หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 307 หัวหน้าผู้ดูแลจวนอ๋อง (3)
“ดูท่าทางคงไม่มีอะไรพูดแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเคยให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ทุกการกระทำของผู้ดูแลหลีในวันนี้ทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน วันหน้าควรจัดการเช่นใดคิดว่าผู้ดูแลหลีคงไม่โกรธเคืองกันกระมัง”
ผู้ดูแลหลีเปิดปากพูดอย่างยากลำบาก เพราะประกายดาบวาววับที่จ่ออยู่ตรงหน้าทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกเลยทำได้แค่ก้มหน้าอย่างเศร้าใจ
โจวฮูหยินผงะไปครู่หนึ่ง สุดท้ายขาทั้งสองข้างก็อ่อนยวบพับลงกับพื้นเสียงดัง พลั่ก
มู่ชิงอีไม่ได้ส่งตัวผู้ดูแลหลีเข้าคุก เพราะในคืนวันเดียวกันนั้นผู้ดูแลหลีก็ฆ่าตัวตายภายในห้องหนังสือของตัวเองแล้ว หลังจากข่าวแพร่งพรายออกไปเหล่าผู้ดูแลภายใต้อาณัติของตระกูลกู้จึงมองคุณชายหนุ่มน้อยคนนี้ใหม่ในทันที
ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันผู้ดูแลสองคนก็ถูกจับขังเข้าคุก อีกทั้งไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ออกมาหรือไม่ กระทั่งอาจเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าถึงแม้เจ้านายคนใหม่ผู้นี้ของพวกเขาจะอายุยังน้อย หน้าตาหล่อเหลา ทว่ากลับไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในเรือนแต่ผ่านโลกมามาก ไม่เพียงแต่วางอุบายเก่ง อีกทั้งยังลงมือทำจริงด้วย แวบเดียวผู้ดูแลทุกคนก็แปรเปลี่ยนนอบน้อมถ่อมตนขึ้นมาทันที ใครที่ต้องแก้สมุดบัญชีก็แก้ไป ส่วนใครที่ต้องชดใช้เบี้ยหวัดที่พร่องไปก็เอามาชดใช้คืนเช่นกัน
รอจนกระทั่งมู่ชิงอีจัดการเรื่องโดยรวมทุกอย่างหมดแล้ว เฝิงจื่อสุ่ยก็พาอิ๋งเอ๋อร์ตามมาที่เมืองหลวงด้วย ครั้นได้ฟังเหมยเหนียงเล่าว่าสถานการณ์ที่ย่ำแย่ในเดิมทีถูกมู่ชิงอีจัดการจนเป็นระเบียบเรียบร้อย เฝิงจื่อสุ่ยก็ยิ่งเลื่อมใสในตัวคุณหนูที่มารับช่วงต่อกิจการทั้งหมดของตระกูลกู้ยิ่งกว่าเดิม กลอุบายของคุณหนูที่ใช้ตอนอยู่แคว้นหวาเขาก็เคยเห็นมาแล้ว คิดไม่ถึงว่านอกจากคุณหนูจะถนัดเรื่องการวางแผนแล้ว แม้แต่ความสามารถในแวดวงการค้ายังน่าทึ่งมากด้วย เกรงว่าต่อให้คุณชายใหญ่มาสืบทอดกิจการแทนอาจจะไม่ได้ดีไปกว่านี้ด้วยซ้ำ
ตอนแรกเฝิงจื่อสุ่ยไม่พอใจนักที่คุณชายใหญ่ไม่ยอมสืบทอดกิจการของตระกูลกู้ต่อ แต่ดูท่าทางตอนนี้แล้วบางทีคุณชายใหญ่ต่างหากที่คิดถูก คุณชายใหญ่ไม่สนใจพวกเรื่องชื่อเสียงเงินทองหรือเรื่องมากมายรุมเร้าเช่นนี้ หากมารับช่วงกิจการตระกูลกู้ต่อเกรงว่าจะเป็นการฝืนใจมากกว่า
“ข้ามาถึงช้า ลำบากคุณหนูแล้ว” พวกเขาไล่ลูกน้องคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องหนังสือ ออกไปเหลือเพียงมู่ชิงอี เฝิงจื่อสุ่ย อู๋ซินและอิ๋งเอ๋อร์สี่คนเท่านั้น เฝิงจื่อสุ่ยทำความเคารพอย่างนอบน้อมพร้อมโค้งตัวขอรับโทษ
มู่ชิงอีรีบประคองตัวเขาขึ้นมากล่าว “ท่านเฝิงทำอันใดกัน ท่านช่วยเก็บกวาดเรื่องที่แคว้นหวาให้พวกเรา ข้าต่างหากที่ทำท่านลำบากมากกว่า”
เฝิงจื่อสุ่ยรีบกล่าวว่า “มิบังอาจ” มู่ชิงอีอมยิ้มส่ายศีรษะเอ่ย “ที่นี่ไม่มีคนอื่นแล้ว ท่านขึ้นมานั่งพูดคุยกันเถิด”
“ขอบคุณคุณหนูขอรับ” เฝิงจื่อสุ่ยกล่าวขอบคุณ
มู่ชิงอีขบคิดแล้วเอ่ย “วันหลัง…ท่านเรียกข้าว่าคุณชายจะดีกว่า” เฝิงจื่อสุ่ยมุ่นคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยนักว่า “คุณชายตัดสินใจจะเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์จริงๆ หรือ”
หลายปีมานี้เฝิงจื่อสุ่ยคอยดูแลกิจการใหญ่โตของตระกูลกู้มาตลอด อีกทั้งเป็นคนสำคัญที่กู้มู่เหยียนเชื่อใจมากที่สุด ดังนั้นมีเรื่องมากมายที่มู่ชิงอีไม่คิดปิดบังเขาอยู่แล้ว สำหรับเรื่องที่มู่ชิงอีจะเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์แคว้นเย่ว์ เฝิงจื่อสุ่ยกลับไม่เห็นด้วยเท่าไร ไม่ว่าจะกล่าวเช่นใดคุณหนูก็เป็นผู้หญิง มีเพียงคุณหนูที่ทำให้ตระกูลกู้ไปได้ไกลกว่านี้ วันหน้าก็ตบแต่งกับสุภาพชนดีๆ สักคน ไม่ว่าเช่นไรก็ดีกว่าไปเสี่ยงอันตรายเป็นผู้ช่วยองค์ชายที่ไม่มีจุดเด่นอะไรช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้
มู่ชิงอีพยักหน้าด้วยท่าทีสงบ “ในเมื่อตอบตกลงไปแล้วต้องไม่นึกเสียใจภายหลัง”
เฝิงจื่อสุ่ยมองมู่ชิงอีด้วยความเป็นห่วงเอ่ย “แต่คุณชาย…” คุณหนูอายุสิบหกปีแล้ว เรื่องช่วงชิงตำแหน่งสืบบัลลังก์ใช่ว่าจะสำเร็จได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เสียเมื่อไร หากล่าช้าไปอีกหลายปี อนาคตของคุณหนู…
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบาง “ข้ารู้ว่าท่านเฝิงหวังดีกับข้า ในใจข้ารู้ขอบเขตเรื่องพวกนี้ดี วันหน้าคงมีเรื่องวุ่นวายอีกมาก ท่านโปรดช่วยเหลือข้าด้วย”
ครั้นเห็นนางตัดสินใจแน่วแน่ เฝิงจื่อสุ่ยเลยไม่โน้มน้าวนางอีกแล้วขานรับอย่างนอบน้อม “เป็นหน้าของข้าอยู่แล้ว”
หลังจากจบประเด็นนี้ มู่ชิงอีถึงถามข่าวคราวของกู้ซิ่วถิงและมู่หรงซี เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยตอบ “ระหว่างทางข้าได้รับข่าวคราวของคุณชายและองค์ชายบ้างจริงๆ คุณชายใหญ่บอกว่าพวกเขาปลอดภัยดี แต่ตอนนี้ติดธุระเลยยังมิอาจมาเจอคุณชายที่แคว้นเย่ว์ได้ คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาหรอกขอรับ”
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ” มู่ชิงอีขมวดคิ้วมุ่น นางมักรู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจนัก พี่ใหญ่ไม่มีวิทยายุทธติดตัว ถึงแม้พี่ชายจะฝีมือไม่แย่แต่ร่างกายกลับอ่อนแอ พวกเขาสองคนออกไปเผชิญโลกภายนอกเช่นนี้เลยชวนให้รู้สึกไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไร
เฝิงจื่อสุ่ยพยักหน้ากล่าว “ข้าถามลูกน้องที่ได้รับข่าวคราวมาด้วยตัวเอง คุณชายใหญ่เป็นคนฝากฝังบอกมาเองกับตัว ตอนนั้นคุณชายใหญ่และองค์ชายสบายดีทุกอย่าง ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน”
มู่ชิงอีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี หากพี่ใหญ่กับพี่ชายมีข่าวคราวใดอีกให้รีบบอกข้าทันที”
“รับทราบขอรับ คุณชาย…สองวันนี้จะไปจวนอวี้อ๋องแล้วหรือ” เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยถาม มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจกล่าว “ใช่แล้ว” ในเมื่อยื้อเวลามาหลายวันแล้ว หากยังไม่ไปอีกเกรงว่าใครบางคนคงอาละวาดเอาได้
“คุณหนู…เอ้ย คุณชาย เช่นนั้นอิ๋งเอ๋อร์เล่า อิ๋งเอ๋อร์ก็อยากตามคุณชายไปด้วย” อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยพลางกะพริบดวงตาสุกใสอย่างน่าสงสาร
มู่ชิงอีมองสีหน้าที่กำลังเฝ้ารอคอยของอิ๋งเอ๋อร์แล้วยิ้มเอ่ย “ก็ดี ข้างกายข้าเองก็ขาดอิ๋งเอ๋อร์ไปไม่ได้เช่นกัน”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าอย่างชอบอกชอบใจ แถมยังไม่ลืมเชิดคางใส่อู๋ซินอย่างได้ใจด้วย “อิ๋งเอ๋อร์จะเชื่อฟังคำสั่งของคุณชายอย่างว่าง่ายแน่นอนเจ้าค่ะ”
“นอกจากยกชารินน้ำ ปูที่นอนพับผ้าห่มแล้ว เจ้าจะช่วยคุณชายทำอะไรได้อีกหรือ” อู๋ซินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เจ้า!” ชั่วขณะนั้นอิ๋งเอ๋อร์ก็เบิกตากว้างจ้องอู๋ซินตาเขม็ง กัดฟันกล่าว “อย่างน้อยข้าก็ยังช่วยยกชารินน้ำ ปูที่นอนพับผ้าห่มให้คุณชายได้ เจ้าติดตามคุณชายทุกวี่วันแต่กลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!”
อู๋ซินเลิกคิ้วโดยไม่พูดอะไร ทว่ากลับแผ่กลิ่นอายเชิงดูแคลนออกมาโดยไม่ต้องพูดสักคำ
“เจ้า…”
“อิ๋งเอ๋อร์!” เฝิงจื่อสุ่ยกุมหน้าผากด้วยความปวดหัว อิ๋งเอ๋อร์เสียมารดาไปตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเลยเป็นทั้งบิดาและเป็นทั้งมารดาเลี้ยงดูนางมาคนเดียวจนเติบใหญ่ หากไม่ได้รับการสั่งสอนจากมารดาจะทำตัวดีไม่ได้เลยหรือ ตนไม่เคยสอนให้บุตรสาวต่อปากต่อคำเช่นนี้สักหน่อย
มู่ชิงอียิ้มบางแล้วยกมือขึ้นห้ามเฝิงจื่อสุ่ย จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร พวกเขาทะเลาะกันเล่นๆ เท่านั้นแหละ”
เฝิงจื่อสุ่ยถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เจ้าเด็กคนนี้ขี้เอะอะโวยวายยิ่งนัก คุณชายโปรดอภัยให้นางด้วยเถิด”
“ไม่เป็นไรเลย อิ๋งเอ๋อร์ดีจะตาย” มู่ชิงอียิ้มกล่าว
เช้าวันต่อมามู่ชิงอีก็พาแค่อิ๋งเอ๋อร์และอู๋ซินสองคนเดินเข้าประตูใหญ่ของจวนอวี้อ๋องไปอย่างโจ่งแจ้ง
เวลานี้ในจวนอวี้อ๋องกลับเต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ เช้าตรู่เช่นนี้ทั่วทั้งจวนอ๋องกลับอบอวลไปด้วยความหวาดผวา ถึงแม้จะไม่ใช่วันแรกที่เป็นเช่นนี้ แต่คนส่วนมากกลับไร้หนทางจะปรับตัวให้คุ้นชินได้
องค์ชายเก้ายามที่อยู่ในวังก็ถูกฝ่าบาทตามใจจนทำตัวเหลิงไม่เกรงกลัวใคร อีกทั้งยังสุขภาพอ่อนแอพอไม่ได้ดั่งใจก็ป่วยหนัก เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง แต่ท่านอ๋องผู้นี้ใช่ว่าแค่ระมัดระวังแล้วจะปรนนิบัติได้ดีดั่งใจเสียหน่อย
เมื่อวานตอนเช้าเหล่าบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายท่านอ๋องสี่คนโดนโยนออกมาแล้วสามคน ทุกคนต่างถูกโบยสิบที แม่นางร่างบอบบางคนหนึ่งถูกโบยจนกระทั่งเปล่งเสียงร้องไม่ออก เช้าเมื่อวานซืนท่านอ๋องทานข้าวได้ครึ่งหนึ่งก็ล้มโต๊ะ ทั่วทั้งห้องครัวตั้งแต่พ่อครัวปรุงอาหารยันบ่าวก่อฟืนต่างถูกลงโทษโดยไม่เว้นแม้แต่คนเดียว