คิดว่าเขาเป็นคนโง่งมหรือไม่? ตอนเยินยอคนกลับทำได้เหมือนสุนัขตัวน้อยที่แกว่งหางไปมา คิดว่าตัวเองทำเรื่องยิ่งใหญ่ แต่ผู้อื่นนั้นมองออกอย่างปรุโปร่ง
ทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร
อาจเพราะว่าผู้ที่เกิดมางดงามมักจะได้รับการอภัยอย่างง่ายดายกระมัง
เผยเยี่ยนพึมพำกับตนเองในใจ สีหน้าไม่ได้แสดงออก “เจ้าคัดลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ไว้กี่แผ่น?”
อวี้ถังตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ข้าไม่ได้คัดลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ เอาไว้ คัดลอกเฉพาะแผนที่เอาไว้แผ่นหนึ่ง แต่พวกเราไม่มีใครอ่านแผนที่นั้นเข้าใจเลย”
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้เรื่องเว่ยเสี่ยวซานมาก่อน ถ้านางรู้แต่แรกว่ามีคนอยากได้ภาพผืนนั้นนางก็คงให้ไปแล้ว สกุลนางจะได้ดึงตัวเองออกมาจากเรื่องนี้เสียที แต่นับจากที่ยืนยันได้ว่าการตายของเว่ยเสี่ยวซานเกี่ยวข้องกับงานแต่งของนาง นางก็เปลี่ยนใจ…ต่อให้นางต้องตายอย่างอนาถ ตายแล้วต้องตกนรกสิบแปดขุม นางก็ต้องล้างแค้นแทนเว่ยเสี่ยวซานให้จงได้
ไม่เพียงเอาภาพวาดตัวจริงให้สกุลหลู่ นางยังคิดเล่นตุกติกกับภาพผืนนั้น ให้สกุลหลี่ต้องตกต่ำจนไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก
ภาพคัดลอกของภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ นั้น นางตั้งใจจะเก็บซ่อนเอาไว้ก่อน ต่อไปค่อยเอาออกมาใช้
แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลเผยหรือว่าเผยเยี่ยน เผยเยี่ยนเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้
เผยเยี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “เช่นนั้นเจ้านำภาพแผนที่ที่ให้คนคัดลอกมาให้ข้าดูก่อน ข้าดูแล้วค่อยพิจารณาว่าคุ้มค่าพอจะช่วยเจ้าออกความเห็นหรือไม่”
ย่อมต้องคุ้มค่าอยู่แล้ว
ไม่เช่นนั้นชาติก่อนสกุลหลี่จะพลิกมาร่ำรวยชั่วข้ามคืนได้อย่างไร
แต่คำนี้นางบอกเผยเยี่ยนไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง “อืม” ไปคำหนึ่ง เตรียมตัวกลับไปหยิบภาพแผนที่มาให้
เผยเยี่ยนกลับเรียกนางเอาไว้ เอ่ยอย่างรังเกียจว่า “เจ้าไปเปลี่ยนชุดให้ถูกต้องเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา”
อวี้ถังยิ้มตอบอย่างสว่างไสว สายตาเผลอมองประเมินเผยเยี่ยนอย่างไม่รู้ตัว
วันนี้เขาสวมชุดต้าวผาวเนื้อดีสีฟ้าอ่อน มองเผินๆ ดูเรียบง่าย ทว่าเนื้อผ้าทอละเอียด สะอาดสะอ้านและเป็นทรงสวย ทอประกายคล้ายกับหยกขาว และตัดจากผ้าซานซัวของดีแห่งซงเจียง เป็นสินค้าบรรณาการ ผ้าชั้นดีหนึ่งพับนี้ มีค่าเท่ากับผ้าดิ้นเงินปักทองหนึ่งพับเลยทีเดียว ทั่วร่างของเขาไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น แต่ในมือถือพวงลูกประคำสิบแปดเอาไว้ ลูกประคำนั้นไม่เป็นสีออกม่วงแดงเหมือนไม้ประดู่ ไม่เป็นสีออกเหลืองอย่างไม้พะยูงหอม แต่กลับเป็นสีต้นถงมู่ มองแล้วเรียบง่ายไม่สะดุดตา แต่กลับปล่อยกลิ่นหอมหวานออกมาจางๆ หากคนสายตาหลักแหลมได้เห็นก็จะรู้ว่านี่คือลูกประคำไม้ศรีตรังที่ค่อนไปทางสีน้ำตาลเขียว เป็นสินค้าจากนอกทะเล หาได้ยากยิ่งกว่ายาก ปีนั้นสกุลหลี่ก็ได้มาเส้นหนึ่ง คนสกุลหลินเห็นว่าสูงค่ายิ่ง ไม่หยิบออกมาให้ผู้อื่นเห็นง่ายๆ ซ้ำยังเคยพูดว่าจะเก็บซ่อนเอาไว้เป็นสมบัติประจำสกุลเลยทีเดียว ส่วนรองเท้าผ้าสีดำที่สวมเขาอยู่ ก็ใช้เส้นด้ายสีเดียวกันปักเป็นลายอักษร ‘ว่าน[1]’ ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด…ความพิถีพิถันทั่วทั้งร่างนี้ ถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความวางเฉยไม่แยแส สอดแทรกอยู่ในรายละเอียดอันเล็กน้อย
อวี้ถังก้มหน้าลง แล้วลอบมองเผยเยี่ยนด้วยสายตาดูแคลน
นายท่านสามสกุลเผยผู้นี้ ช่างมีความคิดและการกระทำที่ขัดแย้งกันโดยแท้
มิน่าเขาถึงทำท่ารังเกียจนาง!
อวี้ถังกลัวเผยเยี่ยนจะมองออกว่าตนไม่ใส่ใจ จึงรีบรับคำว่า “ได้” ทันที
เผยเยี่ยนตอบกลับอย่างพอใจว่า “อืม” เสียงหนึ่ง ทั้งเสริมอีกว่า “บอกกับนายท่านอวี้สักคำด้วย เชิญเขามาหารือร่วมกันเลย”
หากว่าแผนที่ผืนนั้นไม่มีราคาค่างวดอะไร คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดหาว่าเขารังแกคุณหนูสกุลอื่น
“ก็ได้!” อวี้ถังรับคำ ตอนนั้นเพิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้สมควรให้บิดานางมาหารือกับเผยเยี่ยนถึงจะดี
นางรีบกลับไปที่เรือน
อวี้เหวินไปดูร้านค้าที่ถนนฉางซิ่งยังไม่กลับมา
ได้ยินจากคนสกุลเฉินว่า ท่านลุงใหญ่ของนางขนสินค้าจากเจียงซีเข้ามาจำนวนหนึ่ง ของมาถึงท่าเรือเสาซีวันนี้ ญาติผู้พี่ของนางต้องไปตรวจรับสินค้า ที่ร้านจึงไม่มีคนดูแล อวี้เหวินถึงได้ไปช่วยงาน
อวี้ถังส่งคนไปเชิญบิดากลับมา ส่วนตัวเองก็ไปห้องหนังสือรื้อหาแผนที่ที่คัดลอกเอาไว้ นางสั่งซวงเถาให้ยกน้ำเข้าไป รับใช้นางหวีผมแต่งตัวใหม่ทั้งหมด
ผมหวีเป็นทรงมวยตกหลังม้า ประดับด้วยดอกซานฉาใหญ่เท่าปากชามสีชมพู ห้อยตุ้มหูไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัว สวมเสื้อตัวบนสีเขียวปักด้ายทองรอบตัว กระโปรงจีบผ้าหังโจวสีชมพู คู่กับรองเท้าสีเดียวกับปักลายเมฆ
อวี้ถังมองภาพหญิงงามที่สะท้อนอยู่ในกระจก นางฉีกยิ้มแล้วทำท่าให้กำลังใจตัวเองทีหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปรออวี้เหวินที่ประตูใหญ่
คนสกุลเฉินเห็นแล้วก็ตกอกตกใจ “เจ้าทำอะไรน่ะ? ตอนไปดื่มสุรามงคลบ้านหม่าซิ่วเหนียงก็ไม่เห็นเจ้าแต่งตัวอลังการเช่นนี้ หรือเจ้าจะออกไปพบใครรึ?”
“ไปจวนสกุลเผยเจ้าค่ะ” อวี้ถังพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “ข้ามีเรื่องต้องไปขอพบนายท่านสามหน่อย”
คนสกุลเฉินไม่ได้สงสัยอะไร
ในสายตานาง เผยเยี่ยนกับอวี้เหวินเป็นผู้อาวุโสรุ่นเดียวกัน ยิ่งเผยเยี่ยนก็เป็นคนดีมีคุณธรรม ช่วยปกป้องดูแลชาวเมือง บุตรสาวไปพบเผยเยี่ยน ก็เหมือนไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสคนหนึ่ง แต่งตัวให้เต็มยศยิ่งถือเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย หากแต่งเรียบง่ายเกินไปก็จะดูสนิทสนมใกล้ชิด จะอย่างไรก็ไม่เกินงามแน่
“เจ้าจะไปหานายท่านสามทำไมรึ?” คนสกุลเฉินถามอยากรู้ “เพราะเรื่องลดจ่ายภาษีหรือ?”
ปีก่อน จินหวาถูกน้ำท่วม ท่านข้าหลวงคนก่อนของจินหวาเสนอให้ราชสำนักงดเว้นการจ่ายภาษีสองปี ทางราชสำนักก็เห็นสมควร ปีที่แล้วหลินอันก็ถูกน้ำท่วม แต่ก็ท่วมเพียงสี่ห้าหมู่บ้านเท่านั้น มีคนเห็นว่าจินหวาได้รับการงดเว้นภาษี จึงคิดจะเอาอย่างบ้าง หลายวันนี้ยังมีคนมายุยงให้อวี้เหวินลงชื่อเพื่อขอให้ท่านข้าหลวงทังช่วยออกหน้าอยู่เลย
อวี้เหวินนั้นคิดว่าพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมมีไม่มาก อีกอย่างหากชาวเมืองร่วมแรงเป็นหนึ่ง ไม่แน่อาจกู้ความเสียหายกลับคืนมาได้ จึงหาเหตุผลปฏิเสธไป แต่ก็ยังมีคนเสนอให้ไปหาเผยเยี่ยนแทน
“มิใช่หรอกเจ้าค่ะ” อวี้ถังยิ้ม “เพราะเรื่องภาพวาดผืนนั้นของท่านลุงหลู่ต่างหาก สุดท้ายภาพนั้นไปตกอยู่ในมือสกุลหลี่ เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องบอกนายท่านสามให้รับทราบไว้”
เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกันได้
สกุลหลี่หลายวันนี้กำลังดิ้นรนเต็มแรง สกุลเผยสมควรจะให้บทเรียนแก่พวกเขาบ้าง
คนสกุลเฉินพยักหน้า ทางหนึ่งก็จัดปอยผมให้นาง ทางหนึ่งก็กำชับว่า “เจ้าไปแล้วก็ต้องทำตัวดีๆ อย่าทำตัวกระโดกกระเดกเหมือนว่าที่นั่นเป็นบ้านตัวเอง อยากกินอะไรก็กิน อยากดื่มอะไรก็ดื่ม เป็นสตรี อย่างไรก็ต้องระวังภาพลักษณ์ไว้ก่อน”
หากมารดารู้ว่าตนเคยแทะขาหมูด้วยมือเปล่าต่อหน้าเผยเยี่ยนมาแล้ว ไม่รู้ว่านางจะโมโหจนกระอักเลือดหรือไม่?
อวี้ถังเม้มปากยิ้มๆ ไม่อยากส่งเสียงอะไรออกไปอีก
ดีที่รอไม่นานอวี้เหวินก็กลับมา สองพ่อลูกจึงแอบเข้าไปคุยกันในห้องหนังสือ
เมื่อรู้เหตุผลที่มาของเรื่องราว อวี้เหวินก็ตำหนินางทันที “เจ้าเด็กคนนี้ ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมาอีก? หากว่านายท่านสามไม่เชื่อเจ้าเล่า?”
อย่างไรอวี้ถังก็ไม่อาจตอบว่าเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างกระมัง?
นางพูดว่า “ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งยังเป็นผู้เล่าเรียนเขียนอ่านไม่กี่คนในเมืองหลินอันนี้ อีกอย่างอารมณ์ของนายท่านสามใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ ถ้าท่านไปหาแล้วเขาตอบตกลงก็ดีไป แต่ถ้าไม่สำเร็จเล่า? จะเอาความต้องการของเราฝ่ายเดียวไปยัดเยียดให้เขาไม่ได้กระมัง? ให้ข้าไปย่อมเหมาะสมกว่าเห็นๆ! ต่อให้ข้าพูดอะไรผิดไปบ้าง คนอื่นก็คิดว่าข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่มีทางเก็บไปใส่ใจแน่”
อวี้เหวินฟังว่าบุตรสาวพูดมีเหตุผล จึงได้ล้างหน้าหวีผมใหม่ แล้วไปจวนสกุลเผยกับอวี้ถัง
—
เผยเยี่ยนไม่ค่อยคุ้นชินกับการต้องรอคน หลังจากส่งอวี้ถังกลับไปแล้ว เขาก็ไปห้องหนังสือของตนซึ่งตั้งอยู่นอกเรือน
ห้องหนังสือนี้ ปกติมักเอาไว้ใช้จัดการธุระจุกจิก จึงค่อนข้างทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย
ตอนที่อวี้ถังกับอวี้เหวินเดินเข้าห้องหนังสือไป เขากำลังเอนตัวอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้หวายโยก จิบชาเหยียนฉา[2]ที่เพิ่งวางขายในตลาด แสงอาทิตย์อบอุ่นยามบ่ายในฤดูใบไม้ร่วงสาดเข้ามา ทำให้เขาเหมือนตะวันที่อุ่นสบายในฤดูนี้
“นายท่านอวี้กับคุณหนูอวี้มาแล้วหรือ!” เขาไม่ได้วางตัวห่างเหิน เพียงลุกขึ้นมาทักทายคนทั้งสอง สายตากลับตกอยู่บนร่างของอวี้ถัง
ไม่เลว น่ารักอ่อนหวานเหมือนดอกไห่ถังยามใบไม้ผลิ นี่เป็นภาพลักษณ์ที่เด็กสาวควรจะมี
เขาผงกศีรษะน้อยๆ เผยอารมณ์พอใจออกมา
อวี้ถังถอนหายใจเฮือก
ในใจกำลังขบคิดว่า ที่แท้เผยเยี่ยนก็ชื่นชอบอะไรเช่นนี้ โชคดีที่นางคิ้วเข้มตาโต อ่อนหวานไม่มาก แต่งดงามจับใจ ไม่อย่างนั้นคงแต่งตัวแบบนี้ออกมาไม่รอดแน่
ต่อไปหากมาพบเผยเยี่ยน ก็แต่งตัวมาแบบนี้เป็นใช้ได้
อย่างไรนางก็มาขอร้องผู้อื่นเขา
อวี้เหวินกลับดีอกดีใจที่ได้รับการต้อนรับ
ท่าทางของเผยเยี่ยนดูเป็นกันเอง ปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับเป็นสหายเก่าแก่
อวี้เหวินไม่เคยเจอเผยเยี่ยนในลักษณะนี้มาก่อน เขารีบประสานมือคารวะเผยเยี่ยน ปากก็พูดว่า “มารบกวนแล้ว!”
เผยเยี่ยนส่ายหน้า มองสาวใช้ยกขนมน้ำชาเข้ามาวางแล้วก็ปิดประตูลง จากนั้นก็เอ่ยเข้าเรื่องกับอวี้ถังทันที “ภาพแผนที่ผืนนั้นพวกเจ้านำมาด้วยหรือไม่? พวกเราคงต้องเริ่มดูแผนที่ก่อน ตอนนี้การค้าทางทะเลรุ่งเรือง ใครๆ ต่างก็อยากจะมาแบ่งชิ้นเนื้อกิน ต่างฝ่ายต่างหาลู่ทาง ต่างกลุ่มต่างกองเรือ แต่ละสกุลก็มีแผนที่ทางทะเลเป็นของตัวเอง…”
ทางหนึ่งเขาอธิบายไป อีกทางก็รับแผนที่ต่อจากมืออวี้ถัง เขากางมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หมุนตัวไปหยิบแว่นขยายออกมา
อวี้เหวินพลันตื่นเต้นดีใจ “ในมือท่านใช่แว่นขยายหรือไม่? ทำออกมาได้ประณีตยิ่งนัก? เป็นสินค้าจากกองเรือเหมือนกันหรือ?”
เผยเยี่ยนมองแว่นขยายในมืออย่างงงๆ ภายหลังเมื่อเข้าใจจึงตอบไปว่า “เป็นแว่นขยายนั่นแหละ หลายปีก่อนตอนที่ข้าไปเที่ยวเมืองกว่างโจว ได้พบเข้าโดยบังเอิญถึงซื้อเก็บเอาไว้ เจ้าอยากดูหน่อยไหมเล่า?” พูดจบ เขาก็ยื่นแว่นขยายให้อวี้เหวินทันที
อวี้เหวินพลิกหน้าหลังดูอย่างสนอกสนใจเป็นค่อนวันถึงยอมส่งคืนให้เผยเยี่ยน “ทำให้ท่านขบขันแล้ว ข้ามักสนใจของเล่นพวกนี้เป็นพิเศษ”
เผยเยี่ยนนึกออกว่าก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าใจอวี้ถังผิดก็ยังไม่ได้ขอโทษสกุลอวี้อย่างจริงจังเลย จึงเอ่ยออกไปอย่างง่ายดายว่า “นายท่านอวี้หากว่าชอบใจ ข้ามอบมันให้เจ้าก็แล้วกัน ข้ายังมีอีกอันหนึ่ง เก็บไว้ที่เรือนเมืองหังโจว”
“ไอหยา ไม่ต้องหรอก!” อวี้เหวินบอกปัดด้วยสีหน้าแดงเรื่อ “ข้าก็แค่อยากดูสักหน่อยเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร” เผยเยี่ยนบอก แล้วหยิบแว่นขยายไปส่องดูแผนที่อย่างละเอียด
พ่อลูกสกุลอวี้แทบหยุดหายใจ รอฟังผลลัพธ์จากเผยเยี่ยน
————————————————————-
[1]ว่าน เป็นสัญลักษณ์คล้ายรูปสวัสติกะ เป็นตัวแทนแห่งความเป็นสิริมงคลของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน
[2]ชาเหยียนฉา หรือ ชาหินผา เป็นใบชาชนิดหนึ่งที่ถูกตั้งชื่อตามสถานที่ที่ในการเพาะปลูก