หวานใจคุณชายเสิ่น - ตอนที่ 45
เธอจึงต้องทำทีว่าปวดท้องเนื่องจากเป็นวันนั้นของเดือน อาจารย์ถึงจะยอมปล่อยให้เธอเลิกซ้อมได้
และทันทีที่เธอกลับมาถึงหอพัก เธอก็พบว่าจ้าวเสี่ยวเอ๋อร์กับโจวเป้ยไม่ได้อยู่ในห้อง
เห้อ~โล่งอกไปที เพราะถ้าสองคนนั้นรู้เข้า ฉันต้องถูกสอบสวนหนักแน่ ๆ ……
หลังจากที่กู้สวงส่วงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จสรรพ เธอก็แอบบีบครีมทาผิวของโจวเป้ยมาลูบไล้ไปตามแขนขาจนหอมฟุ้ง
และด้วยความที่กู้สวงส่วงใช้แป้งเด็กปะหน้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันจึงทำให้ผิวหน้าของเธอเนียนใสไร้ริ้วรอย และนุ่มเด้งดุจผิวเด็ก
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังต้องขอหยิบยืมเครื่องสำอางของเพื่อนสาวมาแต่งแต้มอีกสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคุณลุงตัวท็อปต้องหัวเราะเยาะหน้าซีด ๆ ของเธอเป็นแน่
ถึงแม้ว่ากู้สวงส่วงจะวิ่งมาขึ้นรถบัสได้ทันเวลา แต่ระหว่างทางก็ดันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางแยกด้านหน้า
จนทำให้รถบัสรับส่งของสนามบินต้องติดแหง็กอยู่บนทางหลวงไปอีกพักใหญ่
และทันทีที่กู้สวงส่วงมาถึงอาคารรองรับผู้โดยสาร มันก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่าแล้ว
แถมกู้สวงส่วงยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าทางไหนคือช่องขาออกหรือช่องขาเข้า เพราะตัวเธอเองก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
………
ขณะเดียวกัน
ณ ช่องขาออก VIP
ชายร่างสูงในชุดสูทรองเท้าหนังเดินออกมาพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ โดยมีเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำพาดอยู่บนแขนซ้ายของเขาด้วย
เสิ่นมั่วเฉิงเม้มริมฝีปากแน่นและสอดสายตามองไปรอบ ๆ ทั้งที่ใบหน้าของเขาในตอนนี้นั้น ดูอ่อนล้าจากการเดินทางอย่างเห็นได้ชัด
สักพัก ผู้ช่วยส่วนตัวของเขาก็เอ่ยขึ้นตามหลังว่า “ท่านประธานคะ ตอนนี้รถของเรามารออยู่ที่หน้าประตูทางออกแล้วค่ะ”
“คุณไปก่อนเลย”
พูดจบ เสิ่นมั่วเฉิงก็ก้มหน้าเช็คเวลาอีกที นี่มัน 6 โมง 20 นาทีแล้วนะ เจ้าเด็กนั่นกล้าผิดนัดฉันจริง ๆ เหรอ?
เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพื่อหวังจะต่อสายหากู้สวงส่วง แต่แล้วสายเรียกเข้าจากใครบางคนก็ดันแทรกขึ้นขัดจังหวะเขาอีกจนได้
และพอเสิ่นมั่วเฉิงเห็นว่าสายเรียกเข้าดังกล่าวนั้นไม่ใช่เธอ เขาจึงกดรับสายสายนั้นไปแบบไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ “มีไร จิ่นไหว?”
“มั่วเฉิง ตอนนี้นายอยู่ไหนน่ะ?” น้ำเสียงของจิ่นไหวฟังดูแตกตื่นอยู่หน่อย ๆ
เสิ่นมั่วเฉิงจึงถามย้ำอีกครั้งด้วยความอยากรู้ “แล้วนายมีเรื่องอะไรล่ะ?”
“นายลืมไปแล้วรึไง ว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่?”
พอได้ยินแบบนั้น เสิ่นมั่วเฉิงก็นิ่งเงียบไปในทันที
จนเวินจิ่นไหวต้องตะคอกกลับมาว่า “คราวหน้านายพาหมอคนอื่นมาไม่ได้เหรอวะ? แค่เห็นหน้าเธอ ฉันก็อยากจะอ้วกแล้ว! นายไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนบางรึไง? ยิ่งพอถึงวันที่ 20 ของทุกเดือนทีไร หล่อนยิ่งต้องทำตัวเป็นคุณหญิงผู้สูงศักดิ์แบบนี้อยู่เรื่อย!”
เสิ่นมั่วเฉิงฟังเสียงบ่นของเพื่อนรักด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
และเขาไม่เคยสนใจเลยสักนิด ว่าจิ่นไหวจะใช้วิธีไหนในการเจาะเลือดให้ลู่ซีหลี
แต่ในวันนี้ เวินจิ่นไหวกลับไม่สามารถเข้าไปเจาะเลือดให้กับลู่ซีหลีได้ เนื่องจากเธอได้แจ้งกับทางตำรวจไว้ว่า เวินจิ่นไหวพยายามบุกรุกเข้ามาในบ้านของเธอ
“เธอบอกว่า เธอต้องได้เจอหน้านายก่อน เธอถึงจะยอมให้ฉันเจาะเลือด! แล้วเมื่อกี้นี้ทางโรงพยาบาลก็ดันโทรมาบอกอีกนะ ว่าตอนนี้พวกเขาได้ให้เลือดกับเธอคนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็รอแค่เลือดของลู่ซีหลีเนี่ยแหละ”
เสิ่นมั่วเฉิงจึงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “รอฉันอยู่ตรงนั้นแหละ”
หลังจากที่เขาวางหูโทรศัพท์ลง เขาก็ก้มหน้าดูเวลาอีกครั้ง "นี่ก็ 6 โมงครึ่งแล้ว
ทำไมถึงยังไม่มาอีกนะ โทรไปก็สายไม่ว่างอีก!"
เสิ่นมั่วเฉิงจึงตัดสินใจเดินออกไปขึ้นรถทันทีด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
…………
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
รถ MPV สีดำแล่นมาจอดอยู่ตรงหน้าคอนโดหรู “หลานซินย่วน”
โดยมีลู่ซีหลีคอยจับตามองอยู่ตลอดจากบนระเบียงชั้นสี่
เธอถือแก้วไวน์ไว้มั่น พร้อมทั้งสอดสายตามองลงมายังชายคู่กรณี ที่ตอนนี้กำลังก้าวเท้าลงจากรถอย่างสง่างาม
เรือนร่างที่แข็งแกร่งนั้น แม้ว่ามันจะถูกห่อหุ้มด้วยชุดสูทเข้ารูป แต่ลู่ซีหลีก็ยังสามารถมองเห็นกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนของเขาได้อย่างเต็มตา
ลู่ซีหลีตวัดปลายลิ้นเลียขอบปากสีแดงสดของเธอ และยกแก้วไวน์ขึ้นจิบด้วยอารมณ์เปล่าเปลี่ยว ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้ามาส่องกระจกทรงสูงในห้องเพื่อเตรียมความพร้อมต่อไป
ไม่นานนัก ลู่ซีหลีก็เยื้องย่างออกมาจากห้องนอน เพื่อมายืนรอใครบางคนอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยแววตาหวานฉ่ำ
………..
คอนโดหรูแห่งนี้ แต่ละชั้นจะมีผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียว หรือครอบครัวเดียวต่อ 1 ชั้น
เมื่อเสิ่นมั่วเฉิงก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เขาก็พบกับเวินจิ่นไหวที่กำลังยืนพิงประตูห้องของลู่ซีหลีด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“นายได้เจอกับพวกตำรวจที่ลู่ซีหลีเรียกมารึยัง ที่ชั้นล่างน่ะ?” เวินจิ่นไหวหันมาถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เสิ่นมั่วเฉิงจึงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินเข้ามาคว้าอุปกรณ์เจาะเลือดในมือของเวินจิ่นไหว แล้วจึงจะหันไปกดกริ่งที่หน้าประตู
“มั่วเฉิง” เวินจิ่นไหวร้องเรียก ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “นายไม่ใช่หมอนะ นายจะไปเจาะเลือดให้เธอได้ยังไง….”
สิ้นเสียงของเวินจิ่นไหว ประตูตรงหน้าเสิ่นมั่วเฉิงก็ถูกคนในห้องปลดล็อกออกทันที
แต่ไม่ทันที่เวินจิ่นไหวจะได้เห็นหน้าลู่ซีหลี เสิ่นมั่วเฉิงก็ดันยกมือหนาของเขาบีบเข้าไปที่คอของลู่ซีหลีเสียก่อน
ลู่ซีหลีเริ่มหายใจติดขัด จนน้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนจะขาดใจ "มะ มั่ว..เฉอ…"
“มั่วเฉิง!” จิ่นไหวตะโกนเสียงดังด้วยความแตกตื่น แล้วจากนั้นประตูห้องของลู่ซีหลีก็ถูกเสิ่นมั่วเฉิงปิดลงดัง ปัง!
…………..
ในปีนี้ นอกจากลู่ซีหลีจะมีอายุครบ 29 ปีแล้ว
มันยังเป็นปีที่ 21
ที่เลือดของเสิ่นมั่วเฉิงได้มาไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเธอ โดยที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน
ลู่ซีหลีหวนนึกถึงอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงที่เธอเพิ่งจะอายุได้เพียงแค่ 15 ปี
ซึ่งในขณะนั้น เสิ่นมั่วเฉิงในวัย 18 ปีก็กำลังเข้าร่วมการสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัย ที่ถูกจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศอยู่ด้วย แต่สุดท้ายเขาก็เลือกเดินออกมาจากห้องสอบ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองเพิ่งจะเขียนชื่อบนหัวกระดาษเสร็จไปหมาด ๆ ด้วยซ้ำ
พอถึงโรงพยาบาล เสิ่นมั่วเฉิงก็บุกเข้าไปในห้องฉุกเฉินด้วยสภาพที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากนั้นเขาก็พุ่งตรงเข้าไปสวมกอดลู่ซีหลีทันที โดยไม่มีคำพูดอื่นใดหลุดออกมาจากปากของเขาเลยสักคำ
จนกระทั่งมาถึงตอนที่แพทย์และพยาบาลต้องทำการถ่ายเลือดจากเขามาให้ลู่ซีหลี เสิ่นมั่วเฉิงจึงจะเริ่มพูดให้กำลังใจและปลอบโยนลู่ซีหลีที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ จนเธอยอมสงบนิ่งลง
หลังจากถ่ายเลือดเสร็จ เสิ่นมั่วเฉิงก็อุ้มเธอเข้าไปล้างคราบเลือดที่แห้งกรังอยู่ตามผมเปียทั้งสองข้างด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว…กลัวว่าจะต้องเสียเธอไป
และคำพูดทุก ๆ คำที่เขาพูดในวันนั้น ลู่ซีหลีเองก็ยังจำมันได้ขึ้นใจ
“อาหลี เธอเป็นภรรยาในอนาคตของฉันนะ ถ้าหากว่าฉันต้องเสียเธอไป การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ? ฉันจะต้องทำมันไปเพื่อใครอีก?
แต่ตอนนี้เลือดของฉันมันเข้าไปอยู่ในตัวเธอแล้วนะ รู้สึกถึงมันบ้างรึยัง?”
และพอลู่ซีหลีเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา เขาก็เริ่มพรรณนาต่อไปทันทีว่า
“พอเลือดของเราเชื่อมเข้าหากัน ฉันก็รู้สึกได้ทันที ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันเริ่มแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม และตัวฉันเองก็รู้สึกดีมากด้วย ฉันพูดจริง ๆ นะอาหลี”
ลู่ซีหลีถูกคนโตกว่าพล่ามใส่ จนทำให้ความโมโหในทีแรกนั้น กลับกลายเป็นความซาบซึ้งขึ้นมาในบัดดล
หลังจากนั้น เรื่องราวความรักของพวกเขาก็แพร่สะพัดไปทั่วในหมู่คนรู้จัก จนใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าทายาทแห่งตระกูลตี๋นั้น กำลังรักอยู่กับสาวน้อยนางหนึ่ง
ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเริ่มจากการที่เสิ่นมั่วเฉิงทึกทักเอาเองตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าลู่ซีหลีคือภรรยาในอนาคตของเขา แถมเสิ่นมั่วเฉิงตัวน้อยยังเคยใช้ดินสอเขียนชื่อ “ลู่ซีหลี” เอาไว้ในเล่มทะเบียนบ้านของเขาอีกด้วย โดยเขาระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เธอผู้นี้คือคู่สมรสของเขา
……….
ลู่ซีหลีจ้องมองใบหน้าที่คุ้นเคยด้วยแววตาหวานซึ้ง
ในขณะที่เสิ่นมั่วเฉิงนั้นจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาดูถูก รังเกียจและเสียดสี ราวกับว่าเธอเป็นศัตรูคู่แค้นมาตั้งแต่ชาติปางไหน จนเธออดคิดไม่ได้ว่า เสิ่นมั่วเฉิงคนเก่าที่คอยเอาอกเอาใจเธอ เขาหายไปไหนแล้วนะ?
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนั้น เสิ่นมั่วเฉิงเลือกที่จะขาดสอบวิชาภาษาอังกฤษเพื่อมาหาลู่ซีหลี แถมนั่นยังทำให้เขาพลาดรางวัลนักเรียนดีเด่นแห่งปีไปอีกด้วย
แม้ว่าเขาจะเลือกช่วยชีวิตคนมากกว่าอนาคตของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชายชราแห่งตระกูลตี๋รู้สึกปลาบปลื้มใจนัก
และด้วยความที่เขาเป็นถึงทายาทของตระกูลใหญ่ ความกดดันจากคนในครอบครัวจึงถูกวางไว้บนบ่าของเขาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลให้เสิ่นมั่วเฉิงเลือกพาตัวเองเดินหน้าเข้าสู่กองทัพทหาร
แต่ถ้าเขาไม่ได้ออกมาเข้าร่วมกับกองทัพทหารในครานั้น เรื่องร้าย ๆ ทั้งหมดก็คงจะไม่เกิดขึ้นกับอาหลี…..
“มั่วเฉิง……” มือเรียวเล็กของลู่ซีหลียกขึ้นประกบหลังมือหนาใหญ่ของเขาอย่างอ่อนแรง
แต่พอเสิ่นมั่วเฉิงสัมผัสได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือของเธอ เขาก็รีบดึงมือตัวเองกลับทันทีด้วยความขยะแขยง!