หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 433 ใจกษัตริย์ยากแท้หยั่งถึง (2)
“แต่ชิงชิงจะไปเป็นขุนนาง…”
“ทำไมกัน ท่านกังวลว่าหม่อมฉันจะเป็นผู้ว่าการไม่ได้หรือเพคะ” มู่ชิงอียิ้มพลางเลิกคิ้ว
“ชิงชิงเคยเป็นผู้ว่าการด้วยหรือ” หรงจิ่นถามด้วยรอยยิ้ม มู่ชิงอีเอียงศีรษะพลางยิ้มเล็กน้อยกล่าว “หม่อมฉันไม่เคยเป็น แต่หม่อมฉันเคยเห็นเพคะ” นางไม่เพียงแค่เคยเห็น เพราะแต่ไหนแต่ไรมาตระกูลของพวกนางนอกจากสตรีแล้วที่เหลือก็เป็นข้าราชการชั้นสูงทั้งหมด “ไม่ต้องกังวล หม่อมฉันอยากจะลองดู ในเมื่อท่านต้องการให้หม่อมฉันเป็นนักวางกลยุทธ์ก็ต้องเชื่อมั่นในตัวหม่อมฉัน…เรื่องที่ผู้อื่นทำได้ หม่อมฉันก็ทำได้เช่นกัน อีกอย่าง…หม่อมฉันทำได้ดีกว่าแน่นอน”
น้อยครั้งนักที่จะเห็นหรงจิ่นถอนหายใจ มองมู่ชิงอีพลางขมวดคิ้วด้วยความกังวล “ข้าเพียงแค่ไม่สบายใจ ตาแก่นั่นจะมอบทั้งเมืองหลวงให้เจ้าอย่างง่ายดายได้อย่างไร อย่างที่เจ้าบอกไปก่อนหน้านี้ เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไปมีส่วนร่วมในราชสำนัก” และการที่มอบเมืองหลวงให้มู่ชิงอีก็ไม่ได้ต่างจากมอบให้แก่หรงจิ่นมากนัก
มู่ชิงอียิ้มบาง “จะบอกว่ามอบให้หม่อมฉันได้อย่างไร อย่าลืมว่ายังมีผู้บัญชาการกองทัพเมืองหลวงกับแม่ทัพองครักษ์อวี่หลินอยู่ เมืองหลวงอยู่ในมือของพวกเขา ไม่ได้อยู่ในมือหม่อมฉัน” ที่ว่าการเฟิ่งเทียนทำได้เพียงดูแลการดำรงชีวิตของราษฎรเท่านั้น ผู้ที่ควบคุมเมืองหลวงอย่างแท้จริงก็คือผู้บัญชาการกองทัพเมืองหลวงกับหัวหน้าองครักษ์อวี่หลิน ความสามารถของทั้งสองคนนี้เป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ตราบใดที่มีพวกเขาอยู่ ไม่ว่าผู้ว่าการเฟิ่งเทียนจะเป็นใครก็จะไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น
แน่นอนว่าหรงจิ่นเองก็เข้าใจเหตุผลนี้ กอดมู่ชิงอีแล้วเอ่ยพึมพำเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าตาแก่นั่นไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”
การที่กู้หลิวอวิ๋นกลายเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียนอย่างกะทันหัน คนที่รู้สึกตกใจย่อมไม่ได้มีเพียงแค่บรรดาคนในจวนอวี้อ๋องเท่านั้น เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป บรรดาผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็ตกตะลึง หัวหน้าผู้ดูแลทั่วไปที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักกลับกลายเป็นขุนนางชั้นสูงระดับสามในราชสำนัก รับผิดชอบความเป็นอยู่ของราษฎรหลายแสนคนในเมืองหลวงและเมืองรอบๆ ซ้ำคนผู้นี้ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้สวมกวาน เช่นนี้จะสามารถโน้มน้าวใจผู้อาวุโสที่ดิ้นรนต่อสู้ในราชสำนักมาตลอดชีวิตได้อย่างไร
แม้ว่าหลายคนจะเคยได้ยินจากสายรายงานของตัวเองว่ากู้หลิวอวิ๋นต่อปากต่อคำกับฉินอ๋องในพระตำหนัก แต่ก็พิสูจน์ได้เพียงว่ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นคนพูดจาหลักแหลมเท่านั้น ไปๆ มาๆ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียน จะไม่ดูเหมือนเด็กน้อยเล่นกันไปหน่อยหรือ
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เวลานี้โต๊ะทำงานของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คงเต็มไปด้วยฎีกาที่เขียนโน้มน้าวใจต่างๆ นาๆ ไปแล้ว แต่ตอนนี้คนที่ได้รับบทเรียนมาหลายปีเหล่านั้นกลับทำได้เพียงตรวจสอบที่มาของเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างระมัดระวัง อีกทั้งยังรอดูปฏิกิริยาของผู้คนรอบกายตนเอง เพราะเหตุนี้ ปฏิกิริยาของบรรดาผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวงทั้งหมดเลยดูน่าเบื่อเป็นอย่างมาก
นอกจากหรงจิ่นกับหรงจังแล้ว บรรดาองค์ชายเกือบทั้งหมดไปรวมตัวกันที่จวนจวงอ๋องในสถานการณ์คับขัน
ไม่ว่าในเวลาปกติพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดแค่ไหน แต่คราวนี้การตัดสินใจตามใจตัวเองของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้เกินกว่าขีดจำกัดที่พวกเขาจะรับได้
หรงเซวียนกับหรงเหยี่ยนนับว่ายังคงสงบนิ่ง แต่องค์ชายสิบเอ็ดที่อายุน้อยกลับอดที่จะระบายความโกรธออกมาไม่ได้ “เสด็จพ่อกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่” คนที่เกลียดชังหรงจิ่นย่อมไม่ได้มีเพียงแค่หรงไหวเพียงคนเดียว เพียงแต่ว่าองค์ชายส่วนใหญ่เก็บซ่อนความรู้สึกไว้หลังจากที่พวกเขาได้รับบทเรียนมามากพอแล้ว แต่เมื่อได้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ จะอดกลั้นได้อย่างไร
“น้องสิบเอ็ด” หรงเหยี่ยนขมวดคิ้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อย่าใจร้อน”
องค์ชายสิบเอ็ดยิ้มเย้ยหยัน “อย่าใจร้อนหรือ ไม่แน่พรุ่งนี้เสด็จพ่ออาจจะคิดแต่งตั้งให้หรงจิ่นเป็นรัชทายาทแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพี่สี่ค่อยมาบอกว่าอย่าใจร้อน”
หรงเหยี่ยนถอนหายใจอย่างหมดปัญญา “มิเช่นนั้นเจ้ายังต้องการอะไรอีก เสด็จพ่อไม่ได้ให้อะไรกับน้องเก้าเลย”
“มีใครไม่รู้บ้างว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นคนของพี่เก้า เสด็จพ่อแต่งตั้งผู้ว่าการเฟิ่งเทียนด้วยคนของตัวเองมาตลอด แม้แต่ตำแหน่งที่ไร้ประโยชน์ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีคนของบรรดาองค์ชายอย่างพวกเราได้ไป เหตุใดตอนนี้ท่านพ่อจึงได้มอบตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ให้คนของพี่เก้าเล่า” องค์ชายสิบเอ็ดกล่าวด้วยความโกรธเคือง ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้บรรดาองค์ชายไม่เคยพยายามที่จะตีสนิทผู้ว่าการเฟิ่งเทียน แต่โดยพื้นฐานแล้วหากผู้ว่าการเฟิ่งเทียนโอนเอนไปทางองค์ชายคนใดคนหนึ่ง เช่นนั้นความโชคดีในตำแหน่งของเขาก็จะสิ้นสุดลง ยิ่งไปกว่านั้นได้มีการประหารผู้ว่าการเฟิ่งเทียนถึงสี่คนในหนึ่งปี ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะมีผู้ว่าการคนไหนกล้าพึ่งพาอาศัยองค์ชายโดยไม่กลัวตายบ้างเล่า
หรงเหยี่ยนมองหรงเซวียนอย่างเงียบๆ หรงเซวียนเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นว่าจริงๆ แล้วเสด็จพ่อมักจะจงใจขัดขวางไม่ให้หรงจิ่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดบรรดาองค์ชายเหล่านี้จึงยอมอดทนกับหรงจิ่นมาโดยตลอด ต่อให้ได้รับความโปรดปรานมากแค่ไหน หากไม่ได้มีการข้องเกี่ยวกับราชสำนักก็ไม่เป็นอันตราย แต่หากเป็นองค์ชายที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับราชสำนักซ้ำยังเป็นที่โปรดปรานอย่างสุดซึ้ง…
“ความหมายของเสด็จพ่อ…วางแผนที่จะให้พี่เก้าเข้ามาแทรกแซงในราชสำนักแล้วหรือ” หรงเซวียนถามพลางขมวดคิ้ว เรื่องนี้สำคัญมาก ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อไม่อยากให้หรงจิ่นเข้ามาแทรกแซงในราชสำนักมาโดยตลอด ดังนั้นทุกคนจึงถือว่าในสายตาของเสด็จพ่อหรงจิ่นไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือกให้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างแน่นอน อีกทั้งสุขภาพที่อ่อนแอของเขา ยิ่งทำให้ดูเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อกำลังปลูกฝังพลังให้กับเขา หากเป็นเช่นนั้นจริงเกรงว่าจะยังมีตัวแปรอื่นเพิ่มมาอีก
หรงเหยี่ยนส่ายหน้าพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้” ลิขิตสวรรค์ยากจะคาดเดา ความคิดของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ่งคาดเดาได้ยากกว่า
หรงเซวียนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็รออีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน”
องค์ชายสิบเอ็ดดีดตัวขึ้นมา “พี่สองยังจะรออีกหรือ”
หรงเซวียนมองเขา “น้องสิบเอ็ดกลับไปบอกไหวเอ๋อร์ว่าอย่าใจร้อนลงมือกับน้องเก้า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็อย่าโทษว่าท่านอาอย่างข้าไม่เตือนเขา”
สีหน้าองค์ชายสิบเอ็ดเปลี่ยนไปเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ย “ข้ารู้แล้ว”
หรงเหยี่ยนลุกขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รอดูไปก่อนเถิด พี่สอง น้องขอตัวลาก่อน” เมื่อเห็นว่าหรงเหยี่ยนกำลังจะไป องค์ชายคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นกล่าวลาเช่นกัน มีเพียงองค์ชายหกที่สนิทกับหรงเซวียนมากที่สุดนั้นนั่งอยู่ต่อ
หลังจากส่งบรรดาองค์ชายไปแล้ว ห้องตำราก็กลับมาสงบอีกครั้ง หนานกงอี้เดินออกมาจากห้อง หรงเซวียนดื่มชาพลางขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”
หนางกงอี้มุ่นคิ้วตอบ “น้องสองชื่นชมกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่จะว่าไปแล้ว…กระหม่อมยังไม่เคยเห็นกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้เลย” แม้ว่าจะเคยเหลือบมองเขาจากระยะไกลในบางโอกาส แต่ก็จำได้เพียงว่าเขาเป็นชายหนุ่มชุดขาวที่รูปร่างงดงาม แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถมองชายหนุ่มผู้นี้เป็นชายหนุ่มรูปงามได้อีกต่อไปแล้ว
หรงเซวียนนึกถึงท่าทางการพูดการจาของชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นที่พระตำหนัก เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “อย่าได้ดูถูกเขา หรงไหวเสียเปรียบให้เขาอยู่ไม่น้อย เขาเป็นผู้ว่าการระดับสาม มีคุณสมบัติเข้ามาประชุมในราชสำนัก เจ้าย่อมได้พบเขาแน่นอน”
ตอนนี้หนานกงอี้ก็เป็นขุนนางใหญ่ระดับสาม รับตำแหน่งขุนนางผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ด้วยอายุของเขา ตำแหน่งนี้ถือได้ว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับกู้หลิวอวิ๋นที่จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ว่าการ เห็นได้ชัดว่าเขายังตามหลังอยู่มาก
หนานกงอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “ศาลต้าหลี่กับที่ว่าการเฟิ่งเทียนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน” คนหนึ่งรับผิดชอบปากท้องของราษฎรในเมืองหลวงและเมืองข้างๆ อีกคนหนึ่งรับผิดชอบคุกขังนักโทษของแคว้นเย่ว์ เว้นเสียแต่ว่ากู้หลิวอวิ๋นจะทำผิดแล้วตกอยู่ในมือของเขา มิเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้ไปมาหาสู่กัน
หรงเซวียนส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “เขาเป็นคนของน้องเก้า อย่าหวังเลยว่าจะดึงมาอยู่ฝ่ายเดียวกันได้ แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของเขากับหนานกงอวี้ก็ไม่เลวเลยไม่ใช่หรือ ราชสำนักก็ไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้ขุนนางมีการติดต่อกันเป็นการส่วนตัว เพียงแค่สืบภูมิหลังของเขาก็พอแล้ว ข้ามักจะรู้สึกว่ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด ท่าทางที่น้องเก้ามีต่อเขาดูเหมือนว่า…คงต้องระมัดระวังยิ่งกว่ามู่หรงอวี้”