หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 86 งานเลี้ยงวันเกิด (8)
บทที่ 86 งานเลี้ยงวันเกิด (8)
“จับตัวไว้! ”
เพียงคำสั่งจับกุม แผนการของเหลิงเยว่ที่ก็ปรากฏชัดแจ้ง ซ่งจื่ออานจึงตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้ายังไม่ได้ออกคำสั่ง ใครกล้าเคลื่อนไหวอย่างไร้ระเบียบ! ”
ขุนนางในตำหนักฉยงฮวาต่างลุกขึ้นยืน นางกำนัลและขันทีทั้งหลายคุกเข่าลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เหลิงเยว่ลุกพรวดขึ้นยืน ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว รีบพูดอย่างร้อนรน “ฝ่าบาทโปรดทรงสงบพระทัย หม่อมฉันแค่ตกใจ กลัวว่าพวกนางจะทำร้ายคนอีก”
อันหลิงหลงรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว นางไม่คิดว่าเหลิงเยว่จะวางแผนเล่นงานนางด้วย!
ร่วมมือกับเสือ แต่กลับลืมไปว่าเสือก็คิดจะกินตนเองอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน อันหลิงหลงร้องด้วยความตกใจ เข่าทั้งสองอ่อนยวบลงทันที
“ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้าย หม่อมฉันไม่ได้คิดจะวางแผนทำร้ายกุ้ยเฟยเพคะ จริง ๆ นะเพคะ! ”
อันหรูอี้มิได้คุกเข่าลง เพียงจ้องมองสวีเจิ้ง “พี่หญิงสวี น้องมิได้คิดร้ายต่อท่าน”
สวีเจิ้งยังคงตื่นตระหนก หากสายพิณเส้นนั้นพุ่งตรงมายังดวงตา นางคงบาดเจ็บสาหัส เห็นได้ชัดว่ามิใช่อันหรูอี้ที่เป็นผู้ลงมือ
ทว่าผู้อื่นอาจมองไม่เห็นเช่นพวกนาง
แม่ทัพสวีลุกขึ้นยืน “ฝ่าบาท! กับการทำร้ายกันต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ หากบุตรสาวของกระหม่อมมิได้ฝึกฝนวรยุทธ์ คงบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงลงโทษนางอย่างหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ”
อันกวงเหนิงตกตะลึงรีบคุกเข่าลงคำนับ “ฝ่าบาท! บุตรสาวของกระหม่อมมิอาจก่อเรื่องอุกอาจเช่นนี้ได้ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณา! ”
กล่าวจบเขาก็หันไปทางแม่ทัพสวี “ท่านพี่ โปรดสงบสติอารมณ์ เหตุการณ์นี้ต้องมีเงื่อนงำ! ”
แม่ทัพสวีจ้องมองเขา คล้ายครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ อังกวงเหนิงถอนหายใจหันไปทูลซ่งจื่ออาน “ฝ่าบาท! เรื่องนี้ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง โปรดประทานเวลาแก่กระหม่อม 3 วัน กระหม่อมจะสืบหาความจริงให้ปรากฏ! ”
เหลิงตู้แววตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ “เจ้าเป็นบิดาของพวกนาง ย่อมต้องเข้าข้างพวกนาง มีคุณสมบัติอันใดมาสืบสวนหาความจริง! ”
อันกวงเหนิงมิได้โง่เขลา เมื่อครุ่นคิดเรื่องราวต่าง ๆ ประกอบเข้ากับท่าทีอันแปลกประหลาดของอันหลิงหลง เขาย่อมตระหนักได้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของเหลิงเยว่ หากมีเวลาให้สืบหาความจริง ย่อมต้องพบหลักฐานแน่นอน!
“มองอันใดเล่า” เหลิงตู้เย้ยหยัน “เรื่องนี้มิแน่อันกวงเหนิง เจ้าอาจมีส่วนรู้เห็นด้วย คิดว่าตนเองจะเอาตัวรอดได้หรือ? ”
“หยุดนะ! ”
เหลิงตู้ชะงักไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองบุรุษผู้สูงศักดิ์บนบัลลังก์ “ฝ่าบาท… หรือพระองค์จะทรงเข้าข้างอันหรูอี้!”
อันกวงเหนิงได้ยินซ่งจื่ออานตรัส แววตาจึงฉายแววแห่งความหวัง ค่อยๆ คลานเข่าเข้าไป เอ่ยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เรื่องนี้มิอาจปล่อยเลยไป แม้กระหม่อมจะมิมีส่วนยุ่งเกี่ยว แต่แม่ทัพสวีย่อมต้องได้รับความเป็นธรรม”
ใบหน้าของอันหลิงหลงบิดเบี้ยวซีดเผือด การให้แม่ทัพสวีมาตรวจสอบนั่นแตกต่างจากการปล่อยให้นางตายอย่างไร? ทันใดนั้นในใจของอันหลิงหลงก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แม้กระทั่งอันกวงเหนิงก็เริ่มมีความแค้นเคืองขึ้นมา
แต่อันหรูอี้กลับไม่คิดเช่นนั้น นางสบตากับซ่งจื่ออาน ใจค่อย ๆ ปล่อยวางผิดกับสมรภูมิโดยรอบ
แม่ทัพสวีขมวดคิ้ว มองไปที่อันกวงเหนิงด้วยความประหลาดใจ ส่วนซ่งจื่ออานเดินออกมาจากโต๊ะทำงานอย่างช้า ๆ ใบหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีเพียงความเฉยชาและแข็งกร้าว “เรื่องนี้… ”
“ไม่ต้องตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว” ผู้ที่เอ่ยขึ้นมาคือสวีเจิ้ง
แม่ทัพสวีขมวดคิ้วแน่น “เจิ้งเอ๋อร์! ”
“ท่านพ่อ! ” สวีเจิ้งเดินออกมา จ้องมองบิดาอย่างแน่วแน่ “ท่านพ่อ เรื่องนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ”
ความวุ่นวายที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ กลับกล่าวว่าเป็นอุบัติเหตุงั้นรึ? แววตาแม่ทัพสวีเย็นชาลง แน่นอนว่าเขามองออกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คำพูดของอันกวงเหนิงก็ไม่ผิด
อันกวงเหนิงกล้าเอ่ยปากฝากฝังตน เช่นนั้นเขาย่อมต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง
อันกวงเหนิงยอมให้เกียรติถึงขนาดนี้ ไหนเลยจะไม่สืบหาต้นตอให้ถึงผู้บงการที่แท้จริงที่คิดร้ายต่อบุตรสาวของเขา!
ทว่าสวีเจิงกลับกล่าวกับเขาว่าเรื่องนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ
ไยนางถึงไม่คิดสืบหาความจริง!
“เจิ้งเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ดื้อรั้น” แม่ทัพสวีรีบกล่าว “ฝ่าบาท เรื่องนี้ขอให้กระหม่อมจัดการเถิด ไม่ว่านางจะเป็นผู้มีตำแหน่งสูงในวังหลังหรือขุนนางสำคัญในราชสำนัก กระหม่อมจะไม่ปล่อยไว้เด็ดขาด! ”
คำพูดของเขาดูเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่ตระกูลอัน แต่ทั้งเหลิงตู้และเหลิงเยว่ต่างก็อดที่จะสะดุ้งในใจไม่ไหว
การทำให้ขุนพลเฒ่าผู้ไร้ความเกรงกลัวโกรธเคืองนั้นไม่ใช่เรื่องดี แต่แล้วเหลิงเยว่ก็ไม่กลัวอีกต่อไป เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครจะสืบหาต้นสายปลายเหตุได้
ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นฝีมือของนาง แล้วอย่างไร? งานเลี้ยงเป็นการจัดการของกรมพิธีการ ผีผาเป็นอันหลิงหลงที่เลือก นางไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ หาหลักฐานไม่ได้ นางยังคงเป็นฮองเฮาผู้ทรงเกียรติอยู่ดี!
น่าเสียดายที่นางไม่ได้คาดการณ์ไปถึงการเปลี่ยนแปลงในอีกสองวันข้างหน้า ถึงแม้จะไม่มีเรื่องวันนี้ ตำแหน่งฮองเฮาของนางก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก
นี่เป็นเรื่องราวในภายหลัง ยังไม่ขอกล่าวถึง ณ ที่นี้
ซ่งจื่ออานทอดสายตาเย็นชาไปยังเหลิงเยว่ จากนั้นจึงหันไปมองสวีเจิ้ง “เจิ้งเอ๋อร์ เจ้าคิดเห็นเช่นไร? ”
สวีเจิ้งเพียงยิ้มน้อย ๆ ไม่เอ่ยวาจา หยิบฉวยผีผาขึ้นมา และสังเกตเห็นว่าอันหลิงหลงตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
โง่งมถึงเพียงนี้ ยอมตกเป็นแพะรับบาปให้ผู้อื่น ทรยศแม้กระทั่งวงศ์ตระกูล พอเกิดเรื่องก็ใจเสาะคุกเข่าวิงวอน ไร้ประโยชน์เสียจริง
“ฝ่าบาท” สวีเจิ้ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ทอดพระเนตรผีผานี้เถิด แม้ว่างานจะประณีตงดงามแต่ก็ยังมีจุดบกพร่อง พระองค์ทรงสังเกตเห็นหรือไม่? ”
ซ่งจื่ออานผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีสีหน้าฉงน “มีจุดบกพร่องอันใดรึ? ”
สวีเจิงมิได้ตอบ หันไปมองอันหรูอี้ “น้องหญิงเชี่ยวชาญการดีดพิณ ย่อมต้องเข้าใจดีกว่าพี่หญิงเป็นแน่ น้องหญิงเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่อันหรูอี้ รอฟังว่านางจะกล่าวอันใด อันหรูอี้นึกย้อนไปถึงตอนที่ตนได้สัมผัสสายผีผา คิดครุ่นครู่หนึ่ง แล้วจึงเผยรอยยิ้ม “สายพิณเย็นเกินไป หากดีดจะคล้ายกับแข็งเกินกว่าจะดัดงอ ง่ายต่อการดีดขาด”
เหลิงตู้เย้ยหยัน “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน อันกุ้ยเฟยอย่าได้หลอกลวงพวกเราเช่นนี้”
สวีเจิ้ง สีหน้าไม่เปลี่ยน “แท้จริงแล้ว หากอยากพิสูจน์เรื่องนี้ก็ช่างง่ายดายนัก เพียงแค่หาพิณมาอีกตัว วางไว้ในห้องน้ำแข็ง ผ่านไปอีกหลายวันค่อยนำออกมา… ”
นางเว้นคำพูดครู่หนึ่ง มองเหลิงเยว่ ด้วยสีหน้ากำกึ่งระหว่างรอยยิ้มกับเรียบเฉย “หรือหากท่านเหลิงสงสัยขนาดนั้น มิสู้ให้ฝ่าบาททรงดีดพิณ ส่วนท่านดูอยู่เบื้องหน้า ดีหรือไม่? จะได้เห็นว่าเป็นจริงหรือเท็จ”
เหลิงตู้หน้าครึ้มลง “สวีกุ้ยเฟย! ท่านหมายความว่าอย่างไร! ”
“ท่านเหลิงจะรีบร้อนไปใย” สวีเจิ้งเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า “มิใช่ท่านหรือที่กล่าวว่า ‘ไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน’ ”
เหลิงตู้ชะงักคำ พลางสะบัดแขนเสื้ออย่างขุ่นเคือง
ฝ่ายแม่ทัพสวีเมื่อได้สติกลับคืนมาแล้ว ใบหน้าจึงสงบนิ่งเช่นเดิม กายค้อมลงพยุงอันกวงเหนิงขึ้น “ท่านอัครมหาเสนาบดี เป็นข้าเองที่วู่วามเกินไป”
อันกวงเหนิงก่อนหน้านี้โขกศีรษะอย่างแรง พอลุกขึ้นยืนก็ยังรู้สึกขาอ่อน แต่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก กล่าวเป็นนัยว่า “ช่างเหมือนสุภาษิตที่ว่าภูเขาสูงย่อมมีภูเขาที่สูงกว่าจริง ๆ ”
แม่ทัพสวีมองไปทางเหลิงตู้อย่างระแวดระวัง
ส่วนเหลิงเยว่นั้น นางไม่ได้คาดคิดว่าสวีเจิ้งจะใจกว้างถึงเพียงนี้ เกือบจะถูกทำร้ายจนเสียโฉมแล้วยังไม่ถือสา นางจึงอดเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่ได้
“น้องหญิงช่างมีน้ำใจยิ่งนัก เกือบจะถูกทำร้ายจนเสียโฉมแล้วยังไม่ถือสา”
สวีเจิ้งเพียงปรายตามองนางแวบหนึ่ง ยังไม่ทันเอ่ยปาก ซ่งจื่ออานก็หันหลังเดินตรงไปยังเหลิงเยว่ ดวงตาทั้งสองข้างราวกับพายุที่ก่อตัวมาแต่ไกล เปี่ยมล้นไปด้วยโทสะจนน่าหวั่นเกรง