หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 76 ฉินหลี่ซาง
บทที่ 76 ฉินหลี่ซาง
สามวันต่อมา ประตูเมืองทิศใต้ของเมืองหลวง
ทหารรักษาพระองค์ห้าพันนายออกจากลานฝึก เดินทางไปยังพื้นที่ว่างนอกประตูเมืองทิศใต้และเริ่มต้นการฝึกซ้อม ดาบโค้งที่สั่งตีขึ้นเป็นพิเศษส่องประกายราวกับพระจันทร์เสี้ยว เสียงอึกทึกของขบวนทหารดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายให้หันมามอง
ฉินกงซูหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขณะพูดคุยกับรองแม่ทัพ สายตาเหลือบมองไปยังฝูงชนอย่างรู้กัน
สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ที่กลุ่มทหาร แม้แต่ทหารยามหน้าประตูเมืองก็ยืนชะเง้อมองอยู่ที่ประตู แต่ไม่นานก็เห็นขบวนรถม้าแขวนป้าย ‘คุ้มกัน’กำลังเคลื่อนผ่านฝูงชนมา
ผู้นำขบวนคุ้มกันสวมหมวกสานไม้ไผ่ แม่ทัพเห็นว่าคนเยอะก็รู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็ยังตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะคำสั่งย้ำนักหนาของท่านนายกเทศมนตรี เขาไม่กล้าขัดคำสั่งเท่าไรนัก
ผู้นำกลุ่มคุ้มกันเป็นชายวัยกลางคนหนา้ตาดูซื่อตรง เมื่อถูกถามว่าภายในกล่องไม้บรรทุกสิ่งใดมา หัวหน้าคุ้มกันก็ตอบว่า “สิ่งนี้ล้วนเป็นเครื่องหยกที่รวบรวมมาจากทั่วทุกสารทิศ…”
เขาไอสองที แล้วหยิบทองคำสองแท่งและป้ายหยกออกมาจากแขนเสื้อ กระซิบว่า “นายท่านขอรับ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของขวัญสำหรับท่านเหลิง ขอรบกวนท่านอำนวยความสะดวกให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ?”
เหลิงตู้?
คิ้วของรองแม่ทัพเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ในช่วงหลายปีมานี้ พวกเขาเห็นขบวนติดสินบนขุนนางชั้นสูงมาหลายกลุ่มแล้ว หากเป็นขบวนเช่นนี้เก้าในสิบส่วนคือขุนนางท้องถิ่นต้องการซื้อตำแหน่งราชการที่ดีกว่า
แม่ทัพหรี่ตาลง เผยรอยยิ้มออกมาจาง ๆ “อ้อเช่นนั้นเอง มิเลวเลยนี่มีสิบกว่าเกวียนเห็นจะได้ ใจกว้างยิ่งนัก”
หัวหน้าขบวนถอนหายใจ “เขามีเงิน จะเหมือนพวกเราได้อย่างไรเล่า?”
แม่ทัพก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ได้ยินเสียงเฮและปรบมือดังมาจากฝั่งนั้น จึงไม่อยากเสียเวลา เขาโบกมือและเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไปได้แล้ว ๆ ”
เอ่ยจบก็เบียดเข้าไปในฝูงชนเพื่อดูการแสดงต่อ
หัวหน้าคุ้มกันรีบโบกมือให้คนข้างหลัง ขบวนรถม้าขนาดใหญ่เคลื่อนตัวไปตามถนนสายใหญ่ จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่เหล่าขุนนางพักอาศัยและสุดท้ายก็ผ่านไปยังประตูหลังของจวนเหลิง
บ่าวในจวนเหลิงมองด้วยความสงสัยสองสามที แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ขบวนคุ้มกันนี้อ้อมไปตามตรอกเล็ก ๆ ข้างจวนเหลิงหลายรอบ จากนั้นก็ไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย หัวหน้าขบวนนำขบวนเกวียนออกไปอีกครั้งคราวนี้มุ่งหน้าไปทางประตูใต้
ส่วนคนที่อยู่ในลังไม้ ก็ออกจากตรอกเล็ก ๆ แล้วเดินผ่านประตูพวกเขาทยอยผ่านประตูมุมเข้าไปทีละคน สุดท้ายก็ผ่านอุโมงค์ลับเข้าไปในจวนแม่ทัพของฉินฟาง
กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งคนแก่คนหนุ่ม ทั้งชายหญิงบางคนร่างกายก็เต็มไปด้วยบาดแผล บางคนยังคงแข็งแกร่งดั่งหิมะบนยอดเขา
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ดวงตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความหวัง
เมื่อพวกเขารอดพ้นจากอุโมงค์ลับออกมา ณ ปลายทางออกนั้น หลัวหลิงที่รออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับหมอหลวงโจวฟู
ทุกคนที่ออกมาล้วนถูกเชิญไปยังลานด้านใน หากมองภายในจวนแม่ทัพแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรือนพักธรรมดา แต่ทว่าภายในกลับมีการป้องกันอย่างแน่หนาเรียกได้ว่าเป็นป้อมปราการที่ไร้ช่องโหว่
ฉินกงซูกลับมาหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เขายิ้มพูดคุยกับรองแม่ทัพแต่พอก้าวเท้าเข้าประตู สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เขาเดินก้าวยาว ๆ เข้าไปในห้องโถงใหญ่ พอเปิดประตูฉินกงซูก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
คนกว่ายี่สิบคนยืนอยู่เต็มห้อง มากกว่าที่เขาคาดไว้ หลัวหลิงเดินเข้ามาหาเขาด้วยความตื่นเต้นบอกเขาว่า “นี่แค่หนึ่งในสาม ยังมีอีกหลายห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน พวกเข้ามาจากประตูเมืองอีกสองแห่ง!”
ฉินกงซูใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะหายตกตะลึง ตบต้นขาตัวเองอย่างแรง “ดียิ่งนัก!”
เพียงแค่กวาดตามอง เขาก็พบว่าคนในห้องล้วนเป็นบุรุษหนุ่มเลือดร้อน แม้พวกเขาจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางและบาดเจ็บแต่กลิ่นอายจิตสังหารของพวกเขากลับแผ่ออกมาอย่างรุนแรง!
ฉินกงซูก้าวเข้าไปหาพวกเขา “สหายทั้งหลาย สถานการณ์ในราชสำนักกำลังจะเปลี่ยนแปลง พวกท่านเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนหน้าผากกว้างและหน้าตาดูซื่อสัตย์ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายลุกขึ้นยืน สายตาของหลายคนจับจ้องไปที่ฉินกงซู เห็นได้ชัดว่าเขามีอิทธิพลในกลุ่มคนเหล่านี้ “พวกเราเตรียมตัวมาสามปีแล้ว พร้อมที่จะเริ่มต้นได้ทุกเมื่อ”
หลัวหลิงกล่าวว่า “มิต้องรีบ พวกท่านยังบาดเจ็บอยู่ อีกอย่าง ฮ่องเต้ยังมีเรื่องจะฝากท่านแม่ทัพฉินบอกกล่าว”
ทุกคนหันไปมองฉินกงซูเป็นตาเดียว ฉินกงซูยิ้มรับ รองแม่ทัพนำบัญชีเล่มหนามาส่งให้ “พวกท่านทุกคนล้วนถูกใส่ร้ายโดยเหลิงตู้ ฮ่องเต้ทรงพยายามปกป้องทุกคนอย่างเต็มที่แต่การที่ฝ่าบาททรงปกป้องพวกท่านย่อมมีเหตุผล”
ทุกคนต่างนิ่งงัน
“กองทัพเฟยอวิ๋นจวิ่นที่เทือกเขาฉินหลิงนั้น คือกองกำลังที่จวนอ๋องอวิ๋นหนานส่งไปคุ้มกัน เพราะคนเหล่านั้นคือขุนนางที่ฝ่าบาททรงเลือกด้วยตัวฝ่าบาทเอง ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงสังเกตเห็นแล้ว”
ชายคนนั้นสบตากับคนอื่น ๆ ในแววตาของพวกเขาไม่มีความประหลาดใจ
คนที่ถูกเนรเทศไปยังภูเขาฉินหลิงล้วนเป็นคนหนุ่มแข็งแรงมีทั้งเหล่าขุนนางหกกรมและสามขุนนางระดับสูง ทุกคนต่างก็มีความสามารถ แม้แต่ขุนนางที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาก็อยู่ในหมู่พวกเขา
คนที่มีความสามารถไม่ได้พบเห็นได้ทั่วไป การที่คนที่มีความสามารถมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ ย่อมเป็นเรื่องแปลกไม่แปลกที่พวกเขาจะสังเกตเห็น
“ตลอดสามปีมานี้ ฮ่องเต้เองก็ลำบากมิน้อยเช่นกัน” ฉินกงซูกล่าวเสียงเบา “แต่ฝ่าบาทก็ยังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องครอบครัวของพวกท่าน แม้ว่าจะเหลือเพียงคนหรือสองคนก็ตาม”
ครอบครัว?
“จริงหรือ!?”
“พวกเขาอยู่ที่ใด? ปลอดภัยหรือไม่?”
หลัวหลิงถาม “หรือว่าพวกเขาอยู่ที่อวิ๋นหนาน?”
ฉินกงซูพยักหน้า “ท่านหลัวกล่าวถูกต้องแล้ว พวกเขาล้วนอยู่ที่อวิ๋นหนาน อวิ๋นหนานเป็นป้อมปราการทางทหาร ซึ่งอ๋องอวิ๋นหนานมิเคยยอมให้ผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ที่นั่นจึงเป็นที่ปลอดภัยที่สุด”
“แต่ตอนนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว” หลัวหลิงเอ่ยกับทุกคน “แผนผังการป้องกันของกรมกลาโหมรั่วไหลออกไป สหายทั้งหลาย หลังจากสถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงพวกเราบางคนต้องรีบไปเปลี่ยนแปลงการกระจายกำลังป้องกัน”
ห้องโถงเงียบลงชั่วขณะ ผู้อาวุโสวัยห้าสิบกว่าปีถอนหายใจทันที
“เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ ดูเหมือนว่าถ้าอยากจะกอบกู้สถานการณ์พวกเราต้องรีบลงมือแล้ว”
ฉินกงซูก็ถอนหายใจเช่นกัน แต่เสียงของเขากลับหนักแน่น “วันที่เจ็ด ข้ากับพี่ใหญ่จะยึดอำนาจการควบคุมกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวงกลับคืนมา ส่วนองครักษ์เงาของฮ่องเต้จะพาคนอื่น ๆ ไปจับกุมคนของเหลิงตู้ ถึงตอนนั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้ว”
เขาหยุดชั่วครู่ วางสมุดบันทึกเล่มบางในมือลงบนโต๊ะ กล่าวว่า
“นี่คือรายชื่อผู้รอดชีวิตรวมถึงคนที่ถูกเนรเทศไปยังที่อื่น ๆ ด้วย ท่านทั้งหลายสามารถดูได้”
พอพูดจบ ผู้อาวุโสที่ถอนหายใจก็คว้าสมุดไปก่อนแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดดู คนอื่น ๆ ก็ล้อมเข้ามาแล้ว
“เดี๋ยว ๆ รอก่อน! พวกเจ้าทำอันใดกัน! ดูทีละคนสิ…”
ฉินกงซูถูกผลักออกไปโดยไม่ตั้งใจ เขาเกาศีรษะอย่างจนปัญญา เขามองเห็นชายที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายไม่ขยับเขยื้อน จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยว่า “เอ่อ… ท่านมิดูหรือ?”
หลัวหลิงชะงักมองฉินกงซูด้วยสายตาแปลกใจ ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น มองสำรวจฉินกงซูตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะกล่าวว่า “…มิจำเป็น ข้ารู้ว่าหลานชายของข้าอยู่ที่ใด”
ฉินกงซูรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นดูแปลก ๆ “ชายผู้นี้แปลกยิ่งนัก เหตุใดจึงมิได้ถูกลงกวาดล้างไปด้วย?”
ชายผู้นั้นยิ้ม “พี่น้องข้ามีสามคน กระจัดกระจายกันไปรับราชการตามที่ต่าง ๆ มิค่อยได้เจอกัน เขาเป็นลูกของพี่ชายคนที่สอง มิค่อยได้เจอข้า ต่อมาก็ถูกญาติห่าง ๆ พาไปรบที่ชายแดน”
ฉินกงซูอึ้งไปครู่หนึ่ง มองหน้าชายคนนั้นอย่างรู้สึกผิด
ชายผู้นั้นยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะวางถ้วยชาลง แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าป่านหยาบ ๆ แต่รัศมีที่น่าเกรงขามของเขาก็แผ่ออกมาโดยธรรมชาติ
“อ้อ ข้าลืมแนะนำตัวไป” ชายผู้นั้นยิ้ม “ข้าคือฉินหลี่ซาง เป็นอาสามของเจ้า”
….
“ฉินหลี่ซาง?” อันหรูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย “ว่ากันว่าคนผู้นี้มีความกล้าหาญที่ทหารนับหมื่นก็มิอาจต้านทาน ซ้ำยังมีสติปัญญาด้านการทหารที่กองทัพนับพันยากจะเอาชนะได้ ที่เล่าลือกันมาเป็นความจริงหรือ?”
ดวงตาของซ่งจื่ออันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น “หรูอี้ การที่ข้าสามารถปกป้องเขาไว้ได้ เป็นสิ่งที่ข้าดีใจและภูมิใจที่สุด!”