“ซูยุ่นมีจดหมายของคุณอยู่ที่ประตู ”
ฉีซิ่วหรานมาที่บ้านของฉันเพื่อกินข้าวเย็นตามปกติ แต่เขาเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ
ฉันอยู่ที่นี่ยกเว้นชวี่ชิงหนานไม่มีใครรู้เลย ดังนั้นฉันจึงไม่ตอบสนองอยู่พักหนึ่ง: “เป็นของฉันเหรอ?”
ฉีซิ่วหรานเอื้อมมือไปอุ้มเป้ยเปยจากแขนของฉันและยื่นซองจดหมายให้ฉัน
ฉันขมวดคิ้วและหยิบซองขึ้นมาอย่างสงสั ยฉันไม่ได้คิดอะไรมากและเปิดซองต่อหน้าของฉีซิ่วหราน
แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นจดหมายของทนายความ ที่บอกว่าฉันถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยโดยลู่จือสิง เวลากว่าร่วมปีแล้ว ฉันถึงได้เห็นคำสามคำ “ลู่จือสิง” อีกครั้ง ฉันรู้สึกสับสนไปหมด .
ฉีซิ่วหรานที่อยู่ข้างๆเรียกฉัน: “ซูยุ่นมีไรหรือเปล่า?”
ฉันตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้สติกลับมา และรู้ว่าฉีซิ่วหรานยังอยู่ที่นี่
ฉันไม่ต้องการให้เขารู้ ดังนั้นฉันจึงปกปิดมัน: “ไม่มีอะไร เป็นแค่จดหมายจากเพื่อนเก่า คุณช่วยดูเป้ยเปยให้ฉันได้ไหม ฉันจะเข้าไปดูในห้องหน่อย ”
ฉีซิ่วหรานไม่สงสัยเลย: “ไปเถอะ”
ฉันพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตู จากนั้นอ่านจดหมายอย่างละเอียดอีกครั้ง
ฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะใจร้ายขนาดนี้ เขากล่าวหาว่าฉันขโมยสร้อยคอของบรรพบุรุษของเขาไป!
ฉันเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็ไม่เห็นสร้อยคอของบรรพบุรุษเลย!
รอก่อน
ทันใดนั้นฉันก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้ และใบหน้าของฉันก็ตึงขึ้น
ฉันเก็บกระเป๋าเดินทางและฉันรู้ดีว่าฉันเอาอะไรไปบ้าง แต่ฉันไม่ใส่อะไรลงไปในช่องลับของกระเป๋าเดินทางดังนั้น …
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉันจึงรีบเปิดกระเป๋าเดินทางออก จากนั้นก็เปิดซิปช่องที่ซ่อนอยู่
ข้างในนั้นมีกล่องเครื่องประดับทรงสี่เหลี่ยมอยู่จริงๆ เมื่อฉันหยิบมันออกมามือของฉันก็สั่น เมื่อฉันเปิดออกมามันสร้อยคอพลอยสีแดงวางอยู่ในนั้น
ฉันรีบอ่านจดหมายของทนายความอีกครั้ง และลู่จือสิงก็ขอให้ฉันติดต่อเขาก่อนวันที่ 12 ของเดือนนี้ เพื่อเคลียร์ปัญหา ถ้าไม่งั้นก็เจอกันในศาล
ฉันตัวสั่นด้วยความโกรธและฉีกจดหมายของทนายความเป็นชิ้นๆ
มองไปที่กล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนพื้นและนึกถึงสร้อยคอที่อยู่ข้างใน ฉันจำไม่ได้ว่าฉันยัดของแบบนั้นลงในช่องลับตอนไหน
แต่ถ้าบอกว่าลู่จือสิงจงใจยัดมันเข้าไปก็เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีแรงจูงใจที่จะทำเช่นนี้
ไม่ว่าฉันจะคิดยังไงฉัน ก็ไม่เข้าใจว่าสร้อยเส้นนี้เข้าไปอยู่ในกระเป๋าเดินทางได้อย่างไร
ฉันไม่เข้าใจ และฉันหงุดหงิด ไม่สบายใจและฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันที่สงบลงในที่สุดกำลังจะถูกทำลายโดยลู่จือสิง
ที่จริงเขารู้ว่าฉันอยู่ในเมือง D และรู้ว่าฉันอาศัยอยู่ที่นี่ และเขาก็รู้การมีอยู่ของเป้ยเปยเช่นกัน …
ใบหน้าของฉันซีดลงทันที ตราบใดที่ฉันคิดว่าลู่จือสิงรู้เกี่ยวกับที่อยู่ของเป้ยเปย ฉันก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย
ทำไงดี
ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี ถึงแม้ว่าเป้ยเปยจะยังเด็ก แต่ลู่จือสิงก็ใหญ่ค้ำฟ้าอยู่ในเมือง A มันเป็นเรื่องง่ายมากที่เขาจะเอาเป้ยเปยกลับไป
แต่ฉันมีเพียงเป้ยเปย และสิ่งเดียวที่สนับสนุนชีวิตของฉันคือ เป้ยเปย
“ซูยุ่น?”
ขณะที่ฉันกำลังเสียสูญ ฉีซิ่วหรานก็เคาะประตูห้องของฉันกะทันหัน
เมื่อได้ยินเสียงของเขาฉันก็สงบลงเล็กน้อย
บางทีลู่จือสิงอาจแค่มอบหมายให้ทนายความจัดการเรื่องนี้เขา และไม่รู้ว่าฉันอาศัยอยู่ที่ไหนนับประสาอะไรกับการอยู่ของเป้ยเปย
ในขณะที่ปลอบใจตัวเอง ฉันก็สงบสติอารมณ์ลงก่อนและไปเปิดประตู“มีอะไรรึเปล่า?”
ฉีซิ่วหรานส่ายหัว เป้ยเปยในอ้อมแขนของเขากำลังมองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่เอ่อล้น หัวใจของฉันก็รู้สึกอึดอัดและกระวนกระวายมากขึ้น
“มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหรือเปล่า?”
“หือ?” คำถามที่กะทันหันของฉีซิ่วหรานทำให้ฉันอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อสติของฉันกลับมา ฉันยิ้มและส่ายหัว: “มันไม่มีอะไร แค่ถอนหายใจ ดึกแล้วมากินข้าวกันเถอะ”
ด้วยเหตุนั้นฉันจึงเดินออกไป
ฉีซิ่วหรานเดินตามฉันไปที่ห้องครัว เขาอุ้มเป้ยเปยอยู่ ดังนั้นฉันจึงไปที่ห้องครัวเพื่อเอาอาหารออกมา
คืนนี้เป้ยเปยนนอนดึกหน่อย ฉันให้เป้ยเปยเข้านอนตอนสามทุ่มกว่า ๆ ก่อนสี่ทุ่ม พอเดินออกมาก็เจอฉีซิ่วหรานถือคอมพิวเตอร์และพิมพ์อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างตั้งใจ
ฉันไม่ได้รบกวนเขา ฉันเข้าไปในครัวและดื่มน้ำหนึ่งแก้ว แล้วฉีซิ่วหรานในห้องนั่งเล่นก็เรียกฉัน: “ซูยุ่น”
ฉันคิดว่ามันต้องมีอะไร ฉันจึงรีบวางแก้วน้ำแล้วเดินออกไป: “มีอะไรเหรอ?”
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”
เขาแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน สายตาเขามองมาที่ด้วยความกดดันเล็กน้อย ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถซ่อนมันได้อีก
อีกอย่างฉันก็ไม่มีเพื่อนอยู่ข้างๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำอย่างไร เมื่อเจอเรื่องแบบนี้
หลังจากจนมุม ฉันยกมือขึ้นเช็ดหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาและพูดว่า“ ฉันได้รับจดหมายจากทนายความของอดีตสามี ตอนฉันจากมาฉันบังเอิญเอาสร้อยคอของเขามาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เขาขอให้ฉันคืนสร้อยให้เขา”
ฉันหยุดพูด และฉีซิ่วหรานก็ไม่ได้พูดเช่นกัน เขารู้ชัดว่าฉันยังพูดไม่จบ
ฉันรู้สึกตะขิตตะขวง: “เขาต้องการให้ฉันคืนเป็นการส่วนตัว ไม่อย่างนั้นฉันต้องไปพบเขาในศาล”
ฉันรู้ว่าลู่จือสิงทำได้
“ผมจะไปกับคุณ.”
ฉันส่ายหัวซ้ำ ๆ : “ไม่ฉีซิ่วหราน ฉันไม่กลัวเขา ฉันแค่กลัวเป้ยเปย”
ฉีซิ่วหรานฉลาดมาก ก่อนฉันจะพูดจบเขาก็เข้าใจแล้ว: “ผมขอโทษ”
เมื่อได้ยินคำขอโทษของเขา ฉันก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย : “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษ!”
เขาส่ายหัว และใบหน้าเย็นชาลงเล็กน้อย: “ถ้าไม่ใช่วันนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจและมีคนถ่ายรูปแล้วโพสต์บนอินเทอร์เน็ต บางทีอดีตสามีของคุณอาจไม่พบคุณที่นี่”
คำพูดของเขาทำให้ฉันพูดไม่ออก แต่เขาไม่ต้องตำหนิในเรื่องนี้ก็ได้: “ถ้าเขาอยากพบฉันไม่ช้าก็เร็ว เขาก็สามารถหาฉันจนเจอได้”
ความสามารถของลู่จือสิง ถ้าเขาตามหาฉัน เขาจะสามารถหาฉันเจอได้ภายในสามวัน
แต่หนึ่งปีกว่าแล้ว ก่อนที่เขาจะมาหาฉัน เห็นได้ชัดว่าเขาแค่ต้องการชำระบัญชีกับฉันหรือไม่เขาก็ได้ค้นพบการมีอยู่ของเป้ยเปย
“ ซูยุ่น ผมช่วยคุณได้”
ฉีซิ่วหรานไม่ได้พูดมากนัก แต่ทุกประโยคนั้นจริงใจ
เขามองตรงมาที่ฉัน ด้วยสีหน้าจริงจัง ฉันจำคำสารภาพกระซิบของเขาที่อยู่นอกประตูคืนนั้นได้และรีบหันไป: “เขาจะไม่เอาอะไรจากฉันเลย แต่ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่ามีเป้ยเปยอยู่ ”
เขาเข้าใจแล้ว: “คุณจะไปที่นั่นเมื่อไหร่”
ฉันคิดอยู่พักหนึ่ง: “วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว เขาอยากให้ฉันไปที่นั่นก่อนวันที่ 12 ฉันจะไปวันที่ 8”
“ฝากเป้ยเปยไว้กับผม เดี๋ยวผมดูแลเอง”
ฉันไม่กังวลเรื่องนี้ ตั้งแต่เป้ยเปยเกิดฉีซิ่วหรานช่วยฉันดูแลเป้ยเปย
ฉันมองเขาด้วยความขอบคุณ: “ขอบคุณนะ”
“ ซูยุ่น ต่อไปคุณอย่าพูดขอบคุณกับผมอีกนะ”
MANGA DISCUSSION