หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ - ตอนที่ 80 ซูยุ่น หลังจากนี้คุณจะมีผมเสมอ
เทียนและดอกไม้ที่วางจากทางเข้าประตูทอดยาวไป ภายในบ้านไม่มีแสงไฟ ลู่จือสิงยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของบันไดถือช่อดอกกุหลาบมองตรงมาที่ฉัน "เหม่ออะไรอยู่ ยังไม่รีบมาอีก?"
ฉันรู้สึกประหลาดใจมากกับภาพนี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดฉันก็รีบก้าวเท้าเข้าไป
ลู่จือสิงยื่นมือมาคว้าฉันไว้ "จะรีบวิ่งไปทำไม ไม่กลัวล้มหรือไง?"
ฉันตื่นเต้นมากจนไม่สนใจคำถามของเขา "ทำไมจู่ๆคุณถึง…"
ใบหน้าของลู่จือสิงนิ่งงันไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าดูไม่เป็นธรรมชาติ เขายัดดอกกุหลาบช่อใหญ่ไว้ในมือของฉันพร้อมกับก้มลงมาจ้องมองฉัน การแสดงออกของเขาจริงจังมากจนฉันไม่ทันที่จะตอบสนองอะไร
"ซูยุ่น"
ฉันถือดอกกุหลาบและมองไปที่เขาอย่างนิ่งงัน
"สุขสันต์วันเกิด"
ฉันคิดถึงสิ่งที่เขาจะต้องพูดมากมาย แต่ฉันไม่คาดคิดว่าคำทั้งสี่นี้จะออกมาในตอนสุดท้าย
ในเวลานี้ฉันก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าที่แท้วันนี้คือวันเกิดของฉัน
ฉันไม่ได้มีวันเกิดตั้งแต่คุณยายของฉันป่วย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าลู่จือสิงจะจำวันเกิดของฉันได้
ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรร้องไห้ในบรรยากาศดีๆแบบนี้ แต่ฉันอดไม่ได้จริงๆ น้ำตาฉันรินไหลลงมา "ลู่จือสิง!"
ฉันยกมือขึ้นและกอดเขาแน่น ฉันรู้สึกเพียงว่าฉันกำลังกอดโลกทั้งใบ
"คุณไม่ต้องร้องแล้ว ผมจะทนไม่ไหวแล้วถ้าคุณยังร้องไห้"
เขายกมือขึ้นเพื่อกอดฉันราวกับว่าไม่รู้ว่าเขานั้นควรทำอย่างไร
ฉันมองเขาและรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองเล็กน้อย ภายในใจฉันนั้นอบอุ่น
ลู่จือสิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของฉัน "ไม่ร้องแล้วซูยุ่น หลังจากนี้ผมจะอยู่ฉลองวันเกิดของคุณในทุกปี" ฉันคิดว่าไม่มีอะไรจะสวยงามไปกว่าประโยคนี้!
ฉันยกมือขึ้นแล้วโยนดอกกุหลาบไปยังโซฟาที่อยู่ด้านข้าง ยกมือขึ้นคล้องคอเขาแล้วทาบริมฝีปากไว้บนริมฝีปากของเขา
ลู่จือสิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและในไม่ช้าเขาก็กอดฉันและจู่โจมฉัน
เราสองคนยืนอยู่ตรงนั้นและจูบกันเป็นเวลาเกือบห้านาที จนกระทั่งฉันแทบหมดลมหายใจลู่จือสิงจึงปล่อยฉัน
ฉันพิงซบตรงอกเขา ฟังเสียงลมหายใจที่ร้อนรนและรวดเร็วของเขา
"ขอบคุณ ลู่จือสิง"
หลังจากนั้นฉันเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา
ลู่จือสิงกระแอมไอเบาๆและจูงมือฉันไป "กินข้าวกัน"
"กินข้าว? ฉันยังไม่ได้ทำอาหารเลย…"
เมื่อฉันเดินไปที่ห้องอาหารกับลู่จือสิง ฉันพบว่ามีอาหารค่ำใต้แสงเทียนตั้งรออยู่
ฉันมองไปที่อาหารค่ำที่สวยงามบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าจะอธิบายอารมณ์ของตัวเองอย่างไรดี
ไม่น่าแปลกใจที่ลู่จือสิงจะเร่งให้ฉันกลับบ้านโดยเร็ว เมื่อคิดว่าเขาสละเวลาว่างมาทำเซอร์ไพรส์ให้ฉัน ความหวานภายในใจของฉันนั้นไม่มีระดับที่ลดต่ำลงเลย
หลังจากอาบน้ำแล้ว ลู่จือสิงก็ได้กอดฉันไว้และยืนอยู่ที่หน้าต่างของห้องและขอให้ฉันเล่าเรื่องในวัยเด็กให้เขาฟัง
ฉันไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้คนอื่นฟัง เพราะฉันเป็นลูกบุญธรรมที่มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคุณยายเลี้ยงดูฉัน ตอนที่ฉันอยู่ชั้นประถมฉันมักจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเย้ยด้วยเรื่องนี้
จนกระทั่งตอนนี้ ภายในใจฉันก็ยังก้าวผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ ฉันมักคิดว่าตัวเองด้อยค่า แม่และพ่อก็ยังไม่ต้องการฉัน
ฉันไม่ได้ดูแย่ ฉันไม่ได้ไม่มีแขนหรือขา แต่พ่อกับแม่ไม่ต้องการฉัน ก่อนหน้านี้เด็กๆเคยกล่าวว่าฉันนั้นเป็นตัวอับโชคดังนั้นพ่อและแม่จึงไม่ต้องการ
คุณยายบอกว่าฉันเป็นดวงดาวที่นำพาโชคดี พ่อและแม่ฉันจะต้องลำบากที่เขาไม่ต้องการฉัน
"เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ฉันรอให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาหาฉัน แต่ฉันรอมายี่สิบหกปีแล้วและฉันกลับรอไปโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย"
ลู่จือสิงก้มศีรษะและจูบฉัน "ซูยุ่น หลังจากนี้คุณจะมีผมอยู่เสมอ"
ฉันจับมือเขาแน่น จ้องมองเขาพร้อมกับรอยยิ้ม "ฉันรู้แล้วว่าหลังจากนี้ฉันยังมีคุณ"
ฉันโชคดีมากที่ได้พบกับลู่จือสิง
"ปัง—-"
ทันใดนั้นดอกไม้ไฟก็บานสะพรั่งตรงด้านนอกหน้าต่าง
ฉันยืนอยู่หน้าหน้าต่างนั้นคาดไม่ถึงว่าลู่จือสิงจะจุดดอกไม้ไฟเช่นนี้…
"คุณ…"
"ฟึ่บ!"
เขายกมือขึ้นเพื่อปิดริมฝีปากของฉัน ก้มมองฉันแสดงให้ฉันเห็นว่าไม่ต้องพูดอะไร
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา ดอกไม้ไฟไม่เพียงแต่เบ่งบานอยู่ข้างหลังเท่านั้น แต่ฉันยังเห็นตัวเองยืนอยู่ใต้ดอกไม้ไฟในสายตาของเขาอย่างชัดเจน
ฉันเอื้อมมือขึ้นไปกอดเขาจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจูบเขา
เขากอดฉันแน่นและกดทับร่างฉันไว้กับบานหน้าต่าง
ดอกไม้ไฟนอกหน้าต่างยังคงบานสะพรั่ง ฉันและลู่จือสิงยังคงจูบกันใต้ดอกไม้ไฟที่กำลังเบ่งบานอย่างต่อเนื่อง ทำในสิ่งที่เรารักที่จะทำ
คืนนั้นลู่จือสิงนั้นอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็นมา ฉันเหมือนกับจะตายเนื่องจากความอ่อนโยนของเขา
คืนวันเกิดแบบที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน
ลู่จือสิงในท่าทางเช่นนี้ ทำให้ฉันคิดว่าพวกเราจะต้องมีความสุขตลอดไป
แต่ในที่สุดฉันก็พบว่าของบางอย่างอาจจะเต็มล้นจนเกินไป
ภายในไม่กี่วัน บริษัทก็เกิดปัญหา
ฉันยังคงอยู่ในสภาวะที่ง่วงนอน ลู่จือสิงรับสายโทรศัพท์และบอกว่าเขาจะต้องไปยังบริษัท
"ทำไมเหรอ?"
"ที่บริษัทเกิดปัญหา คุณนอนก่อนเถอะ ผมจะแวะไปบริษัทหน่อย"
เขากดฉันเอาไว้เพื่อไม่ให้ฉันลุกขึ้น
ในเวลานี้ฉันคิดว่ามันน่าจะเกือบรุ่งสางแล้ว นั่นทำให้ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและพบว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมงแล้ว
เมื่อเห็นเวลาฉันเองก็ตกใจและแทบกระโดดลงจากเตียง หยิบชุดเสื้อผ้าแล้วรีบจัดการธุระของตัวเองจากนั้นก็เรียกลู่จือสิง "ลู่จือสิง รอก่อน ฉันจะไปบริษัทพร้อมกับคุณ"
ลู่จือสิงกำลังสวมรองเท้า เมื่อได้ยินเสียงของฉันเขาก็เงยหน้าขึ้น ท่าทางของเขานั้นสับสนเล็กน้อย
"ไม่ต้องหรอก สายมากแล้ว คุณกลับไปนอนเถอะ"
ใบหน้าของเขาเย็นชาและท่าทีของเขาแข็งกร้าวมาก
ฉันที่เดินเข้าไป ก็ถูกเขาผลักกลับมา
"ปัง—"
ฉันผงะไปชั่วขณะ ลู่จือสิงก็ได้เปิดประตูและจากไปแล้ว
ในเวลากลางดึก ฉันกังวลมากจึงโทรถามหลี่จื้อเป็นสายแรก แต่หลี่จื้อกลับอ้ำๆอึ้งๆ
ท่าทางของหลี่จื้อทำให้ฉันรู้ เรื่องราวต่างๆนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่ฉันคิดเอาไว้
เมื่อนึกถึงท่าทางที่แข็งกร้าวไม่เป็นธรรมชาติของลู่จือสิง ฉันเองก็นอนไม่หลับเลย ฉันนั่งบนเตียงและมันไม่ง่ายเลยจนกว่าจะเช้า ฉันไม่ได้สนใจเวลาอะไรเลย ฉันแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จก็ตรงออกจากบ้านไป
เมื่อถึงบริษัทก็ยังไม่แปดนาฬิกา ทั้งบริษัทเงียบมากและไม่มีใครอยู่ในสำนักงานเลย
ลู่จือสิงรีบกลับมาในช่วงเวลาตีสอง แน่นอนว่าจะต้องมีการประชุมผู้บริหารระดับสูง
ฉันกำลังคิดถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัท ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ฉันคิดว่าเป็นลู่จือสิงจึงรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเป็นหลี่จื้อ
"เลขาซู?"
ฉันพยักหน้า "บริษัทเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
“ทำไมคุณมาเช้าขนาดนี้?”
เขาไม่ตอบคำถามของฉัน ฉันไม่ยอมแพ้และถามอีกครั้ง "หลี่จื้อ คุณรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?"
หลี่จื้อส่ายหน้า "ตอนนี้ผู้บริหารระดับสูงยังประชุมไม่เสร็จ ฉันไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ สามารถบอกได้เพียงแค่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่เท่านั้น"
"ผลิตภัณฑ์ใหม่? ผลิตภัณฑ์ยังไม่ได้ลงตลาดเลย? จะเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร?"
"ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้"
ฉันเข้าใจว่าเขาต้องการเก็บเป็นความลับจึงไม่ถามอะไรต่อและกลับไปยังห้องทำงานเพื่อรอฟังผล
ในเวลาประมาณสิบโมงเช้า ลู่จือสิงกลับมายังห้องทำงานของตัวเองด้วยสีหน้ามืดมนและเต็มไปด้วยความกังวล
เขาหยุดอยู่ที่ประตูห้องทำงานของฉันและเรียกให้ฉันเข้าไป "ซูยุ่น เข้ามา"
Yupa
รออ่านตอนต่อไปนะคะ สนุกมากค่ะ