หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 95 วางยาพิษ
บทที่ 95 วางยาพิษ
อันหลิงหลงตะลึงจนทั่วทั้งร่างแข็งค้าง ชั่วขณะนางถึงกับลืมความกลัว แต่เสี่ยวหงที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังนางใบหน้าพลันซีดเผือดทันที
อันหรูอี้ที่นั่งนิ่งอยู่เมื่อครู่สะดุ้งโหยง “อันหลิงหลง! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?! ”
ชิวจื้อและชิงอวิ๋นคุ้มกันนายของตนโดยสัญชาตญาณ เถาหงและหลิวลวี่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้พูดอะไรก็คว้าตัวอันหลิงหลงและเสี่ยวหง ลากออกไปจนห่างจากสองกุ้ยเฟยราว 10 กว่าก้าวจึงหยุด
นางกำนัลของตำหนักชูฮวาที่อยู่นอกประตูถูกคุมตัวไว้หมดแล้ว อันหลิงหลงล้มลงกับพื้นอย่างอเนจอนาถ
หลิวลวี่เตะเสี่ยวหงทีหนึ่ง “นางคนไม่เอาไหน กล้าดีอย่างไรมาวางแผนทำร้ายพระโอรส! ข้าจะไปแจ้งฝ่าบาทเดี๋ยวนี้! อันหลิงหลงคิดจะทำร้ายพระโอรส! ”
ฝ่าบาท?
อันหลิงหลงรู้สึกหวาดกลัว เผลอร้องออกมาด้วยปฏิกิริยาตอบสนองทันที แล้วกอดขาของหลิวลวี่ไว้แน่น “อย่า! อย่าบอกฝ่าบาทเลย! ข้าไม่ได้คิดร้ายต่อรัชทายาท ไม่ใช่ข้าที่คิดร้ายต่อรัชทายาทจริง ๆ ! ”
สีหน้าของหลิวลวี่เปลี่ยนเป็นดำมืด นางบีบไหล่ของอันหลิงหลงแน่น ด้วยแรงมหาศาล อันหลิงหลงร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่สามารถกอดขาของอีกฝ่ายไว้ได้อีกต่อไป
แต่พอเพิ่งปล่อยมือก็คว้ากลับมาโอบอีก เถาหงโมโหจนอดไม่ไหว เตะไปทีหนึ่ง แต่ก็ถูกเสี่ยวหงดึงรั้งไว้ พูดเช่นเดียวกันว่า “อย่า! โปรดอย่ากราบทูลฝ่าบาทเลย ข้าขอร้องพวกเจ้า วิงวอนต่อพวกเจ้า… ”
พวกนางทั้ง 2 ดิ้นรนต่อสู้อย่างสุดกำลัง เรี่ยวแรงไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้เถาหงและหลิวลวี่เซไปเล็กน้อย
สีหน้าของชิวจื้อเปลี่ยนเป็นดำมืดในทันที “พวกเจ้ายืนเหม่ออะไรกัน รีบไปมัดตัวพวกมันซะ! ”
นางกำนัลที่ยืนขนาบอยู่ถึงได้สติ รีบวิ่งเข้าไปกดตัวพวกนางลงกับพื้น ทำเอาอันหลิงหลงและชิงอวิ๋นตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ร้องไห้อย่างเดียว
อันหรูอี้และสวีเจิ้งเดินออกมา สวีเจิ้งขมวดคิ้ว “เมื่อครู่ใครเป็นคนส่งเสียงเตือน? พาตัวเข้ามา! ”
ไม่นานนักเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีคิ้วขมวดเล็กน้อยก็วิ่งเข้ามา นางสวมชุดนางกำนัล ผิวขาวน่ารัก ดวงตากลมโตเหมือนแมว แก้มยังมีไขมันอย่างเด็กอยู่บ้าง ผมเปียสองข้างห้อยอยู่บนไหล่
เป็นเด็กที่น่าเอ็นดู อันหรูอี้ถาม “เจ้าชื่ออะไร? เหตุใดจึงรู้ว่าพวกนางจะวางยาพิษ? ”
“ทูลพระชายา หม่อมฉันชื่อซูหว่านเอ๋อร์ เพิ่งเข้าวังมาเพคะ” ซูหว่านเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ดวงตากะพริบปริบ ๆ แสดงถึงความไร้เดียงสา “หม่อมฉันได้ยินมาจากหลังหุบเขาจำลองเพคะ! ”
นางพูดด้วยน้ำเสียงแบบเด็ก ๆ อันหรูอี้มองดูอันหลิงหลงแล้วค่อยถามต่อ “เจ้าได้ยินอะไรมา? ”
ซูหว่านเอ๋อร์บีบนิ้วมือ ชี้ไปที่เสี่ยวหงพลางกล่าว “นาง หญิงชั่วคนนี้พูดว่าเด็กในเรือนเหมันต์ต้องไม่มีชีวิตอยู่ และยังพูดว่าอย่าลืมชงชาให้ดี ๆ อะไรทำนองนั้น… ”
น้ำเสียงค่อย ๆ เบาลง ซูหว่านเอ๋อร์จับเปียใหญ่ของตัวเองด้วยความลำบากใจ “…ลืมไปแล้ว”
เด็กเพิ่งโตจะจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ อันหรูอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่อยากถามอะไรอีก นางผิดหวังและโกรธอันหลิงหลงอย่างที่สุด
นางเพิ่งตรวจพบว่าตั้งครรภ์ ความยินดีผสมความคลางแคลงใจยังคงอยู่ อันหลิงหลงก็รีบร้อนมาทำร้าย หมายเอาชีวิตลูกของนางแล้ว ช่างบ้าบิ่นและโหดร้ายเหลือเกิน!
“อันหลิงหลง เจ้าช่างโง่เขลาและชั่วร้ายนัก” นางโกรธจนถึงขีดสุด อันหรูอี้ไม่อยากพูดอะไรกับนางอีกแม้แต่ครึ่งคำ จึงหลับตาลงถอนหายใจ “เถาหง ไปแจ้งฝ่าบาท”
เถาหงรับคำสั่ง กำลังจะจากไป
อันหลิงหลงพลันร้องเสียงดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าเอาแรงมาจากไหน ถึงกับสลัดหลุดจากนางกำนัล 2 คนที่กดตัวนางไว้ แล้วกอดเถาหงไว้แน่น “อย่า! ข้าไม่อยากไปเรือนหล่อเครื่องราชบรรณาการ! พี่สาว! ท่านเชื่อข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมดเป็นเพราะฮองเฮา เป็นเหลิงเยว่ที่บังคับข้า! ”
นางชี้ไปที่เสี่ยวหง ดวงตาแดงก่ำ “นาง! พวกนางสามารถเป็นพยานได้ หากข้าไม่ยอมตกลง พวกนาง… พวกนางจะไม่ปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสุขเป็นแน่! ”
“เจ้าคิดว่าพวกข้าเดาไม่ออกหรือ? ” อันหรูอี้มองด้วยสายตาเยียบเย็น “แต่หากเจ้าไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับฮองเฮา เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่! ”
อันหลิงหลงร่ำไห้ว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น… ข้าไม่ต้องการทำร้ายเจ้า และไม่ได้ต้องการทำร้ายบุตรของเจ้า ทั้งหมดนี้เหลิงเยว่บังคับข้า หากข้าไม่ยอม พวกนางจะทำร้ายทุบตีข้า! ”
อันหลิงหลงเปิดแขนเสื้อออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นบาดแผลบนมือ รีบฉีกเสื้อผ้าออกอย่างลนลาน เผยให้เห็นรอยฟกช้ำสีม่วงบนท้องและสีข้าง ทำให้ทุกคนต้องสูดลมหายใจด้วยความตกใจ
“ท่านดูสิ… ทั้งหมดนี้คือนี่! หากข้าไม่ยอม… พวกนางจะให้พวกองครักษ์มาข่มเหงข้า” อันหลิงหลงคุกเข่า พยายามเข้าไปใกล้ แต่เถาหงกดนางไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จึงได้แต่คลานร้องไห้ไปมาบนพื้น “พี่หญิง ท่านเชื่อข้าเถิด ข้าต้องการสำนึกผิดจริง ๆ จริง ๆ นะ… ”
อันหรูอี้ไม่ตอบ นางจ้องมองรอยแผลบนร่างของอันหลิงหลง
นางเคยมีรอยแผลเช่นนี้บนร่างกายมากเพียงใด? ไม่รู้อันหลิงหลงเคยสังเกตเห็นหรือไม่? นางเจ็บปวดมานานหลายปีเช่นนี้ อันหลิงหลงเคยคิดถึงนางบ้างหรือไม่?
โชคชะตาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน กรรมย่อมคืนสนองไม่ผิดพลาด
สวีเจิ้งแสดงสีหน้าเย็นชา ยืนสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ เป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็แย้มยิ้มเยาะหยันออกมา
“ยาพิษของเจ้าซ่อนอยู่ที่ใด? ”
อันหลิงหลงชะงักไปครู่หนึ่ง รีบถอดปลอกนิ้วออกจากมือแล้วประคองไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยความวิงวอน มองไปที่อันหรูอี้ “นี่คือยาพิษ! ท่านพี่โปรดดู ข้าไม่ได้แตะต้องมัน ข้าไม่ได้แตะต้องมันเลยจริง ๆ ! ”
ชิวจื้อก้าวเข้ามาข้างหน้า ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อปลอกนิ้วที่เก็บขึ้นมาแล้วส่งให้หลิวลวี่ “นำไปให้หมอหลวงที่สำนักแพทย์หลวงตรวจดูให้ดี”
หลิวลวี่รับคำสั่งแล้วจากไป อันหรูอี้มองอันหลิงหลงด้วยสีหน้าที่ค่อย ๆ สงบลง จู่ ๆ นางก็เงยหน้าขึ้นมองชิวจื้อ “กูกู ให้นางอยู่ที่ตำหนักข้างเรือนเหมันต์ก่อน เรื่องวันนี้ไม่จำเป็นต้องแพร่งพรายออกไป”
ชิวจื้อไม่มีท่าทีสงสัยแม้แต่น้อย กลับพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วสั่งนางกำนัลที่กำลังคุมตัวคนไว้ว่า “พาตัวนางไปดูแลให้ดี หากผู้ใดกล้าแพร่งพรายเรื่องวันนี้ออกไป พวกเจ้าคงรู้ดีว่าข้าจะจัดการอย่างไร”
นางกำนัลสะดุ้งเฮือก แล้วรีบพาตัวคนออกไปทันที
อันหลิงหลงรอดพ้นจากอันตราย หัวใจนางโล่งอย่างยิ่ง ร่างกายถึงกับอ่อนระทวยไปหมด
ส่วนเสี่ยวหงนั้นสีหน้าซีดเผือด นางคิดว่าอันหรูอี้ยังคงนึกถึงความเป็นพี่น้อง แต่ตัวนางเองกลับทำร้ายอันหลิงหลงหลายครั้ง ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ได้แต่ยอมจำนนอย่างสิ้นหวังให้ถูกลากตัวไป
เมื่อผู้คนจากไปสวีเจิ้งจึงส่ายหน้าพลางกล่าว “เจ้าคิดจะใช้นางต่อกรกับเหลิงเยว่ แต่เหลิงเยว่อยู่ในวังมาหลายปี แม้จะคุมสติไม่ได้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยทำอะไรให้จับผิดได้ อีกอย่างอันหลิงหลงก็เขลาพอ หากผลักภาระให้นางก็คงไม่มีใครสงสัย”
อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ จับมือสวีเจิ้ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มกึ่งจริงกึ่งเล่นว่า “นางก็เป็นน้องสาวของข้าไม่ใช่หรือ”
สวีเจิ้งเลิกคิ้ว ดวงตาฉายแววเข้าใจ ยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็จริงของเจ้า”
สายตากวาดมองไปทั่วโถง บรรยากาศอึมครึมแผ่ไปทั่ว ชิวจื้อและเถาหงยืนอยู่ด้วยกัน สีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนมีเรื่องจะพูดแต่ยังไม่ได้เอ่ยออกมา
สวีเจิ้งจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้เจ้าต้องตกใจอีกแล้ว ควรพักผ่อนให้ดี ข้าจะไม่รบกวนอีก ขอตัวลา”
การ ‘ลา’ ของนางมักจะเด็ดขาดรวดเร็วเสมอ เมื่อพูดจบก็พยักหน้าแล้วเดินจากไปทันที อันหรูอี้เดินตามส่งไปไม่กี่ก้าว พูดคุยส่งท้ายสั้น ๆ “วันนี้ต้อนรับได้ไม่ดีพอ วันหลังจะชดเชยให้” แล้วก็กลับเข้าวังไป
นางมองไปทางซูหว่านเอ๋อร์แล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว “ชิวกูกู พายายหนูหว่านเอ้อร์ไปพักผ่อนเถิด ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีคนอยู่แล้ว”
ชิวจื้อเข้าใจ รีบดึงซูหว่านเอ๋อร์ที่ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป อันหรูอี้รอต่อจากนั้นอยู่เพียงครู่เดียวก็มีความเคลื่อนไหวนอกประตู
เป็นไปตามคาด ซ่งจื่ออานวิ่งมาหานางด้วยความกังวลใจ ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ “หรูอี้! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? ”