หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 79 งานเลี้ยงวันเกิด (1)
บทที่ 79 งานเลี้ยงวันเกิด (1)
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของสวีกุ้ยเฟย
อันหรูอี้ในวันนี้รู้สึกดีใจมาก สวีเจิ้งปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี มีนิสัยใจกว้างเปิดเผย นับว่าคู่ควรแก่การคบหา ดังนั้นนางจึงแต่งกายด้วยชุดสีสันสดใสไป เสื้อตัวบนเลือกเป็นสีพื้น ส่วนด้านล่างสวมเป็นกระโปรงสีทับทิมชายยาว
ดังที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า “คิ้วเขียวงามโดดเด่นล้ำเกินดอกเซวียนฉ่าว กระโปรงแดงน้าวทับทิมให้อิจฉา*”
นางแต่งหน้าบาง ๆ วาดริมฝีปากเป็นสีแดงสด คิ้วโก่งดั่งพัดขนนก ดวงตากระจ่างกลมดั่งแสงจันทร์เคลื่อนไหว เครื่องประดับศีรษะอันทำมาจากหยกมีมูลค่าหมื่นต้าลึง แม้ภาพรวมจะดูเรียบง่ายเพียงใด ก็ยังสามารถทำให้ผู้พบเห็นใจเต้นรัวได้
ชาติก่อนนางไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ จึงไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ของตัวเองในวัยนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการอบรมในรั้ววังหลวงหรือไม่ ดวงตาคมคิ้วอันเย็นชาของนางจึงมีกลิ่นอายของความสูงส่งเพิ่มขึ้นหลายส่วน
อย่างไรก็ตาม สวีเจิ้งย่อมต้องดึงดูดใจผู้คนได้มากกว่านางอย่างแน่นอน เพราะงานเลี้ยงวันเกิดนี้มีนางเป็นจุดศูนย์กลาง เหตุการณ์วุ่นวายต้องมาเยือนอย่างแน่นอน
พิธีการต่าง ๆ ในวันเกิดของกุ้ยเฟยนั้นดูเหนือกว่าของฮองเฮา แสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานที่ซ่งจื่ออานมีต่อสวีเจิ้ง
และเมื่อเป็นที่โปรดปราน ซ่งจื่ออานย่อมมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงนี้พร้อมกับตัวสวีเจิ้งเองอย่างแน่นอน ดังนั้นซ่งจื่ออานจึงมาที่เรือนเหมันต์เพื่อบอกลาอันหรูอี้แต่เช้า
“บอกลา? ”
นางจ้องมองเขานิ่ง “จากกันตอนนี้แล้วอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามข้างหน้า ก็ไปพบกันอีกครั้งในงานเลี้ยงวันเกิดที่ตำหนักฉงฮวา ท่าน… ตั้งใจมาที่นี่เพื่อบอกลาเช่นนั้นหรือ? ”
หรือแท้จริงแล้วมีความหมายลึกซึ้งที่จำต้องเข้าใจแต่พูดออกไปไม่ได้กัน?
ซ่งจื่ออานที่กำลังหลงใหลในความงามของนางจนล่องลอยเหม่อเคลิ้มพลันเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญา “วันนี้เป็นวันเกิดของนาง ข้าตั้งใจจะอวยพรแก่นาง แต่… ”
“ท่านวางใจได้” อันหรูอี้คิดสักครู่ก็เข้าใจความหมายของเขา จึงยิ้มออกมาอย่างบางเบา “ข้ารู้ว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะไม่ราบรื่น และข้าก็เตรียมพร้อมรับมือกับมันแล้ว… ”
นางหยุดชั่วครู่ ก่อนก้าวไปข้างหน้าแล้วจับมือของเขา “ข้าเคยบอกไปแล้ว ท่านสามารถใช้ประโยชน์จากข้าได้ และตัวข้าเองก็อยากช่วยท่าน ช่วยราชวงศ์ เพราะนี่คือหน้าที่ของข้าในฐานะพระสนม”
ไม่ว่าจะได้ยินประโยคนี้กี่ครั้ง ซ่งจื่ออานก็รู้สึกอบอุ่นใจเสมอ
หากกล่าวว่ารักแรกพบคือจุดเริ่มต้น การสำรวจทำความเคยคุ้นกับความหมางเมินคือสิ่งแปลกประหลาด ความเมตตาและทะนุถนอมคือความหมาย เช่นนั้นการอยู่ร่วมกันมานาน เปี่ยมไปด้วยความจริงใจและชื่นชมต่อนางก็คงเป็นความรักแล้ว
“เจ้าช่างเป็น… ” ซ่งจื่ออานแสดงสีหน้าอบอุ่น “เจ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเข้าอกเข้าใจ หลาย ๆ ครั้งข้าจึงอดที่มองตัวเองเป็นคนไม่ได้ความไม่ได้จริง ๆ ”
เมื่ออันหรูอี้ได้ยินดังนั้น นางจึงกะพริบตาแล้วผลิยิ้มอ่อนโยน “ไม่หรอก ไม่ใช่ว่าข้าลงมือก่อเรื่องใหญ่ที่ตำหนักคุนหนิงเพื่อท่านหรอกหรือ? นอกจากเถาหงและหลิวลวี่แล้ว คนที่ข้าให้ความสำคัญที่สุดไม่ใช่ท่านหรอกหรือ? ”
ซ่งจื่ออานอุทานแปลก ๆ พูดอย่างคลุมเครือ “ยังต้องมี ‘นอกจากเถาหงและหลิวลวี่’ ด้วยหรือ? ”
อันหรูอี้แย้มยิ้ม มองซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจ จึงเงยหน้าขึ้นจูบไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา “พวกนางเป็นเพียงน้องสาวของข้า ท่านไม่เหมือนกัน ท่านคือ… ”
“คือสิ่งใด” ซ่งจื่ออานเลิกคิ้ว
อันหรูอี้แสร้งหันหลังกลับเดินจากไป ทำเป็นไม่ตอบคำถาม ทว่าผ่านไปห้าหกก้าวก็หันกลับมายิ้มให้ ชายกระโปรงสีแดงสดกระจายตัวออกราวกลีบดอกไม้ กระนั้นทัศนียภาพเหล่านั้นกลับไม่อาจมีความงามเลิศล้ำได้เท่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนาง
นางมองซ่งจื่ออาน เปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา “ไปเถิด… ท่านพี่”
พออันหรูอี้หันหลังกลับ เถาหงและหลิวลวี่ บรรดาผู้ติดตามก็เข้ามา จัดผ้าคลุมไหล่ให้ แล้วค่อยค้อมศีรษะให้ซ่งจื่ออานแล้วเดินจากไป
พวกนางต้องไปที่ตำหนักฉงฮวาก่อน นี่เป็นธรรมเนียม
ในเวลาปกติ ธรรมเนียมนี้ไม่จำเป็นต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ เพราะการแสดงต้องสมบทบาท
ชิวจื้อมองซ่งจื่ออานที่เพิ่งก้าวออกจากประตูตำหนัก ส่ายหน้าแล้วค่อยยิ้ม ก่อนจะเดินตามอันหรูอี้ไป ไม่ว่าซ่งจื่ออานจะยิ้มกว้างจนเบิกบานแค่ไหน นั่นก็ไม่ใช่ธุระกงการใดของนาง
หน้าที่ของนางคือปกป้องคุ้มครองอันหรูอี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร สำหรับวันนี้ที่ตำหนักฉงฮวา หากมีผู้ใดกล้ามาพูดจาไม่ดีต่ออันหรูอี้ก็ปล่อยไปเถิด กระนั้นหากผู้ใดบังอาจลงมือลงไม้ ก็อย่าหาว่านางโหดเหี้ยมเลย
ภายในตำหนักซูฮวากำลังคึกคักไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ที่ตำหนักของสวีเจิ้ง แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีธรรมเนียมอะไรมากมายนัก แต่ก็ยังเทียบกับอันหรูอี้ที่กล้าเรียกฮ่องเต้ว่า “จื่ออัน” ต่อหน้าธารกำนัลไม่ได้อยู่ดี
สวีเจิ้งยังคงสวมชุดกระดุมผ่าแบบเดิม ผมถูกรวบขึ้นเป็นมวย ประดับประดาด้วยปิ่นหยกและอัญมณีที่ซ่งจื่ออานเพิ่งมอบให้เมื่อวันก่อน รวมถึงจี้หยกแกะสลักรูปมังกรล้อมด้วยเพชรพลอยล้ำค่า ภาพรวมทั้งหมดดูเรียบร้อยสะอาดตา แต่งหน้าได้งดงาม
ชุดเสื้อแขนยาวถูกตัดเย็บจากผ้าไหมชั้นดี ปักลวดลายดอกไม้สีเหลืองทองอร่าม เดิมทีเครื่องประดับในลักษณะนี้มักเป็นของหญิงสาววัยแรกรุ่น แต่ในยุคราชวงศ์ซีจิ้นกลับไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับความงามซับซ้อน ผู้คนล้วนมีอิสระในการทำตามความปรารถนาของตนเอง
นาน ๆ ครั้งนางถึงจะแต่งหน้าทาปากอ่อนหวานเช่นนี้ เมื่อซ่งจื่ออานเดินเข้ามาในตำหนักซูหวา ท่ามกลางเสียงคำนับของเหล่าข้าราชบริพาร สวีเจิ้งก็หันกลับมาพอดี ท่าทางของหญิงสาวดูงดงามน่ารัก สดใสร่าเริง พอบวกเข้ากับท่าทางดูสะท้านอายเล็ก ๆ จึงยิ่งดูน่าหลงใหล
ซ่งจื่ออานจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของนาง “ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นเจ้าในรูปแบบนี้ ดูสิ… งานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่เราเตรียมให้ เจ้าต้องชอบใจเป็นแน่”
สวีเจิ้งยิ้มน้อย ๆ แม้ว่างานเลี้ยงจะไม่ได้พิเศษอะไร แต่ซ่งจื่ออานก็จัดมันขึ้นเพื่อนาง นางย่อมยินดีเป็นธรรมดา
“ฝ่าบาท ไม่รู้จักหม่อมฉันหรือเพคะ” สวีเจิ้งเงยหน้ามองนกแก้วปากแดงขนเขียวที่แขวนอยู่บนเฉลียงด้านนอก เลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันชอบความครึกครื้น วังหลวงนั้นแสนน่าเบื่อ วันทั้งวันช่างเงียบเหงา จะหาความสนุกจากที่ไหนได้บ้าง”
ซ่งจื่ออานชอบใจในนิสัยที่ตรงไปตรงมาของนาง “เจ้าช่างกล้าพูดจริง ๆ ”
สวีเจิ้งกะพริบตา แย้มยิ้มอย่างซุกซน “หม่อมฉันเทียบกับน้องหญิงหรูอี้ไม่ได้หรอกเพคะ ขนาดเข้าวังมาสามปีแล้วหม่อมฉันยังไม่อาจหาญตำหนิฮองเฮาต่อหน้าใครเลย”
ซ่งจื่ออานรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย จึงผลักหน้าต่างออก ห้องที่เคยอับทึบพลันมีลมเย็นพัดผ่านเข้ามา
“ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้า เรา… มีของขวัญพิเศษจะให้”
สวีเจิ้ง จ้องมองด้านข้างของซ่งจื่ออานอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยเช่นนี้ ไม่ว่าสิ่งใด เจิ้งเอ๋อร์ย่อมพึงใจ”
ซ่งจื่ออาน ทรงแย้มพระสรวลน้อย ๆ “เช่นนั้นก็ไปเถิด อย่าให้คนข้างหน้ารอนานเลย”
สวีเจิ้งทราบดีว่าผู้ใดคือผู้ที่อยู่เบื้องหน้า แต่ก็มิได้ใส่ใจ ค่อย ๆ เดินตามหลังซ่งจื่ออานไป
ซ่งจื่ออานหันกลับมานำทุกคนมุ่งหน้าสู่ตำหนักฉงหัว คาดเดาไว้แล้วว่าภายในตำหนักฉงฮวา ต้องมีผู้ชักอาวุธหมายปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายแน่นอน…
และศูนย์กลางของพายุลูกนั้นคืออันหรูอี้
สำหรับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดพระสนม ย่อมมีสตรีชั้นสูงในวังหลังมาร่วมงาน ขึ้นอยู่กับว่าระยะห่างจะใกล้ไกลเพียงใดก็เท่านั้น
สำหรับผู้ถือครองที่นั่งชิดใกล้ก็อาทิเช่นฮองเฮาเหลิงเยว่ ที่ประทับในฐานะแขกอยู่บนที่นั่ง อันหรูอี้อยู่ด้านซ้ายล่าง อันหลิงหลงอยู่ถัดลงฝั่งตรงข้ามเป็นซ่างกวนหมิงหมิง และเจิ้งจื่อหรงที่ฐานะตระกูลสูงส่งพอจะมานั่งร่วมโต๊ะได้ ถัดลงไปอีกขั้นคงเป็นขุนนางทั้งสามและขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความดีความชอบอีกหลายท่าน
ส่วนผู้ที่อยู่ห่างออกไป คือข้าราชบริพารทั้งซ้ายขวา บรรดาหญิงรับใช้ ผู้มิได้ภูมิหลังตระกูลสูงส่ง เพียงแต่มีลำดับชั้นได้ตามความอาวุโส
เบื้องล่างถูกปูพรมแดงไว้ เป็นลานกว้างแบบเดียวกับงานเลี้ยงฉลองชัยชนะในวันนั้น
ทว่างานเลี้ยงในวันนั้นล้วนเต็มไปด้วยความยินดี ไม่มีผู้ใดคิดแก่งแย่งชิงดีกัน ต่างกับวันนี้… วันนี้คือสมรภูมิของพวกเขาโดยแท้ โดยเฉพาะตระกูลอัน เหลิงและสวี รวมถึงตระกูลที่เกี่ยวข้อง
อันหรูอี้ค่อยๆ ทรุดกายลงนั่ง อันหลิงหลงมียศศักดิ์ต่ำกว่าจึงนั่งห่างออกไปโดยมิได้ตั้งใจ
ทันทีที่ทุกคนนั่งลง ทั้งอันหรูอี้และอันหลิงหลง หรือแม้แต่พระสนมคนอื่น ๆ ยกเว้นเหลิงเยว่ต่างก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมา
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเข้ากับบุรุษสองคนที่เห็นได้ชัดว่าใช้ชีวิตอย่างสำมะเลเทเมา กำลังจ้องมองพวกนางอย่างโจ่งแจ้ง!
[1] มาจากบทกลอน “นิทัศน์คณิกาห้าตะวัน” ของว่านฉู่แห่งราชวงศ์ถัง โดยสีเขียวคือสีที่หญิงโบราณมักนำมาใช้เขียนคิ้ว ส่วนดอกเซวียนฉ่าวคือดอกลิลลี่ และในวัฒนธรรมจีน บางครั้งดอกเซวียนฉ่าวยังถูกเรียกว่า 忘忧草 หรือดอกไม้ลืมทุกข์ กล่าวคือคิ้วที่ถูกเขียนอย่างงดงามจะชวนให้ผู้พบเห็นลืมทุกข์ได้มากยิ่งกว่าดอกลิลลี่ ส่วนกระโปรงแดงมีไว้แทนถึงหญิงงาม