ถ้าจะโทรหาหลี่จื้อตอนดึกขนาดนี้คงดูไม่ค่อยดีนัก
คิดแล้วฉันจึงส่งข้อความไปหาเขาแล้วยืนรับลมอยู่ข้างนอกอีกพักหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อพอใจแล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องผู้ป่วยอีกครั้ง
ลู่จือสิงนั่งเอนกายอยู่บนเตียงพลางก้มหน้าดูโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อจนไม่สังเกตเห็นว่าฉันเดินเข้าไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรือเปล่าที่ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะลดฝีเท้าลงแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปช้าๆ
แต่ลู่จือสิงเคลื่อนไหวเร็วมาก ทันทีที่ฉันเดินเข้าไปใกล้ เขาก็วางโทรศัพท์ลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองฉัน “ซูยุ่น”
ฉันละสายตาจากโทรศัพท์อย่างเย้ยหยัน “ในโทรศัพท์มีความลับอะไรที่ต้องซ่อนไม่ให้คนอื่นรู้งั้นหรือ?”
หากเป็นเวลาปกติฉันประชดเขาแบบนี้ เขาคงสะบัดหน้าใส่ฉันไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขาแค่มองฉันแล้วยิ้ม “ซ่อนไม่ให้ใครรู้? ซูยุ่น คุณคิดว่าตัวเองซ่อนอะไรไว้ไม่ให้ใครรู้อยู่หรือเปล่า?”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรในตอนแรก “ฉันไม่มีอะไรต้องซ่อน แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์ของคุณ?”
เขาเลิกคิ้วอย่างอารมณ์ดี จากนั้นจึงปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์แล้วยื่นมาข้างหน้าฉัน “นี่ไง… ความลับที่ซ่อนไว้”
เขาชูมือขึ้นให้ดูหน้าจอซึ่งแสดงให้เห็นสิ่งที่เขาเพิ่งดูและเปิดค้างไว้เมื่อครู่นี้ …มันคือรูปถ่ายของฉัน
เป็นรูปวันที่ฉันพาเป้ยเปยไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าเขาแอบถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉันไม่รู้ว่าลู่จือสิงต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่ แต่ต้องยอมรับว่าหัวใจของฉันเริ่มสั่นไหวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าในโทรศัพท์คือรูปของฉันเอง
ทว่าฉันก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วและเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์มา
แม้ว่าลู่จือสิงจะป่วยและได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ช้าลง พอฉันแย่งโทรศัพท์มาได้เขาก็แย่งกลับไปแทบจะทันที
ฉันยื่นมือออกไปและมองเขาอย่างเฉยเมย “ส่งมา”
“ซูยุ่น นี่มันโทรศัพท์ของผม”
ในที่สุดสีหน้าของเขาก็บึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย แบบนี้สิถึงจะเป็นลู่จือสิงตัวจริง…
ฉันมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเสมอเวลาที่เขาเผชิญหน้ากับฉันอย่างใจเย็น ฉันยังคงคุ้นเคยกับการต่อล้อต่อเถียงกับเขา เพราะอย่างน้อยแบบนั้นฉันก็ยังทำอะไรเพื่อตัวเองได้บ้าง
“นั่นมันรูปฉัน!”
“คุณไม่มีสิทธิ์ลบรูปในโทรศัพท์ของผม!”
พูดจบเขาก็ล็อกโทรศัพท์
ฉันเม้มริมฝีปากแล้วยิ้มเยาะ เพราะกลัวว่าจะทำเขาเจ็บฉันจึงต้องจับเตียงไว้แล้วเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์มา
คราวนี้เขาไม่ได้ขัดขืน โทรศัพท์จึงมาอยู่ในมือฉันอย่างง่ายดาย
ฉันเดารหัสผ่านอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ถูกเลยสักครั้ง
หลังจากรออยู่หนึ่งนาที ฉันก็พยายามจะใส่รหัสอีก
ฉันลองเดาว่าเป็นรหัสประตูอพาร์ตเมนต์เดิมของลู่จือสิง เดาว่าเป็นวันเกิดของเขา เดาว่าเป็นเลขบัตรประจำตัวประชาชน
แต่ว่ามันผิดทั้งหมด
ฉันเดาทุกอย่างที่ฉันรู้ไปหมดแล้ว ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันพอจะนึกออกก็คือตัวฉันเอง
ก่อนป้อนรหัส ฉันอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเขา
ทว่ากลายเป็นฉันที่กังวลจนมือสั่น ฉันวางนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์และกดหมายเลขผิดไปหลายครั้งโดยไม่ทันระวัง
ฉันกรอกเลขวันเกิดของตัวเองลงไป ไม่ใช่เพราะฉันหลงตัวเอง ฉันแค่ลองเท่านั้น อย่างไรเสียฉันก็ลองใส่รหัสอื่นๆ ของลู่จือสิงไปหมดแล้วแต่ว่าใช้ไม่ได้ มันผิด
ใช่… ฉันบอกตัวเองว่ามันเป็นแค่การลองเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นคำว่า “รหัสผ่านไม่ถูกต้อง” ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนควักหัวใจของฉันโยนลงไปในเหวลึก
เมื่อมองไปที่ลู่จือสิงอีกครั้งก็พบว่าเขายังคงมองฉันอยู่เหมือนเดิม
ฉันเม้มริมฝีปากอย่างไม่ยอมแพ้ ลองป้อนเลขบัตรประจำตัวประชาชนสี่หลักสุดท้ายของตัวเอง แต่ผลก็ยังออกมาผิดอยู่ดี
สุดท้ายแล้ว
เหลือแค่เลขวันแต่งงาน
ฉันใส่เลขสามตัวแรกลงไปแล้ว แต่กลับทำใจกดตัวเลขตัวสุดท้ายลงไปไม่ได้
ลู่จือสิงมองมาที่ฉันจนฉันทนไม่ได้
ฉันโยนโทรศัพท์คืนไปและนั่งลงที่เก้าอี้โดยไม่มองเขา
“ทำไมถึงไม่ลบล่ะ หรือไม่รู้รหัสผ่าน?”
เขายื่นโทรศัพท์กลับมา ฉันมองเขาและรู้สึกว่าคนคนนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ “ลู่จือสิง คุณหยุดล้อเล่นกับฉันได้แล้ว ฉันไม่ใช่ซูยุ่นคนเดิม และฉันจะไม่ยอมให้คุณหลอกอีกแล้ว”
ทันทีที่ฉันพูดจบ ดวงตาของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น “คุณคิดว่าผมหลอกคุณงั้นหรือ” เขาพูดพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ซูยุ่น คุณคิดว่าคุณมีอะไรควรค่าให้ผมหลอกงั้นหรือ?”
“เป้ยเปย”
เขาหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา ในที่สุดความสงบที่เกิดขึ้นทั้งวันก็ถูกทำลาย “ยังไงเป้ยเปยเป็นลูกของผม ผมจะต้องหลอกทำไม?”
เขาพูดถูกและฉันก็เถียงไม่ได้ แต่ฉันไม่เคยเชื่อ
ฉันรู้ว่าฉันไม่มีทางพูดกับเขารู้เรื่อง ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรเลย
“ซูยุ่น คุณก็เป็นแบบนี้ตลอด… เห็นๆ อยู่ว่าแค่อดทนอีกนิดคุณก็จะทำสำเร็จแล้ว แต่คุณกลับยอมแพ้ในวินาทีสุดท้าย”
เขาแอบพูดค่อนขอดฉัน ตอนแรกฉันพยายามข่มความโกรธเอาไว้ แต่พอเขาพูดแบบนี้ฉันก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ใช่ ฉันจะไปเทียบอะไรคุณได้ ลู่จือสิง หากดูจากวิธีและความมุ่งมั่น จะมีใครเก่งไปกว่าคุณ ไม่อย่างนั้นในตอนนั้นคุณจะใช้ฉันเป็นเครื่องมือเพื่อโกงหุ้นได้ยังไง”
สีหน้าของเขาแข็งกระด้างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็น “คุณรู้ด้วยหรือ?”
คำถามของเขาทำให้ฉันรู้สึกเย้ยหยัน “คุณไม่อยากให้ฉันรู้งั้นหรือ? น่าเสียดายนะลู่จือสิง เพราะยังไงความจริงก็ต้องปรากฏขึ้นสักวัน คุณเคยทำอะไรไว้ คุณรู้ตัวเองดี คุณไม่ต้องแสร้งทำเป็นว่ากลับมาหาฉันเพราะว่ารักฉันหนักหนา ฉันสะอิดสะเอียน หลังจากวันนี้คุณอย่าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก!”
“คุณคิดว่าผมแกล้งทำเหรอ?”
ฉันเงยหน้ามองเขา ใช้คำพูดที่เขาเคยพูด ตอบเขาไปช้าๆ ชัดๆ ว่า “ประธานลู่ เป้าหมายของคุณสำเร็จแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องแสดงละครอีกแล้ว ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อคุณได้สิ่งที่คุณต้องการแล้ว ฉันก็อยากขอร้องให้คุณปล่อยฉันไปเสียที”
“ซูยุ่น คุณคิดกับผมแค่นี้เองเหรอ?”
เสียงของเขาดังขึ้นอย่างไร้ประโยชน์… สายตาที่ดูไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของฉันทำให้ฉันลังเลเล็กน้อย แต่ฉันก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วและยิ้มอย่างเย็นชา “ตอนนั้นคุณไม่เห็นเป็นแบบนี้ อุ๊บ…”
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือมาดึงฉันเข้าไปแล้วโน้มศีรษะลงมาจูบฉัน
ฉันดิ้นรนสุดกำลัง แต่พละกำลังของเขามากเกินไป แม้ว่าจะป่วยอยู่แต่แรงกำลังของเขายังมากกว่าฉัน
ในที่สุดฉันจึงกัดฟันแน่น ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรฉันก็ไม่ยอมปล่อย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้และปล่อยมือจากฉัน
ฉันยกมือขึ้นตบหน้าเขาโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น “ลู่จือสิง คุณเห็นฉันเป็นอะไร? เป็นของเล่นที่นึกอยากเล่นเมื่อไหร่ก็หยิบมาเล่นงั้นหรือ”
ฉันยกมือขึ้นเช็ดปากของตัวเองอย่างแรง “ในเมื่อคุณไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะกลับไปอยู่กับเป้ยเปยที่บ้าน”
พูดจบฉันก็หันหลังและเดินออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
ขณะที่มือของฉันกำลังจะเอื้อมไปจับประตู ลู่จือสิงก็คว้าเอวของฉันเข้าไปกอดไว้แน่นราวกับจะฝังฉันไว้ในอ้อมกอดของเขา
คางของเขาวางอยู่บนไหล่ของฉัน น้ำเสียงที่เคยเย็นชามาตลอดกลับสั่นสะท้าน “อย่าไปเลยนะซูยุ่น”
MANGA DISCUSSION