“ผมมาพบลูกชายของผมไม่ได้หรือ?”
เขาพูดแล้วก็นั่งยองๆ มองดูเป้ยเปย
แต่เวลานี้เป้ยเปยหลับไปแล้ว เขาจึงยืนขึ้นมามองฉันอีกครั้ง: “พรุ่งนี้เป้ยเปยจะต้องไปฉีดวัคซีนใช่มั้ยครับ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาฉันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา: “เกี่ยวอะไรกับคุณคะ?”
เขามองฉันแล้วหัวเราะเยาะ สีหน้าอึมครึมและเย็นชามาก: “ลูกของผม คุณว่าเกี่ยวกับผมมั้ยล่ะ?”
ฉันคิดว่าตัวเองไม่สามารถจะพูดคุยกับลู่จือสิงได้ พอคุยกับเขาทีไรอารมณ์ฉันจะเปลี่ยนแปลงไปง่ายมากจนไม่อาจควบคุมได้
ฉันเม้มริมฝีปากจากนั้นก็ผลักรถเข็นของเป้ยเปยให้ตรงไปตามทางเดิน
แต่ลู่จือสิงในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว เขายืนมองฉันจากที่เดิม จากนั้นก็เดินตามฉัน
ฉันสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตู เขาก็เดินตามหลังฉันเข้าไป
ฉันดึงประตูเอาไว้: “คุณออกไปได้แล้วค่ะ!”
“ผลไม้ที่คุณถืออยู่หนักหรือเปล่า ผมช่วยถือนะครับ?”
เขาใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหว ตอบอย่างไม่ตรงคำถามกลับไป
ฉันก้มลงมองส้มซันคิสต์บนมือฉัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วโยนมันลงไปบนตัวเขา: “ถ้าคุณชอบขนาดนี้คุณก็ถือเองแล้วกันค่ะ!”
เขายื่นมือออกไปรับ ฉันก็ถือโอกาสนี้ปิดประตูทันที แถมยังหันกลับไปจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชาอีกด้วย
เขายืนอยู่ตรงนั้น กำลังถือถุงผลไม้ที่ฉันโยนออกไปอยู่ จากนั้นไม่นานเขาก็ยกมือกดไปที่ตำแหน่งสแกนลายนิ้วมือ
“ตี๊ด——”
พอได้เสียงเปิดประตู ฉันก็งงไปเลย
ตอนนี้ลู่จือสิงเดินเข้ามาแล้ว เขามายืนอยู่หน้าลิฟต์จากนั้นก็กดปุ่ม
“คุณเข้ามาได้อย่างไร คุณมีสิทธิได้อย่างไร?”
“ติ๊ง——”
ในตอนนี้ประตูลิฟต์เปิดออกแล้ว เขาเดินเข้าไปโดยไม่สนใจในคำถามของฉัน: “ไม่เข้ามาหรือครับ?”
ฉันมองเขาแล้วกัดฟัน ไม่ขยับตัวด้วยความอึ้ง: “ไม่เข้า!”
“อ้อ”
เขาตอบกลับ แล้วคนก็เดินออกมา
ทีแรกฉันคิดจะรอให้เขาเข้าไป จากนั้นฉันก็จะขึ้นลิฟต์ตัวต่อไป
แต่ไม่คิดว่าเขาจะถอยออกมา ฉันโกรธจนตัวสั่นแต่ฉันยังจะไปมีวิธีไหนอีกล่ะ?
ฉันไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่ดันรถเข็นของเป้ยเปยเข้าลิฟต์ไป
แล้วลู่จือสิงก็เดินตามฉันเข้าไป ครั้งนี้เป้ยเปยตื่นแล้ว ลู่จือสิงมองฉัน: “เป้ยเปยตื่นแล้วครับ”
ฉันไม่ตอบเขา ไม่พูดไม่จา
เขาย่อตัวลงไปหยอกล้อเป้ยเปย ไม่รู้ว่าได้เกิดสายสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างพ่อกับลูกหรือไม่ เห็นๆ อยู่ว่าเป้ยเปยกลัวคนแปลกหน้า แต่ลู่จือสิงหยอกล้อกับเขาแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น เขากลับไม่เบะปากเลยซักครั้ง ยิ่งกว่านั้นกลับยิ้มให้ลู่จือสิงอีกด้วย
เป้ยเปยเขายิ้มให้ผม”
ฉันก้มลงไปมองเขา รู้สึกเคืองๆ ตาเล็กน้อย หากฉันกับเขาไม่ได้หย่ากัน เขาจะเพิ่งมารู้ถึงตัวตนของเป้ยเปยเอาป่านนี้หรือ แค่เพียงเป้ยเปยยิ้มให้ เขาจะดูเหมือนกำลังค้นพบโลกใหม่อย่างนั้นหรือ
ท้ายที่สุดฉันก็ใจอ่อน พูดเสียงออกทางจมูกมาคำหนึ่งว่า: “อืม”
เขาลุกขึ้นทันที มองฉันด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม แล้วก็ไม่พูดไม่จา
ฉันถูกเขามองจนอึดอัด อดไม่ได้ที่จะจ้องหน้าเขาไปที: “ถ้าคุณไม่มองผมคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผมมองคุณอยู่ครับ?”
“เห็นๆ อยู่ว่าคุณมองฉันก่อน!”
“งั้นคุณก็ยอมรับแล้วว่าคุณมองผม?”
นี่ดูท่าจะเป็นหัวข้อที่ไม่จบไม่สิ้น ฉันตีสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ
เขาเองก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แล้วก็มองเป้ยเปยตัวน้อยในรถเข็นต่อไป
ไม่นานต่อจากนั้น ก็มีเสียงลิฟต์ดังขึ้นมา แล้วประตูลิฟต์ก็เปิดออก
ลู่จือสิงไม่ได้ออกมาก่อน เขาเอามือกดตรงปุ่มเปิดเอาไว้ อีกมือหนึ่งดันประตูลิฟต์ให้ แสดงว่าให้ฉันออกไปก่อน
ฉันก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ไหนๆ ก็ถึงบ้านแล้ว
เขาเดินตามฉันตลอด ฉันเองก็ไม่สนใจในตัวเขา เขารู้อยู่แล้วว่าฉันพักที่ไหน
ฉันไม่คิดจะให้ลู่จือสิงเข้าบ้าน พอเปิดประตูแล้วก็ดันรถเข็นเข้าไป จากนั้นฉันก็หันกลับมาปิดประตู
ผลที่ออกมาคือ ลู่จือสิงยืนอยู่ที่หน้าประตู เอามือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋า อีกมือหนึ่งส่งผลไม้ที่ฉันเคยโยนออกไปมาให้ฉัน: “ของคุณ รับไว้เถอะ”
ดูท่าทางราวกับไม่คิดจะเข้าไป
ฉันมองดูเขา ไม่เข้าใจว่าเขาเดินตามฉันมาตลอดทางแต่กลับไม่เข้ามาด้วยมันหมายความว่าอย่างไร
ผลไม้ในวันนี้มีราคาสูง ส้มซันคิสต์ในมือเขามีเพียง 4 ลูกแต่ราคาก็ปาเข้าไป 20 กว่าหยวนแล้ว คิดๆ ดูแล้วฉันจึงรับผลไม้นั่นมาด้วย จากนั้นก็ใช้แรงปิดประตู
ฉันรออยู่ซักพักก็ยังไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของลู่จือสิงที่อยู่ด้านนอกเลย
คนเราบางครั้งก็ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ผู้อื่นมารบกวนคุณ คุณกลับรู้สึกรำคาญใจ แต่พอผู้อื่นไม่มารบกวนคุณ คุณกลับรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบางอย่าง
ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
วันนี้ฉีซิ่วหรานเลิกงานเร็ว พอห้าโมงกว่าก็เลิกงานแล้ว
“วันนี้ลู่จือสิงมาพบเธอเหรอ?”
ฉันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้แล้ว: “คุณรู้ได้อย่างไรคะ?”
“ผมให้ยามเฝ้าประตูคอยจับตาดูครับ”
ฉันอึ้งไปเลย: “คุณนี่จริงๆ เลยนะคะ เป็นห่วงไปได้”
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ เขาทำให้คุณลำบากใจบ้างมั้ยครับ?”
ฉันส่ายศีรษะ ลังเลใจว่าควรจะพูดกับฉีซิ่วหรานดีหรือไม่
ฉันยังไม่ทันได้เปิดปาก เขาก็สังเกตเห็นแล้ว: “เขาทำไมหรือครับ?”
คิดได้แล้วฉันก็เล่าเรื่องให้เขาฟัง: “……ฉันไม่รู้ว่าเขาไปได้สิทธิตรงใต้ตึกมาได้อย่างไร แถมยังเดินตามฉันมาตลอด แต่พอมาถึงประตู เขากลับไม่เข้ามานะค่ะ”
ฉีซิ่วหรานขมวดคิ้วอย่างหาได้ยากขึ้นมา: “เขาไม่ทำให้คุณลำบากใจก็ดีแล้วครับ”
ฉันพยักหน้า ไม่อยากพูดถึงลู่จือสิงอีก ฉันไม่ควรให้เขามารบกวนความเป็นอยู่ในตอนนี้ของฉัน: “ตอนบ่ายฉันไปซื้อไก่ดำมาได้ตัวหนึ่ง ตอนนี้กำลังตุ๋นน้ำแกงอยู่ค่ะ วันนี้คุณกลับมาเร็วแบบนี้ งั้นเราทานข้าวกันเร็วหน่อยนะคะ”
ฉีซิ่วหรานพยักหน้า “เป้ยเปยยังนอนอยู่หรือครับ?”
“นอนไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วนะค่ะ ไม่รู้เขาตื่นหรือยัง ช่วงนี้ดูเหมือนจะนอนไม่ค่อยมากแล้วค่ะ
“ผมไปดูซักหน่อยนะครับ”
ฉันจะทำอาหารอยู่พอดี จึงตอบไปคำหนึ่ง แล้วเดินเข้าห้องครัวไป
ไม่ถึงหนึ่งทุ่มฉันก็ทำอาหารเสร็จแล้ว จากนั้นก็เข้าห้องไปเรียกฉีซิ่วหราน ฉันเห็นเป้ยเปยตื่นแล้ว เขากำลังเล่นกับเป้ยเปยอยู่
ฉันพบว่า แม้ในยามปกติฉีซิ่วหรานจะดูเหมือนเป็นคนเฉยชา แต่พอได้มาอยู่กับเด็กน้อย จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีความอดทนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ฉีซิ่วหราน ทานข้าวได้แล้วค่ะ”
เขาหันกลับมามองฉัน: “ผมไปล้างมือก่อน”
ฉันเดินไปอุ้มเป้ยเปยขึ้นมา แล้ววางไว้บนเก้าอี้ทานอาหารสำหรับเด็กทารก
เป้ยเปยมีอายุหนึ่งขวบแล้ว เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะก้าวเดิน แล้วยังพูดอืมอืมอาอาอยู่ในปาก ดูเหมือนเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดได้แล้ว
ฉันให้เป้ยเปยหย่านมไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้เป้ยเปยเริ่มทานโจ๊กได้บ้างแล้ว โดยเฉพาะโจ๊กที่ต้มจากน้ำต้มไก่
เป้ยเปยเลือกกินอยู่ พอป้อนให้เขากินไปคำก็ไม่เอาแล้ว แต่ฉันไม่อยากเลี้ยงเขาให้เป็นเด็กที่เลือกกินอาหาร
ฉีซิ่วหรานออกมาแล้ว ฉันคิดจะพูดเรื่องทานข้าว เวลานี้กลับมีเสียงออดประตูดังขึ้นมา
ฉีซิ่วหรานมองหน้าฉันแล้วเสนอตัวขึ้นมา: “ผมไปเปิดประตูเอง”
ฉันพยักหน้าเล็กน้อย แล้วตักโจ๊กขึ้นมาคำป้อนเข้าปากเป้ยเปย จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ฉันหันกลับไปดู ไม่คิดว่าจะเจอลู่จือสิงกำลังเดินเข้ามา
MANGA DISCUSSION