หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 78 งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดกุ้ยเฟย
บทที่ 78 งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดกุ้ยเฟย
หลังจากที่อันหลิงหลงออกจากตำหนักคุนหนิงไปได้ไม่นาน ข่าวหนึ่งก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังอย่างรวดเร็ว เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้คน กุ้ยเฟยผู้อาจหาญยิ่งทำให้ผู้คนทั้งเกรงกลัวและเคารพนับถือ
ทว่าในขณะที่ข่าวกำลังแพร่ออกไปนอกวังหลวง ตัวเอกของเรื่องกลับยังคงนิ่งสงบไม่หวั่นไหว
สถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดนั้นถูกกำหนดไว้ที่ตำหนักฉงฮวา ซึ่งเดิมทีเป็นสถานที่ที่เปิดให้เข้าเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี วันประกอบพิธีเลี้ยงไหม และวันประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ของเหล่าสตรีในวังหลวงเท่านั้น
แต่บัดนี้… มันกลับเปิดให้สวีเจิ้งใช้งานแต่เพียงผู้เดียว
สองฟากฝั่งของตำหนักฉงฮวาประดับประดาด้วยภาพวาดหญิงงามมากมาย หนึ่งในนั้นมีภาพของพระมารดาของซ่งจื่ออาน หรือก็คือพระพันปีหลวงที่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
โชคดีที่ซ่งจื่ออานในตอนนั้นเริ่มมีความคิดความอ่านเป็นของตนเองแล้ว ไม่เหมือนอันหรูอี้ที่ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้อื่นอย่างแท้จริง
พระพันปีหลวงในภาพวาดยังทรงพระเยาว์ พระพักตร์งดงามเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ระหว่างพระขนงแต้มแต่งด้วยชาดแดง ส่วนหางคิ้วมีไฝเม็ดงาม ช่างงามเลิศราวกับเทพธิดา แม้ยังไม่ทันได้ใกล้ชิด ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน
“พระพันปีหลวงทรงมีพระเนตรที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ” อันหรูอี้เอ่ย “ท่านช่างละม้ายคล้ายคลึงกับพระองค์”
ซ่งจื่ออานพานางเดินไปยังด้านล่างของภาพวาด ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“พระมารดาเป็นคนรักใคร่มั่นคง ยามที่พระบิดาทรงออกรบ ทุก ๆ ครั้งที่ทางราชสำนักได้รับรายงานผลการรบมา พระองค์จะทรงประทับฟังจากด้านนอกของตำหนักเซียนเจิ้ง และเมื่อฟังรายงานจบแล้วก็จะเสด็จกลับตำหนักเงียบ ๆ ”
อันหรูอี้ครุ่นคิด “พระองค์ทรงรอคอยเสี้ยนตี้”
“ใช่แล้ว พระองค์ทรงรอคอยเสี้ยนตี้” ซ่งจื่ออานเอื้อมมือสัมผัสภาพวาดหญิงงาม “เมื่อพระบิดาทรงเสด็จกลับจากการรบ พระวรกายเต็มไปด้วยบาดแผล พระมารดาทรงเฝ้าถวายงานคอยดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืน ไม่นานก็ทรงประชวร พระบิดาทรงเสด็จสวรรคต พระมารดา… จึงย่อมไม่อาจมีพระชนม์ชีพอยู่ได้นาน”
“แท้จริงแล้ว หม่อมฉันค่อนข้างอิจฉาพระพันปีหลวง” อันหรูอี้หัวเราะออกมาเบา ๆ “แม้ไม่อาจอยู่เคียงข้างกันจนแก่เฒ่า ก็ยังคงซื่อสัตย์มั่นคงต่อกันจนวันตาย ความรักที่มั่นคงเช่นนี้… ”
ซ่งจื่ออานเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล “หรูอี้ เจ้าจงเชื่อเถิด พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปนานแสนนาน ข้าจะเป็นไท่ช่างหวง เจ้าก็จะเป็นไทเฮา! ”
อันหรูอี้หัวเราะ “ไทเฮาต้องเป็นตำแหน่งที่ไต่เต้ามาจากฮองเฮา หม่อมฉันไม่ขอเป็นฮองเฮาหรอก ท่านดูพี่สะใภ้สวีกับเหลิงเหยว่สิ ทั้งวันวุ่นวายอยู่กับเรื่องราวมากมาย เป็นไท่เฟยที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีเช่นนี้ดีกว่า”
ซ่งจื่ออานได้แต่ยิ้ม ทั้งขำทั้งเอือมระอา “ไท่เฟยก็ไท่เฟย อย่างไรเสีย พวกเราก็จะอยู่ด้วยกันไปนานแสนนาน”
อันหรูอี้กะพริบตา มองภาพวาดพระพันปีหลวง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองเขาอย่างประหลาดใจ “ทำไมหม่อมฉันถึงรู้สึกว่าพระพันปีหลวงกำลังหัวเราะเยาะพวกเราอยู่”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าคิดมากไปเอง”
“ไร้สาระ หม่อมฉันมิได้คิดมาก…”
พายุโหมกระหน่ำ ซ่งจื่ออานกลับยังคงนิ่งสงบ เหลิงเหยว่และอันหลิงหลงกำลังวางแผนร้ายอันใดอยู่ สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่อาจล่วงรู้ได้
เขายกย่องสวีเจิ้งเพราะเห็นแก่ท่านแม่ทัพเฒ่าสกุลสวี และปล่อยข่าวเกี่ยวกับ อันหรูอี้เพราะเห็นแก่อันก่วงเหนิง
เขาต้องการให้ท่านแม่ทัพเฒ่าสกุลสวีและอันก่วงเหนิง ร่วมมือกันจัดการ เหลิงตู้ และไม่ใช่เพียงเท่านั้น ยังต้องจัดการเหลิงเหยว่ด้วย เพราะตระกูลเหลิงมีเส้นสายทั้งในราชสำนักและวังหลวงมากมาย
หากเหลิงตู้จำเป็นต้องจัดการขุนนางใหญ่สองคนพร้อมกัน เขาย่อมจำเป็นต้องระดมเส้นสายทั้งหมดที่มี ดังนั้นองครักษ์ลับจึงสามารถสืบสาวราวเรื่อง จับเส้นสายลับทั้งหมดไม่ว่าจะในวังหรือนอกวังไว้ได้
ซ่งจื่ออานคิดไม่ผิด เหลิงตู้คิดว่าซ่งจื่ออานต้องการเปลี่ยนตำแหน่งฮองเฮา และนึกถึงเรื่องของหลัวหลิงขึ้นมา นั่นจึงยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยในตัวแม่ทัพเฒ่าสกุลสวีมากขึ้น เกือบจะลงข้อสรุปไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าเขาต้องการช่วยให้บุตรสาวขึ้นครองตำแหน่ง หรือก็คือจงใจเข้าปะทะเพื่อห้ำหั่นกับตน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเชิญขุนนางที่มักติดต่อและไปมาหาสู่กันเป็นปกติมาพบ แต่กลับมีบางคนไม่ปรากฏตัวขึ้นมา
เหลิงตู้จึงเชื่อว่านี่ต้องเป็นฝีมือของท่านแม่ทัพเฒ่าผู้นั้นแน่นอน แต่เขากลับลืมตัวละครเช่นอันก่วงเหนิงไป
ในความเป็นจริงแล้ว… ท่านแม่ทัพเฒ่าสกุลสวีไม่รู้เรื่องอะไรเลย
คนที่แอบโจมตีเขา ปั่นป่วนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับขุนนางคนอื่น ๆ แตกแยกคืออันก่วงเหนิงต่างหาก
อันก่วงเหนิงว่างงานมานานหลายปี เหลิงตู้จึงไม่ได้ใส่ใจ และนั่นจึงกลายเป็นจุดที่ทำให้อันก่วงเหนิงมีโอกาสนำมันมาใช้ประโยชน์
อันก่วงเหนิงเองก็สมกับที่เป็นอัครมหาเสนาบดี พอได้ยินข่าวว่าอันหรูอี้ก่อเรื่องในตำหนักคุนหนิง เขาก็ตกใจแต่กลับปิติจิตไปพร้อม ๆ กัน
“ดูเหมือนฝ่าบาทจะลงมือกับตระกูลเหลิงแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้นางทำเช่นนี้”
ขุนนางผู้น้อยสบตากัน คนหนึ่งกล่าว “ท่านอัครมหาเสนาบดี พวกข้าควรรับมืออย่างไรต่อไปเล่า? ”
อันก่วงเหนิงหัวเราะเยาะ แววตาวาววับ “ฝ่าบาทไม่ได้หมายจะจัดงานฉลองวันเกิดให้แก่กุ้ยเฟยหรอกหรือ? เช่นนั้น… พวกเราจะส่งของขวัญอันล้ำค่าไปให้แก่กุ้ยเฟย ยกย่องเชิดชูท่านแม่ทัพเฒ่าสกุลสวี”
“เกรงว่าเขาจะไม่รับ”
“เขาจะรับ” อันก่วงเหนิงมองผู้พูดอย่างสื่อความนัย “เพราะเหลิงตู้จะบังคับให้เขารับ”
ณ จวนตระกูลเหลิง ในห้องโถงใหญ่
เหลิงตู้ที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ขว้างถ้วยชาร้อนลงพื้นอย่างรุนแรง น้ำชาลวกรดบ่าวรับใช้จนมือพอง แต่เขาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แม้แต่เสียงร้องก็ไม่กล้าเปล่งออกมา
ขุนนางที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างต่างลังเลไม่แน่ใจ ไม่รู้ควรเข้าไปห้ามปรามอีกฝ่ายดีหรือไม่ ด้วยกลัวจะทำให้เหลิงตู้ยิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิมจนนำความยุ่งยากมาสู่ตนเองได้ แม้บางคนในกลุ่มของพวกเขาจะมีตำแหน่งสูงกว่าเหลิงตู้มากก็ตาม
ขณะที่พวกเขากำลังเงียบอยู่นั้น ชายสองคนก็เดินเข้ามาจากประตู แต่ละคนโอบกอดหญิงงามที่แต่งหน้าทาปากเอาไว้ ที่คอพวกนางยังมีรอยแดงประทับ สายตาดูเลื่อนลอย บางครั้งก็เหม่อไม่ได้สติ เรือนกายเย้ายวนถูไถไปกับผิวเนื้อของพวกเขา
พวกเขาคือเหลิงซิงและเหลิงฟาง
การกินเหล้าเที่ยวผู้หญิงมานานหลายปีทำให้ร่างกายพวกเขาแทบหมดสภาพ แก้มตอบ ใต้ตาคล้ำ โหนกแก้มนูน แม้จะมีชีวิตสุขสบาย แต่กลับผอมเหมือนไม้เสียบผี
เหลิงตู้หันไปมองทั้งสอง ก่อนความโกรธจะปะทุจนต้องดุด่า
“พวกเจ้าไปเที่ยวเตร่ที่ไหนมาอีกแล้ว?! ”
เหลิงซิงแสดงความรำคาญออกมาผ่านแววตา ด้วยเขาถือว่าตัวเองเป็นถึงท่านอ๋อง เมื่อก่อนยังหยิ่งผยอง กล้าคว้าถ้วยสุราของฝ่าบาทมาดื่ม เหลิงตู้ ตำแหน่งต่ำกว่าพวกเขาอย่างชัดเจน แค่อาศัยลูก ๆ มาอวดอ้างอำนาจ แต่กลับมีนิสัยโมโหร้าย
เหลิงซิงล้มตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ขุนนางที่อยู่ใกล้ ๆ ค่อย ๆ ถอยห่างออกไปอย่างไม่ให้ทันเป็นที่สังเกต เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลิ่นน้ำหอมฉุนจัดจนถึงขั้นที่เรียกว่าเหม็นพลอยลอยมาติดตัวพวกตน
เหลิงซิงกล่าว “ท่านพ่อ ท่านวุ่นวายอะไรอยู่ทั้งวันกัน? แค่กินดื่มเที่ยวเล่นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? ไยต้องทำให้ชีวิตในแต่ละวันคล้ายกำลังทำศึกด้วย”
เหลิงฟางเองก็มีอุปนิสัยไม่แตกต่างกันมากนัก จึงพูดอย่างเกียจคร้านออกมาว่า “ใช่แล้วท่านพ่อ พวกเราตอนนี้ก็มีชีวิตที่ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านยังต้องอะไรอีกเล่า? ”
“พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร?! ” เหลิงตู้โกรธจัดจนขึ้นเสียง “ฮ่องเต้น้อยนั่นกำลังจะปลดฮองเฮาอยู่แล้ว พวกเจ้าไม่รู้จักคิดถึงน้องสาวของพวกเจ้าบ้างหรือ! ”
เหลิงซิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วคว้าตัวหญิงสาวข้างกายมาลูบเอว “ท่านพ่อ ท่านได้ข่าวนี้มาจากที่ไหนกัน? ”
เหลิงตู้หัวเราะทั้ง ๆ ที่อารมณ์ยังคุกรุ่น “ยังต้องสืบอีกหรือ? ในเมื่องานวันเกิดของกุ้ยเฟยไปจัดถึงตำหนักฉงฮวาแล้ว! ”
เหลิงฟางตกใจ “จริงหรือ? ฮ่องเต้น้อยนั่นกล้าดูถูกน้องสาวของพวกเราถึงเพียงนี้?! ”
เหลิงตู้ถอนหายใจ ไม่คิดว่าบุตรชายทั้งสองจะมัวแต่เมามายจนไม่รู้กระทั่งเรื่องราวอันสำคัญเช่นนี้ จึงจำต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังใหม่ รวมถึงประเด็นที่อันหรูอี้ก่อเรื่องในตำหนักคุนหนิงด้วย
“ฮ่องเต้น้อยนั่นต้องการเปลี่ยนฮองเฮาจริง ๆ หรือ? ” เหลิงซิงขมวดคิ้ว “แต่น้องสาวของเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาจะปลดนางลงจากตำแหน่งได้อย่างไร! ”
เหลิงตู้แค่นเสียง “จะหาเรื่องแบบตรง ๆ มันก็ง่ายน่ะสิ เพราะตอนนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดศึกสงครามอยู่แล้ว ถ้าแม่ทัพสวีคว้าตัวลั่วหลิงไว้ได้และกำจัดตระกูลเหลิง อย่าว่าแต่ฮองเฮาเลย แม้แต่ตำแหน่งอ๋องของพวกเจ้าก็รักษาไว้ไม่ได้! ”
“ลั่วหลิงอีกแล้ว” เหลิงฟางพูดอย่างรำคาญ “ค้นหาทั้งเมืองก็ยังจับตัวไม่ได้หรือ? ”
ขุนนางผู้หนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “ใต้เท้า การค้นหาทั่วทั้งเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ตระกูลฉินยังมีทหารฝีมือดีกว่าห้าพันนายอยู่ข้างนอกนะขอรับ”
เหลิงซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเสนอ “ท่านพ่อ ถ้าหากพวกเราจัดการแม่ทัพสวีก่อน… ”
“โอ้” เหลิงตู้อุทาน “เจ้ามีความคิดที่น่าสนใจ ลองว่ามาซิ”
เหลิงซิงมองไปยังแผ่นหินสีเขียวนอกประตู ที่ตรงมุมถูกเหยียบจนยุ่งเหยิง ก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ในงานวันเกิดของกุ้ยเฟย… พวกเราคงต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้สักหน่อยแล้วล่ะ”