หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 27 ความรู้สึกที่แท้จริงของคู่สามีภรรยา
ตอนที่ 27 ความรู้สึกที่แท้จริงของคู่สามีภรรยา
หรงเหยี่ยนที่ไม่ปริปากพูดมาตลอดก็พลอยหัวเราะตามไปด้วยพลางกล่าว “ในเมื่อเลี่ยอ๋องไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอไม่รบกวนกงอ๋องต่อแล้วดีกว่า”
มู่หรงอวี้พยักหน้ายิ้มกล่าว “วันหลังข้าค่อยไปเยี่ยมตวนอ๋องกับองค์ชายเก้าใหม่ก็แล้วกัน”
หรงเหยี่ยนเอ่ยพลางยิ้ม “น้องเก้าถูกท่านพ่อตามใจจนเสียนิสัย นิสัยเลยแปลกๆ พิกลอยู่บ้าง กงอ๋องโปรดอย่าตำหนิเลย”
วันนี้พระชายากงเชิญเหล่าแม่นางทั้งหลายมาร่วมงานเลี้ยง แน่นอนว่ากงอ๋องเองก็ต้องเชิญราชทูตของแต่ละแคว้นมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน เพียงแต่หรงจิ่น องค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์กลับไม่รับน้ำใจโดยปฏิเสธเพียงประโยคเดียวว่าไม่สบาย ทว่าดูจากตอนนี้แล้วคนที่ปฏิเสธมาร่วมงานกลับดูให้เกียรติมากกว่าองค์หญิงทั้งสองที่โผล่มาแวบเดียวแล้วก็กลับเสียยิ่งกว่า
มู่หรงอวี้ยิ้มพลางพยักหน้าแล้วไปส่งพวกเขาทั้งสองกลับด้วยตัวเอง
วันนี้งานเลี้ยงในจวนกงอ๋องแทบเรียกได้ว่าเหมือนละครตลกที่แสนน่าเบื่อ แขกเหรื่อในงานต่างก็เข้าใจอารมณ์ของกงอ๋องกับพระชายาดี เลยเกรงว่าจะไม่ค่อยสบอารมณ์นัก พวกเขาจึงทยอยลุกขึ้นขอตัวกลับ ในตอนท้ายจึงเหลือเพียงครอบครัวของจวนซู่เฉิงโหวที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับจวนกงอ๋องอยู่เท่านั้น
พวกเขากลับไปนั่งที่ห้องรับรองในจวน สีหน้าของจูหมิงเยียนไม่สู้ดีนัก นางเอาแต่นั่งดื่มชาด้วยท่าทีเคร่งขรึมโดยไม่พูดอะไร ในเมื่อนางไม่พูดไม่จา คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่กล้าเปิดปากพูดอยู่แล้ว แต่กระนั้นกลับทำให้มู่ชิงอีชอบใจในอิสระ เพียงแต่มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกวาดตามองมู่ชิงอีด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์ หลังจากผ่านเรื่องวันนี้มาเลยทำให้นางผุดความคิดบางอย่างขึ้นได้ หลานสาวผู้นี้…เหมือนแม่นางไม่มีผิด แตกต่างกับคนตระกูลมู่
อันที่จริงมู่ฮูหยินผู้เฒ่านั้นกำลังเอาความโกรธมาระบายลงคนอื่น แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อสั่งสอนมู่ชิงอี นางจะล่วงเกินเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นได้เช่นไร ต้องรู้ก่อนว่า เกอซูฮั่นเป็นถึงนักฆ่าที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาในตำนาน ถ้าถูกตบบ้องหูขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าชีวิตของหญิงชราคงต้องถวายให้ที่แห่งนี้ไปแล้ว มู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ตกใจจนสติหลุดจึงโยนความผิดทั้งหมดไปให้หลานสาวที่ไม่โปรดปรานที่เกิดจากภรรยาเอกอย่างไม่ลังเล
สักพักมู่หรงอวี้ก็เดินเข้ามา จูหมิงเยียนรีบเดินไปต้อนรับ “ท่านพี่ เลี่ยอ๋องกับตวนอ๋องไปแล้วหรือ”
ครั้นมองไปที่จูหมิงเยียน มู่หรงอวี้ก็ขมวดคิ้วแต่แววตากลับลอบมองมู่ชิงอีที่นั่งเงียบขรึมไม่พูดจาอยู่อีกฝั่ง มู่ชิงอีที่รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองตนจึงเงยหน้าประสานสายตากับมู่หรงอวี้ แววตาเย็นเยียบไร้ซึ่งความรู้สึกไม่แสดงอารมณ์ใด ทำให้มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม แววตาที่เย็นชาไม่สื่ออารมณ์ใดเช่นนี้ให้ความรู้สึกไม่สบายใจที่แสนคุ้นเคย แต่พอพินิจดูแล้วกลับค้นพบว่าในชีวิตเขายังไม่เคยเห็นหญิงคนไหนมีแววตาที่สงบไร้อารมณ์เช่นนี้มาก่อนเลย แม้จะเป็น…กู้อวิ๋นเกอก็ตาม
ครั้นเห็นแววตาของมู่หรงอวี้ จูหมิงเยียนก็สายตาเปลี่ยนเล็กน้อย มือดึงแขนเสื้อของมู่หรงอวี้โดยไม่เผยพิรุธใดให้เห็นพร้อมยกยิ้ม “ท่านพี่ เลี่ยอ๋องไม่ได้โกรธเคืองอะไรใช่หรือไม่เพคะ”
พอเอ่ยถึงเลี่ยอ๋องขึ้นมา เดิมทีบรรยากาศที่เงียบสงัดอยู่แล้วก็ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม มู่อวิ๋นหรงเหล่มองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องหญิงสี่ ท่านย่าจะล่วงเกินเลี่ยอ๋องได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลี่ยอ๋องจะแค้นฝังใจหรือไม่ ถ้าน้องหญิงสี่มีเวลาก็ควรไปวิงวอนขออภัยโทษให้จะดีกว่า ในเมื่อเลี่ยอ๋องเห็นแก่หน้าน้องหญิงสี่คนเดียวเท่านั้น”
มู่ชิงอีมองนางด้วยสายตาเย็นชากล่าว “พี่หญิงสามคิดว่าเลี่ยอ๋องจะมีนิสัยเช่นพี่หญิงสามหรืออย่างไร”
“มู่ชิงอี เจ้าหมายความว่าอย่างไร” มู่อวิ๋นหรงตวาดใส่ด้วยความโกรธ
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “เลี่ยอ๋องเป็นคนทำอะไรตามความถูกต้อง พี่หญิงสามคิดว่าเขาจะมีเวลาว่างมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนที่ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขาหรือ” มู่อวิ๋นหรงแค่นหัวเราะทีก่อนเอ่ย “เจ้าเข้าใจเลี่ยอ๋อง รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรด้วยหรืออย่างไรกัน”
“พอแล้ว!” มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เหลือบมองมู่หวิ๋นหรงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง มู่อวิ๋นหรงเสียวสันหลังวาบพร้อมกับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาชั่วขณะ
นับตั้งแต่มู่ชิงอีฟื้นขึ้นมาทุกคนก็เอาแต่ช่วยนาง ท่านพ่อก็เข้าข้างแต่นาง กงอ๋องก็ช่วยแต่นาง แม้กระทั่งเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นที่เพิ่งมาถึงยังช่วยเหลือนาง หรือว่ามู่ชิงอีจะเป็นนางปีศาจร้ายกันนะ?
“พี่หญิง…” มู่อวิ๋นหรงมองจูหมิงเยียนด้วยสายตาน่าสงสาร
จูหมิงเยียนส่ายศีรษะยิ้มอย่างแผ่วเบา มือหนึ่งคล้องแขนของมู่หรงอวี้ไว้แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่ อวิ๋นหรงเป็นคนนิสัยใจร้อนไปบ้าง แต่ในใจไม่ได้คิดร้ายอะไร ท่านพี่อย่าถือโทษโกรธนางเลยเพคะ”
มู่หรงอวี้แค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินไปอีกฝั่ง นั่งลงโดยไม่สนใจมู่อวิ๋นหรงอีก ตอนแรกเขาเลือกนางมาเป็นพระชายาให้น้องแปดเพราะนางเป็นคนซื่อบื้อดี น้องแปดไม่ต้องการพระชายาที่ใจร้อนคนหนึ่งเพียงแค่เชื่อฟังก็พอ แต่ถ้าแม้แต่เชื่อฟัง มู่อวิ๋นหรงยังทำไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้แล้ว
“คุณหนูสี่รู้จักเลี่ยอ๋องด้วยหรือ” มู่หรงอวี้เอ่ยถาม
มู่ชิงอีส่ายศีรษะ “ได้ยินชื่อมานมนาน แต่ได้เจอครั้งแรกก็วันนี้เพคะ”
มู่หรงอวี้พยักหน้าพลางครุ่นคิด เกอซูฮั่นไม่เคยมาเมืองหลวง มู่ชิงอีไม่จำเป็นต้องโกหกอยู่แล้ว ไตร่ตรองอยู่สักพักจึงเอ่ยกับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าว่า “เรื่องวันนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ตำหนิคุณหนูสี่เลย”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยรับอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ครั้นเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของมู่ชิงอีกลับรู้สึกขัดตาอยู่บ้าง “นายท่านสั่ง หม่อมฉันคงมิบังอาจขัดได้ แต่ชิงอีผู้นี้ทำอะไรไม่คิด หม่อมฉันคิดว่าชิงอีควรออกนอกเมืองไปสำนึกผิดสักสองสามวันเพื่อเลี่ยงไมให้ทำผิดอีก” ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน มู่ฮูหยินผู้เฒ่าคงชื่นชมท่าทีเรียบนิ่งของมู่ชิงอี แต่พอเกี่ยวข้องกับตัวเอง สำหรับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ท่าทีเรียบนิ่งเช่นนี้กลับขัดตานัก ถ้าไม่ลงโทษจะระบายความโกรธที่จุกอยู่ในอกได้เช่นไร
มู่หรงอวี้ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจมาใส่ใจว่ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าจะลงโทษหลานสาวอย่างไร เขาโบกไม้โบกมือสื่อว่าตามใจเลย
การถูกลงโทษให้ออกไปสำนึกผิดนอกเมือง สำหรับมู่ชิงอีนั้นไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไรนัก อันที่จริงวิธีการลงโทษของทุกตระกูลในเมืองไม่แตกต่างกันมาก แต่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ส่งนางไปทบทวนสำนึกผิดนอกเมือง ปกติแล้วจะเป็นบทลงโทษสำหรับบุตรของเหล่าอนุภรรยา ลูกหลานของภรรยาเอกมีสถานะสูงส่งกว่าจะไม่จำเป็นต้องลงโทษเช่นนี้
แต่หากบุตรของเหล่าอนุภรรยาถูกส่งตัวไปแล้ว คิดจะกลับมาคงต้องรอให้คนในบ้านนึกขึ้นได้ก่อน แต่บุตรของภรรยาเอกกลับแตกต่างกันออกไป ไม่ช้าก็เร็วจะถูกรับกลับมาและจะไปนานมากไม่ได้ จึงไม่ได้ถือว่าเป็นการลงโทษอะไรมากมาย มู่ฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนี้ก็แค่เพราะตอนนี้เห็นมู่ชิงอีแล้วขัดตาเลยไม่อยากเห็นหน้าจะได้สบายตาหน่อยก็เท่านั้น
มู่ชิงอีคิดอยากไปวัดเป้ากั๋วสักรอบอยู่พอดี ถ้าไม่ได้รับการลงโทษจากมู่ฮูหยินผู้เฒ่าในครั้งนี้ นางก็ต้องคิดหาวิธีถูกลงโทษอยู่แล้ว บัดนี้กลับเป็นไปตามที่ใจปรารถนา มู่ชิงอีที่อารมณ์ดีไม่หยอกเลยฟังบทสนทนาของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าและจูหมิงเยียนเงียบๆ เมินเฉยต่อสายตาเยาะเย้ยของมู่อวิ๋นหรง
หลังจากส่งคนของจวนซู่เฉิงโหวกลับหมดแล้ว ในจวนกงอ๋องก็เหลือเพียงมู่หรงอวี้กับจูหมิงเยียนสองคนเท่านั้น มู่หรงอวี้ที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ ก็ขรึมลงในชั่วขณะ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏความเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย
จูหมิงเยียนมองมู่หรงอวี้ที่สีหน้าไร้อารมณ์เบื้องหน้า นางก้มหน้าลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย นัยน์ตาทอประกายความเจ็บปวดออกมา เอ่ยเรียก “ท่านพี่”
มู่หรงอวี้มองนางด้วยสายตาเยือกเย็นพูดเสียงทุ้มต่ำ “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป”
จูหมิงเยียนก้มหน้ากัดริมฝีปากเบาๆ “ท่านพี่ หม่อมฉันทำไมหรือเพคะ”
มู่หรงอวี้แค่นเสียง “เจ้าเป็นถึงพระชายากง แต่สุดท้ายกลับทิ้งแขกหนีไปแล้วให้พี่สะใภ้มาต้อนรับทักทายแขกแทนอย่างนั้นหรือ แล้วมู่อวิ๋นหรงนังโง่นั่น เจ้ารู้เห็นเป็นใจให้นางหาเรื่องมู่ชิงอี เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าตอนนี้…ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม!”