หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 371 ความร่วมมือของจื้ออ๋อง (1)
เหนือหลังคาฝั่งตรงข้ามที่ไม่ไกลนัก หรงจิ่นโอบร่างมู่ชิงอีไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอุ้งมืออีกข้างก็กำเมล็ดทานตะวันที่ทั้งหอมทั้งกรอบไว้แทะเล่นตอนดูเรื่องสนุกๆ ด้วยกัน ร่างเงาสีขาวสีดำนั่งอยู่เหนือหลังคาในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้ก็ออกจะเตะตาอยู่บ้าง เพียงแต่บัดนี้คนทั้งนอกและในเมืองเผิงต่างชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครใช้สายตาแปลกๆ จับจ้องไปทางพวกเขาที่กำลังนั่งว่างๆ อยู่
“ชิงชิง เป็นเช่นใดบ้าง ฝีมือตวัดแส้ของเซวียไฉ่อีไม่เลวเลยใช่หรือไม่” พอฟาดลงบนตัวซู่เวิ่นก็ยิ่งไม่เลวเข้าไปใหญ่
“อืม ยาพิษของซู่เวิ่นก็ไม่เลวเช่นกัน หากเล็งให้ตรงเป้าหน่อยคงดี ถ้าพิษเหล่านี้อยู่ในมือของมั่วเวิ่นฉิง คนของสำนักไฉ่อีหลายสิบคนคงตายเรียบทั้งสำนักแล้ว” ดังนั้นซู่เวิ่นก็คือคนไร้ประโยชน์ วิทยายุทธไม่ได้เรื่อง แม้แต่การใช้ยาพิษก็ยังกระจอก มิน่ามั่วเวิ่นฉิงถึงไม่ต้องตานาง
มู่ชิงอีนั่งพิงร่างหรงจิ่นพลางฟังหรงจิ่นวิพากษ์วิจารณ์เรื่อยๆ พร้อมพยักหน้ารับบ้างเป็นครั้งคราว นางไม่สนใจการต่อสู้ระหว่างสตรีสักเท่าไร นางรู้เพียงว่าไม่ได้ดุเดือดขนาดนั้น ทว่าหรงจิ่นกลับดูสองสาวงามตรงหน้าปะทะกันจนคนล้มตายไปไม่น้อยแล้วอย่างสนอกสนใจ
“ครั้งนี้สำนักไฉ่อีคงตายเกลี้ยงกันทั้งสำนักแล้วกระมัง” มู่ชิงอีเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
หรงจิ่นยักไหล่แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “น่าจะใช่กระมัง สำนักหอไฉ่ก็มีคนอยู่ไม่เท่าไร อีกอย่างถ้าเซวียไฉ่อีตายแล้ว ต่อให้ยังตายไม่เกลี้ยงสำนักแต่ก็คงไม่ต่างกัน” ในเมื่อกวนโทสะเย่าหวังกู่แล้ว ต่อให้สำนักไฉ่อีอยากถอยหนีเพื่อเอาตัวรอดก็คงทำไม่ได้ แต่หากเซวียไฉ่อีจัดการปลิดชีพซู่เวิ่นก่อนใกล้เผชิญความตายกลับมีแรงอีกเหลือเฟือ
แต่หลายครั้งแผนการมักเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ขณะที่หรงจิ่นมองเซวียไฉ่อีฟาดแส้ใส่ศีรษะซู่เวิ่นด้วยท่าทีพออกพอใจนั้น ฉับพลันก็มีเสียงใสกังวานหนึ่งดังขึ้นว่า “เจ้าสำนักเซวีย! โปรดเมตตาด้วยเถิด!”
จากนั้นก็เห็นร่างเงาสีเขียวแวบมา แส้ที่ควรฟาดลงบนตัวซู่เวิ่นกลับถูกคว้าเอาไว้ในมือทันที พลันปรากฏหญิงสาวชุดเขียวสีหน้าเรียบนิ่งยืนคั่นกลางระหว่างเซวียไฉ่อีและซู่เวิ่น นิ้วเรียวสวยดั่งหยกถูกปลายแส้ทิ่มจนเกิดรอยเลือดเล็กน้อย
“พี่หญิง พี่หญิงมาได้เช่นไรเจ้าคะ” ครั้นซู่เวิ่นรอดพ้นอันตรายมาได้ นางก็มองผู้มาเยือนก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนยกใหญ่แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวในชุดสีเขียวมองเลือดนองเต็มพื้นตรงหน้าก่อนขมวดคิ้วเอ่ยเสียงขรึม
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวในชุดสีเขียวผู้นี้ก็มีอำนาจในเย่าหวังกู่เช่นกัน คนที่ซู่เวิ่นพามาด้วยลังเลใจครู่หนึ่งก่อนจะถอยออกมาอยู่ด้านหลังพวกนางสองคนอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าคนของสำนักไฉ่อีก็คงดึงดันสู้ต่อไปไม่ได้ เพียงแต่คนของสำนักไฉ่อีจำนวนหลายสิบคนก่อนหน้านี้กลับเหลือไม่ถึงสิบคนแล้ว ส่วนทางฝั่งเย่าหวังกู่สูญเสียไปเจ็ดแปดคนไม่ต่างกัน
“คารวะผู้อาวุโสหลิงซู!”
ที่แท้หญิงสาวผู้นี้ก็คือหลิงซู หนึ่งในผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่นั่นเอง
ครั้นละครสนุกๆ ที่คาดเดาไว้ถูกตัดจบ หรงจิ่นที่นั่งอยู่เหนือหลังคาก็โมโหขึ้นมาทันที ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุดัน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “ข้าช่างเกลียดผู้หญิงคนนี้นัก!”
แต่กระนั้นหญิงสาวด้านล่างที่หรงจิ่นชิงชังกลับเป็นผู้อาวุโสหลิงซูซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของเย่าหวังกู่ มิน่าเล่าเย่าหวังกู่ที่สงบสุขมาหลายร้อยปีกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายในเวลานี้ เบื้องบนมีมั่วเวิ่นฉิงเป็นเจ้าสำนัก ถัดลงมาก็มีหลิงซูและซู่เวิ่นเป็นผู้อาวุโส พวกเขาล้วนเป็นวัยหนุ่มสาวที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีดีด้วยซ้ำ
ถึงแม้หนุ่มสาวส่วนมากจะไม่ชอบความจู้จี้จุกจิกของคนแก่ แต่คำโบราณที่ว่าบ้านมีคนแก่ก็เหมือนมีขุมทรัพย์ก็เป็นเรื่องถูกเช่นกัน หลายร้อยปีมานี้เย่าหวังกู่ไม่เคยปรากฏเจ้าสำนักและผู้อาวุโสที่อ่อนเยาว์ขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งมั่วเวิ่นฉิงก็เข้าหาได้ยาก นอกจากศึกษาเรื่องวิธีการรักษาและการใช้พิษแล้วก็แทบไม่สนใจเรื่องใดอีก ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่วุ่นวายได้เช่นไร
ครั้นเห็นหลิงซู ซู่เวิ่นก็พรูลมหายใจออกมา นางไม่เคยออกมานอกสำนักเลยตั้งแต่เด็กแล้วจะรู้ถึงภัยอันตรายของโลกภายนอกได้อย่างไร เซวียไฉ่อีเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ที่ไม่ได้โด่งดังอะไร แต่การปะทะกันครั้งนี้เกือบทำเอานางเกือบตาย “พี่หญิง รีบฆ่านางเลย!”
วิทยายุทธและวิชาการใช้พิษของซู่เวิ่นไม่ได้เรื่อง ทว่าหลิงซูกลับต่างกันออกไป หลิงซูร่อนเร่ในยุทธภพมาตั้งแต่หลายปีก่อนจึงมีวิทยายุทธที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเป็นถึงผู้อาวุโสที่คอยดูแลเหล่าหมอในเย่าหวังกู่โดยเฉพาะ ยิ่งเรื่องฝีมือการรักษาของหลิงซูเป็นรองแค่มั่วเวิ่นฉิงเท่านั้น กล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง กระทั่งเมื่อหลายปีก่อนนางยังได้รับสมญานามว่ามืออันบริสุทธิ์ของพระกวนอิมโพธิสัตว์ในแวดวงยุทธภพอีกด้วย
“กำเริบเสิบสานนัก!” หลิงซูดูเรียบร้อยใจเย็นโกรธยาก แต่กลับเหวี่ยงมือตบหน้าซู่เวิ่นอย่างแรงโดยไม่คิดเกรงใจเลยสักนิด พร้อมตวาดขึ้นว่า “เจ้าก่อเรื่องยังไม่พออีกหรือ”
ซู่เวิ่นถูกฟาดฉาดใหญ่ไปเช่นนั้นเลยทำเอามึนงงไปชั่วขณะ ใช้มือกุมหน้าพลางมองหลิงซูแน่นิ่ง หลิงซูเอ่ยอย่างโมโห “เจ้ายังเป็นเด็กหรืออย่างไรกัน ก่อเรื่องใหญ่โตเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้เองหรือ เจ้าเก่งกาจจัดการทุกอย่างเองได้หรืออย่างไร หากไม่ใช่เพราะข้ามาได้ทันท่วงทีล่ะก็…”
ซู่เวิ่นผุดนึกขึ้นได้ทันที หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่หลิงซูมาได้ทันเวลา แส้เส้นนั้นของเซวียไฉ่อีคงฟาดลงมาโดนศีรษะนางแล้ว ด้วยวิทยายุทธของเซวียไฉ่อีเกรงว่าคงทำเอาศีรษะของนางแหลกละเอียด ชั่ววินาทีนั้นก็นึกหวาดกลัวขึ้นมาเลยมองหลิงซูพลางร่ำไห้เสียงดัง
หลังจากสั่งสอนน้องสาวเสร็จ หลิงซูก็หันไปมองเซวียไฉ่อีแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนักเซวีย น้องหญิงของข้ายังไม่รู้ความ โปรดอภัยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วยเถิด”
เซวียไฉ่อีมองลูกน้องที่นอนตายเกลื่อนพื้นก็เผยสีหน้าแดงก่ำอย่างโมโห สถานการณ์ตอนนี้สำนักไฉ่อีถูกถล่มจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ข้าจะอภัยให้ได้เช่นไร เห็นทีสำนักไฉ่อีกับเย่าหวังกู่คงต้องตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว
ครั้นเห็นสีหน้าของเซวียไฉ่อี หลิงซูก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เจ้าสำนักเซวียอยากให้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องน่าขันหรือ ถึงแม้ซู่เวิ่นจะบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะเข่นฆ่าใครโดยไร้เหตุผลเช่นนี้แน่นอน เกรงว่าเวลานี้จะมีคนแอบยุแหย่มากกว่า”
เซวียไฉ่อีแค่นเสียงใส่อย่างไม่ชอบใจ แต่ไหนแต่ไรมาซู่เวิ่นก็ไม่ชอบขี้หน้านางอยู่แล้ว ความจริงการที่นางบุ่มบ่ามเข้ามาตบตีเข่นฆ่าเช่นนี้กลับไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลย
ทว่าหลิงซูกลับไม่โมโหเลยสักนิด นางหมุนตัวหันไปมองยอดหลังคาด้านหลังแล้วเปล่งเสียงดังกังวานขึ้นว่า “คุณชายอวิ๋นอิ่น เหตุใดถึงไม่ลงมาเล่า ไม่รู้ว่าน้องหญิงของข้าไปล่วงเกินคุณชายเรื่องใด เหตุใดคุณชายถึงได้วางแผนทำร้ายนางเช่นนี้”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา เมล็ดทานตะวันที่เหลือในมือปลิวลอยพุ่งเข้าใส่หลิงซูอย่างพร้อมเพรียง หลิงซูไม่ขยับตัวสักนิด นางเพียงยกแขนเสื้อสีเขียวขึ้นหมุนเป็นวงกลมคล้ายกลีบเมฆก้อนหนึ่ง จากนั้นก็กวาดเอาเมล็ดทานตะวันไม่กี่สิบเม็ดนั้นม้วนเข้ามาไว้ในแขนเสื้อก่อนเขวี้ยงพุ่งขึ้นไปด้านบนปักเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
ถึงแม้หลิงซูจะได้รับแรงสะเทือนจนเซถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว แต่นางกลับยั้งสติอยู่ หรงจิ่นเลิกคิ้วก่อนสบถออกไปประโยคหนึ่ง “วิทยายุทธไม่เลวเลย”
“เก่งมากเลยหรือ” มู่ชิงอีไม่รู้ระดับความเก่งกาจของวิทยายุทธ แต่พอจะมองสีหน้าท่าทางของคนออก หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “ฝีมือดีกว่ามั่วเวิ่นฉิง”
เช่นนั้นก็เก่งมากจริงๆ ถึงแม้ฝีมือวิทยายุทธของมั่วเวิ่นฉิงจะไม่ถึงขั้นยอดฝีมือลำดับต้นๆ แต่ก็นับว่าเป็นเลิศ ทว่าหลิงซูกลับเก่งกว่ามั่วเวิ่นฉิง ในฐานะสตรีถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หรงจิ่นโอบร่างมู่ชิงอีโรยตัวลงมาด้านล่างด้วยท่วงท่าปราดเปรียว เลิกคิ้วเอ่ย “ผู้อาวุโวหลิงซูสายตาช่างเฉียบแหลมนัก”
หลิงซูยิ้มขมขื่น “คิดว่าคุณชายอวิ๋นอิ่นไม่ได้คิดซ่อนตัวตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า” ด้วยวิทยายุทธของอวิ๋นอิ่น หากคิดจะซ่อนตัวจริงๆ หลิงซูรู้ดีว่านางคงหาไม่เจอแน่นอน “ไม่ทราบว่าน้องหญิงของข้าไปล่วงเกินอะไรคุณชายอวิ๋นอิ่นเข้าหรือ คุณชายโปรดเห็นแก่ที่นางอายุยังน้อย อภัยให้นางด้วยเถิด”
“ข้าเห็นนางแล้วขัดหูขัดตา” อวิ๋นอิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “อีกอย่างยัยแก่นี่อายุมากกว่าข้าเสียอีก นางอายุน้อยที่ไหนกัน” ปีนี้หรงจิ่นอายุเพียงแค่สิบเก้าชันษาเท่านั้น ถึงแม้ซู่เวิ่นจะยังอยู่ในช่วงวัยเยาว์แต่อายุก็ปาไปยี่สิบต้นๆ แล้ว ส่วนหลิงซูก็อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปี นอกจากมู่ชิงอีแล้ว ทุกคนล้วนนับว่าเป็นยัยแก่อย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ