หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 88 สวีเจิ้งแห่งราชวงศ์จิ้นตะวันตก
บทที่ 88 สวีเจิ้งแห่งราชวงศ์จิ้นตะวันตก
งานเลี้ยงที่กินเวลาเพียงสองชั่วยามกลับทำอันหรูอี้รู้สึกราวกับพลังทั้งร่างถูกสูบหายจนหมดสิ้น พอกลับถึงตำหนักเหมันต์ นางจึงทรุดกายลงบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง
เถาหงกับหลิวลวี่เองก็ตกใจมากจนเนื้อตัวสั่นเทา พลอยทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
พวกนางกำนัลที่ไม่ได้ตามไปด้วยต่างไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงรีบเข้ามาปรนนิบัติ ชิวจื้อสั่งปิดประตูตำหนัก หากมีผู้ใดมาหาให้อ้างว่ากุ้ยเฟยประชวร ไม่ต้องพูดให้มากความ
อันหรูอี้ไม่ได้ใส่ใจพวกนาง แค่มองบาดแผลบนมือตัวเองอย่างเหม่อลอย
บาดแผลนี้… นับแต่เข้าวัง นางก็เพิ่งเคยได้รับเป็นแผลแรก งานเลี้ยงวันนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่พอเห็นซ่งจื่ออานเดินออกไปกับกับสวีเจิ้ง นางก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
การกระทำย่อมดีกว่าคำพูด งั้นหรือ… บางทีนางอาจไม่ได้ใจกว้างอย่างที่คิด ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า 3 ปีมานี้ สวีเจิ้งอดทนฝืนใจไปเท่าไหร่
สันจมูกของนางยังคงรู้สึกเจ็บแสบ ราวกับมีมือที่คอยชี้นิ้วใส่นางตลอดเวลา มันทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
แม้งานเลี้ยงวันนี้จะวุ่นวาย แต่ท้องพระโรงในวันรุ่งขึ้นของซ่งจื่ออานจะต้องเผชิญกับความวุ่นวายที่แท้จริง พรุ่งนี้เหลิงตู้จะต้องระดมกำลังทั้งหมดโจมตีแม่ทัพสวีอย่างแน่นอน และอาจจะโจมตีลามไปถึงอันก่วงเหนิงด้วย
หลังจากนั้นซ่งจื่ออานก็จะค่อย ๆ ควบคุมอำนาจของเหลิงตู้ ส่วนฉินฟาง ควบคุมกำลังทหารในเมืองหลวงจากภายนอก เมื่อผ่านไป 2 วัน สถานการณ์ของราชวงศ์จิ้นตะวันตกก็จะพลิกเกิดความเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้เหลิงเยว่ไม่สนฟ้าสนดินหรือใครอีกต่อไปแล้ว นางไม่สนใจว่าตนจะมีความขัดแย้งกับฝ่าบาทหรือไม่ ดังนั้นใน 2 วันมานี้ ทั้งอันหรูอี้และสวีเจิ้งจึงนับว่าตกอยู่ในอันตราย
เพราะลักษณะเฉพาะของตระกูลเหลิงคือนิยมกำจัดศัตรูออกไปให้หมดอย่างรวดเร็ว
อันหรูอี้หลับตาลง ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“วันนี้” ชิวจื้อช่วยถอดรองเท้าให้นางพลางกล่าวอย่างจนปัญญา “วันนี้… ในงานเลี้ยงพระองค์ทำได้ดีมาก 2 วันต่อจากนี้ พระองค์ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น”
อันหรูอี้พึมพำ “ข้ามิได้ทำอันใดเลย”
ชิวจื้อหัวเราะเบา ๆ “หม่อมฉันมิอาจเห็นด้วย หากมิใช่เพราะพระองค์ยินยอมให้ผู้อื่นโจมตี ยินดีให้ฝ่าบาทเผยเรื่องราวที่พระองค์อาละวาดในตำหนักคุนหนิงออกไป อัครมหาเสนาบดีอันและแม่ทัพสวีคงมิอาจร่วมมือกัน ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขาได้ถึงเพียงนี้”
อันหรูอี้หัวเราะอย่างขมขื่น ใบหน้าอันงดงามกลับเย็นชา ริมฝีปากบางเม้มแน่นราวกับปลาที่กำลังขาดน้ำ กระโปรงสีทับทิมและอาภรณ์สีขาวม้วนรวมกัน ตามผิวขาวนวลปรากฏรอยนูนคล้ายหนังไก่จากอาการขนลุก
นางมองชิวจื้อ ชิวจื้อยังคงสงบนิ่ง มิได้แสดงความหวาดกลัว ต่างจากเถาหงและหลิวลวี่โดยสิ้นเชิง
“ชิวจื้อ” อันหรูอี้เอ่ยถาม “เจ้าไม่หวาดกลัวบ้างรึ”
ชิวจื้อมีแววอ่อนโยนในดวงตา “กุ้ยเฟย เรามีชีวิตอยู่ราวกับมิได้ยึดติดกับความเป็นความตาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เหตุใดจึงต้องหวาดกลัว”
กล่าวจบนางก็เดินไปยังเถาหงและหลิวลวี่ ดึงพวกนางขึ้น “พวกเจ้าทั้ง 2 กลับเข้าวังมาแล้วยังแสดงท่าทีอ่อนแออย่างพระชายา ไร้น้ำยาเสียจริง! ”
หลิวลวี่ทำปากยื่น “ท่านกำลังว่าพระชายาว่าไร้ความสามารถหรือ? ”
อันหรูอี้ยิ้ม “ใช่แล้ว พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าพระชายาอย่างข้าไร้ความสามารถ จึงทำให้พวกเจ้าต้องลำบากไปด้วย”
“โอ้ย ไม่ใช่เช่นนั้น” หลิวลวี่ทำหน้าเศร้า “พระชายา หม่อมฉันเพียงแต่โกรธเคือง อันหลิงหลงนางคิดร้ายต่อพระองค์ถึงสามครั้งสี่คราตั้งแต่อยู่จวน มาบัดนี้เข้าวังก็ยังไม่เลิกรา แถมยังร่วมมือกับฮองเฮา น่าระคายใจนัก! ”
เถาหงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น นวดไหล่เบา ๆ “ท่านอัครเสนาบดีอยู่เบื้องหลัง อันหลิงหลงยังกล้าทำเช่นนี้ นางไม่แม้แต่จะเห็นแก่จวนของท่าน ท่านไม่โกรธเคืองบ้างหรือพระชายา”
อันหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงระอา “จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร เพียงแต่อันหลิงหลงผู้นี้ นางมองสถานการณ์ไม่ออก ครานี้คงทำให้ท่านพ่อเสียใจมาก”
กล่าวถึงตรงนี้ เถาหงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงขยับเข้ามาใกล้
“จริงสิ เหนียงเหนียง ท่านยังจำได้หรือไม่ เรื่องที่เหลิงตู้เล่าว่าหวังเสวี่ยเฟิงถูกส่งไปอยู่วัดแล้ว”
สีหน้าของหลิวลวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เผยให้เห็นแววตาตื่นเต้น “สมควรแล้วที่นางผู้นั้นต้องถูกส่งตัวไปอบรมสั่งสอน! ”
อันหรูอี้เห็นพ้องด้วย ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเย็นชา “บัดนี้ผู้ดูแลกิจการในจวนคืออนุเซียว เซียวชิงถูกนางกดขี่ข่มเหงมานานปี ย่อมต้องเอาคืนเป็นธรรมดา เพียงแต่โชคดีที่นางยังไม่โหดเหี้ยมเท่าหวังเสวี่ยเฟิง”
“นั่นสิ” หลิวลวี่เอ่ย “หากสลับกัน ให้เซียวชิงเป็นคนลงมือ หวังเสวี่ยเฟิงคงไม่ได้ไปวัดหวงหรอก คงถูกขังให้อดตายในเรือนตัวเองไปแล้ว ฮ่าฮ่า… ”
เถาหงหัวเราะ “อย่าพูดไป นางทำจริงแน่! ”
อันหรูอี้มิเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
เวลาล่วงเลยจนพลบค่ำ โคมแดงถูกแขวนประดับทั่วทั้งตำหนักเหมันต์ ข่าวที่เกิดขึ้นในตำหนักฉงฮวาแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว
เหลิงเยว่รับโทษ 3 จอกยอมรับความผิดต่อหน้าสวีเจิ้ง เหลิงซิงและเหลิงฟางถูกถอดพระยศและขับออกจากวังหลวง ตำหนักซูฮวาได้รับความโปรดปราน สวีเจิ้งอาจได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา อันหรูอี้ถูกใส่ร้าย อันหลิงหลงแอบวางแผนอยู่เบื้องหลัง…
ข่าวลือต่าง ๆ แพร่สะพัดไปทั่ว บ้างจริงบ้างเท็จ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้คือขณะนี้วังหลวงอาจถึงคราวเปลี่ยนแปลง
เวลาล่วงเลยถึงยามสาม ค่ำคืนมืดมิดราวกับเมฆหมอกปกคลุม ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับกำลังแผ่ลงมาใกล้พื้นดิน
ภายในตำหนักซูฮวา โคมไฟสว่างไสว สวีเจิ้งยืนอยู่ท่ามกลางแสงอันอบอุ่นของดอกไม้ไฟด้วยความยินดี ซ่งจื่ออานกล่าวขออภัย “งานวันเกิดที่กรมพิธีการจัดขึ้นในวันนี้นั้นยอดเยี่ยมมาก แต่น่าเสียดายที่มันกลับต้องพังลง”
“ไม่เลย ไม่ได้พัง” สวีเจิ้งทอดมองดอกไม้ไฟที่ร่วงหล่นลงบนพื้นพลางแย้มยิ้ม “ฝ่าบาทมิได้ทรงชดเชยให้หม่อมฉันแล้วหรือ? ”
เช่นนี้ยิ่งดี เพียงแค่พวกเขาสองคน ไม่มีผู้อื่นใดอีก
ซ่งจื่ออานรู้ว่านางจะไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ จึงไม่ได้สนใจมากนัก เมื่อมองดูประกายไฟที่วูบหายไปอย่างรวดเร็ว ก็อดนึกถึงงานโคมไฟวันนั้นไม่ได้ จึงกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ความงามของทิวทัศน์นั้นผ่านไปเร็ว แต่ขอให้หญิงงามอยู่คู่กันตลอดไป”
เสียงกระซิบดังข้างหู สวีเจิ้งชะงักไปครู่หนึ่ง แก้มแดงระเรื่อ สายตาเหลือบไปเห็นหอกพู่แดงที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ จึงกล่าว “ฝ่าบาท หม่อมฉันจะแสดงการร่ายรำหอกให้พระองค์ชมสักชุด ได้หรือไม่เพคะ? ”
ซ่งจื่ออานได้สติกลับมา เห็นสวีเจิ้งมีท่าทีกระตือรือร้น นางหยิบหอกพู่แดงมาถือไว้ในมือ ทำท่าร่ายรำเล็กน้อย พอช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความลำบากใจ จึงยิ้ม
“ดีเลย”
สวีเจิ้งได้รับการพยักหน้าอนุญาต มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เปล่งเสียงเบา ๆ ออกมา ใบหน้าอมชมพูดังดอกท้อพลันเปลี่ยนเป็นเฉียบคม เท้าซ้ายเตะเข้าที่ส่วนล่างของหอก พู่แดงพลันเบ่งบานออกราวบุปผา เปล่งประกายวูบวาบ ท่วงท่าองอาจดั่งเส้นวาดพาดโค้งของรุ้งกินน้ำ…
นางโก่งคันศรดั่งบุรุษ วาดแนวคิ้วจนสุดขอบห้วงฝัน งดเมรัยยามคะนึงบ้านอย่ามัวเมา แนวเมฆาพุทธะสั่งอวยหมิงเฟย*1
หอกยาวสะบัดพลิ้ว พู่แดงแย้มบาน งามสง่ามิแพ้บุรุษ นางคือสตรี แต่กลับสูงส่งกว่าบุรุษใดในใต้หล้านี้ งดงามบริสุทธิ์เกินบรรยาย
ซ่งจื่ออานมิอาจห้ามใจ คิดว่าหากมิใช่เพราะใจของเขามีเจ้าของเสียแล้ว สตรีเช่นสวีเจิ้งผู้มีน้ำใจและไม่ถือตัวเช่นนี้ คงจะต้องตาต้องใจเขาเข้าสักวันเป็นแน่ อีกทั้งนางยังช่วยเหลือหรูอี้ไว้อีกด้วย
แท้จริงแล้ว หากนางต้องการสืบเรื่องนี้ ซ่งจื่ออานก็เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว นี่เป็นแผนการที่เขาวางไว้กับอันหรูอี้ตั้งแต่แรก
หรูอี้…
ไม่รู้ว่าบาดแผลที่มือนางจะเป็นเช่นไรบ้าง หมอหลวงได้ตรวจดูให้นางหรือไม่ แม้จะเป็นเพียงแผลเล็ก ๆ แต่มือนางงดงามเช่นนั้น หากเป็นแผลเป็นขึ้นมาจะทำเช่นไรดี?
“ฝ่าบาท” เสียงสวีเจิ้งดังก้องขึ้นข้างหู “การแสดงของหม่อมฉันเมื่อครู่ เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
ซ่งจื่ออานพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โบราณมีแม่นางกงซุน*2ร่ายรำกระบี่ ปัจจุบันมีสวีเจิ้งแห่งราชวงศ์จิ้นตะวันตกเชี่ยวชาญเพลงหอก งามล่มบ้านล่มเมือง”
สวีเจิ้งผู้นั้นยิ้มละมุน ก่อนคิดใคร่ครวญ หากนำเอาเสียงนี้เทียบกับเสียงพิณของอันหรูอี้แล้วไซร้ เสียงใดจะไพเราะกว่ากัน
แต่ครั้นคิดแล้ว นางก็มิได้เอ่ยถามออกไป
[1] กลอนนี้ถูกเขียนขึ้นโดยตู้มู่แห่งราชวงศ์ถัง กล่าวถึงวีรสตรีหญิงฮวามู่หลาน ที่แม้จะต้องปลอมเป็นชายจับธนูต่อสู้ในสนามรบ ในห้วงฝันก็ยังคิดถึงช่วงเวลาที่ได้แต่งตัวใช้ชีวิตอย่างผู้หญิงทั่ว ๆ ไป หลาย ๆ ครั้งที่คิดถึงบ้านก็ต้องคอยปฏิเสธสุราที่ถูกหยิบยื่นมาให้ รวมไปถึงมีการเปรียบเทียบฮวามู่หลานกับหวังเจาจวินหรือหมิงเฟย โฉมงามผู้ได้รับฉายา ‘ปักษาตกนภา’ เนื่องจากทั้ง 2 มีความคล้ายคลึงกันในฐานะสตรีที่ต้องห่างบ้านห่างครอบครัวมาทำภารกิจเพื่อคนหมู่มาก
[2] นางระบำในสมัยราชวงศ์ถังที่ทำให้การรำกระบี่เริ่มกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย