หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 73 บทเพลงสามปีใกล้จบสิ้น
บทที่ 73 บทเพลงสามปีใกล้จบสิ้น
ยามนี้ไร้ความครึกครื้นของถนนอวี้เฉิง ถึงแม้หอสือจื่อจะยังคงสว่างไสว แต่ภายในกลับเงียบสงบยิ่งนัก
ภายในห้องส่วนตัวยังคงมีผู้คนสังสรรค์กันอยู่ มีทั้งคุณชายกอดก่ายหญิงงามรินสุราให้กัน แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน ยิ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันและเงียบสงบที่แตกต่าง
เสี่ยวเออร์*[1]พิงประตูอย่างเกียจคร้าน ดวงตากลับว่องไวเหมือนแมวยามราตรีกวาดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ฝั่งตรงข้ามมีหญิงชราขายน้ำตาลปั้น ยืนอยู่หน้าเด็กน้อยคนหนึ่ง หญิงชราผู้นั้นยิ้มแย้ม มือไม้คล่องแคล่ววาดรูปกระต่ายบังเอิญเงยหน้าขึ้นสบตากับเสี่ยวเออร์แล้วยิ้มให้กัน
เถ้าแก่ก้าวออกจากห้องเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “เป็นเช่นไรบ้าง ยังมีลูกค้ามาอีกหรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อร์รีบเก็บท่าทางเกียจคร้านของตนทันที พร้อมกลับทำท่าทางนอบน้อมประจบประแจงราว “เถ้าแก่ยามวิกาลเช่นนี้ นอกจากคุณชายที่ขึ้นไปมัวเมาอยู่ข้างบนแล้วจะมีผู้ใดได้อีกอรับ”
ได้ยินดังนั้นแววตาของเถ้าแก่กลับฉายแววพอใจ แต่กลับแสร้งทำสีหน้าเศร้าหมอง “พักนี้ ค้าขายมิค่อยดีนัก”
จากนั้นเถ้าแก่เดินจากไป ส่วนเสี่ยวเอ้อร์กลับมาทำท่าทางสบาย ๆ อีกครั้ง สายตาเหลือบมองไปทางขวาอย่างไม่ตั้งใจ
เงาร่างสองสายพุ่งเข้าไปในตรอก เสี่ยวเอ้อร์จึงแสร้งบิดขี้เกียจ เดินไปทางปากตรอกสองก้าวแล้วทรุดตัวลงพิงประตูราวกับเป็นยามที่เฝ้าประตูอยู่
เงาร่างสองสายนั้นเป็นซ่งจื่ออานกับอันหรูอี้ พวกเขามาถึงหอคอยสือจื่อแล้วเข้าทางหลังครัวแล้วตรงไปยังห้องส่วนตัวชั้นสอง
ห้องส่วนตัวยังคงเป็นห้องเดิมเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากห้องสองข้างซึ่ง ล้วนเป็นการจัดฉากไว้แล้วทั้งสิ้น
ทั้งลูกค้าผู้มาสังสรรค์ คุณชายและหญิงงามในห้องล้วนเป็นมือดีของหอคอยสือจื่อ
ทันทีที่เข้าไปในห้องอันหรูอี้ก็เห็นบัณฑิตหน้าซีดคนหนึ่ง ใบหน้าของบัณฑิตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มือถือกล่องสีดำ เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ
สองข้างซ้ายขวามีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดดำยืนอยู่ข้างละคน แต่ใบหน้ากลับดูอ่อนเยาว์ ส่วนตรงกลางมีคน ๆ หนึ่งนั่งอยู่โดยมีที่ปิดตาสีดำคาดไว้ที่ตาซ้าย
เขาคือพี่ใหญ่ตาเดียวที่ชิวจื้อเคยพูดถึงและเป็นหนึ่งในสหายร่วมสาบานของอดีตฮ่องเต้
อดีตฮ่องเต้เป็นคนเถรตรงจึงทำให้ปกครองบ้านเมืองได้ไม่ดีเท่าไรนัก มิเช่นนั้นคงไม่ทิ้งปัญหาไว้ให้ซ่งจื่ออานมากมายขนาดนี้ แต่พี่น้องร่วมสาบานของเขาล่ะก็ไว้ใจได้จริง ๆ
ถ้าไม่มีพวกเขาคอยช่วยเหลือ สถานการณ์ของซ่งจื่ออานคงย่ำแย่กว่านี้
ใบหน้าของตาเดียวเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว รอยแผลเป็นจากดาบฟันจากหน้าผากลงมาถึงคาง ดวงตาข้างหนึ่งอยู่ตรงรอยแผลเป็นพอดีจึงจำเป็นต้องปิดตาข้างนั้นเอาไว้
เมื่อตาเดียวเห็น ซ่งจื่ออานเข้ามาก็ไม่ได้ลุกขึ้นคำนับ เพียงพยักหน้าทักทายราวกับญาติผู้ใหญ่ทั่วไป “เจ้ามาแล้วก็ดี ข้าพาคนมาให้เจ้าแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
อันหรูอี้คิดนี่คงเป็นคนที่ชิวจื้อพูดถึงเป็นคนที่หลงใหลในยุทธภพอย่างแท้จริง
มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่กล้าเผชิญหน้ากับฮ่องเต้อย่างไม่หวั่นเกรง เขา แสดงท่าทีไม่ใส่ใจราวกับไม่ได้มองซ่งจื่ออานเป็นฮ่องเต้เลย
ซ่งจื่ออานสบตากับหลัวเหลิงโดยไม่รู้ตัว รู้สึกประหลาดใจกับร่างผอมแห้งของเขา คนเช่นนี้กล้าเสี่ยงชีวิตเข้าเมืองหลวงเพื่อฟ้องร้องเหลิงตู้
ซ่งจื่ออานละสายตาแล้วหันไปมองพี่ชายตาเดียว “ท่านลุงตาเดียว ท่านจะมิอยู่ต่ออีกสักพักหรือ?”
ชายตาเดียวยิ้มมุมปาก รอยแผลเป็นบนใบหน้าขยับเป็นรูปโค้งน่ากลัว ราวกับกำลังจะแยกออก เขาลุกขึ้นยืนแล้วตบไหล่ซ่งจื่ออานสองที
“เจ้าโตแล้ว สามปีนี้พวกข้าช่วยเจ้ามามาก แต่เรื่องนี้เจ้าต้องทำเอง เพราะพวกข้าแก่แล้ว มิอาจช่วยเจ้าตลอดไปเพราะในที่สุดลูกหลานของพวกข้าก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตในยุทธภพ”
องครักษ์เงาก็เป็นผู้ที่เขาฝึกฝนมา แต่สุดท้ายก็เพื่อรับใช้ราชวงศ์ ถึงแม้ซ่งจื่ออานจะจดจำบุญคุณแต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่ารุ่นต่อไปจะไม่จดจำความแค้น
พวกเขาเป็นคนของยุทธภพสุดท้ายแล้วก็รักในยุทธภพมากกว่า สามปีที่ผ่านมาพวกเขาเห็นเรื่องราวสกปรกในราชสำนักมามากพอแล้ว
ซ่งจื่ออานเม้มริมฝีปาก ประสานมือโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “จื่ออานจะจดจำพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ชั่วชีวิต!”
ชายตาเดียวยิ้มพลางพยุงเขาขึ้น แล้วมองไปที่อันหรูอี้ก่อนจะเอ่ยอย่างยิ้ม ๆ ว่า “จะจดจำบุญคุณอันใดกัน เจ้าเป็นหลานของพวกข้า การช่วยเจ้าเป็นสิ่งที่ควรทำ อืม…จะว่าไปว่าภรรยาของเจ้าก็มิแย่เท่าใดนัก รอให้มีลูกแล้วลุงจะมาอีกที”
อันหรูอี้ตกตะลึง ใบหน้าแดงเรื่อจับแขนซ่งจื่ออานไว้
ซ่งจื่ออายลูบปลายจมูกอย่างเก้อเขิน หันไปจับมืออันหรูอี้พลางยิ้มพูดว่า “ท่านลุงตาเดียวมีน้ำใจยิ่งนัก”
ชายตาเดียวส่ายหน้า ไม่รบกวนพวกเขาอีก ออกจากห้องรับรองแล้วเดินลงไปชั้นล่าง กำลังจะออกประตูเถ้าแก่กอสือจื่อก็เข้ามาใกล้ “จะไปแล้วหรือ? เจ้าจะมิอยู่ดูเด็กคนนั้นได้อำนาจจริง ๆ หรือ?”
“มีอันใดให้ดู ช่วยถึงขนาดนี้แล้วยังเอาชนะพวกคนแก่พวกนั้นมิได้ข้าว่าเขามิต้องเป็นฮ่องเต้แล้ว” ตาเดียวกล่าว
ได้ยินเช่นนั้นเถ้าแก่ก็หัวเราะมาทันที “ข้าไม่เหมือนเจ้าที่ยังมีลูกหลาน ข้าอยู่ที่นี่สามปีแล้ว รู้สึกว่าชีวิตที่นี้ก็มิเลวนัก ข้าว่าจะมิไปที่ใดแล้วต่อไปนี้ หากพวกเจ้ามาเมืองหลวงก็จะได้มีที่ให้พักมิใช่หรือ?”
ตาเดียวเลิกคิ้ว “เหอะ เจ้าก็แค่อยากดูแลเด็กคนนั้นมิใช่รึ?”
เถ้าแก่ชี้ที่รอยย่นบนหน้าผากตนเอง “ไม่เหมือนกัน เจ้ายังมีแรงที่จะออกท่องยุทธภพ ส่วนข้า… แก่จริง ๆ แล้ว”
ตาเดียวเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกจนใจ “พี่ใหญ่ เจ้าควรเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในหมู่พี่น้องของพวกเราแท้ ๆ …”
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าต้องเอ่ยเรื่องพวกนี้ด้วยเล่า ข้ามิได้หวังสิ่งเหล่านั้น” หลาวปันหันไปมองห้องรับรองชั้นสอง ส่ายหน้าเบา ๆ “เด็กคนนั้นตอนหนุ่ม ๆ เหมือนกับน้องสี่ไม่มีผิด น้องสี่จากไปกะทันหันเช่นนั้นข้าเป็นพี่ใหญ่ก็ต้องช่วยดูแลหน่อย”
ชายตาเดียวลูบหน้าตัวเอง ส่ายหน้าแล้วหาว “ช่างเถิด ๆ เจ้าอยากอยู่ที่นี่ก็อยู่ไป อีกหน่อยเด็กนั่นอาจจะได้มาเผาศพให้เจ้าก็ได้!”
เถ้าแก่หัวเราะ ‘ฮึ’ก่อนจะดีดลูกเหอเถา*[2]ในมือออกไปเหมือนกับลูกธนู ชายตาเดียวก้มตัวหลบอย่างรวดเร็ว ไหนเลยจะเหมือนกับตอนที่อยู่ในห้องส่วนตัวที่ดูสุขุมเยือกเย็น
เขาไม่กล้าอยู่ต่อ รีบใช้วิชาตัวเบากระโดดออกไปเพียงแค่โบกมือลา เถ้าแก่หัวเราะ “ไอ้เด็กบ้า กล้าพูดจาเช่นนี้กับพี่ใหญ่แล้วรึ…”
เมื่อครั้งก่อนพวกเขาพี่น้องอยู่เมืองหลวง เพื่อช่วยซ่งจื่ออานอยู่ด้วยกันสามปีแต่บัดนี้ต้องแยกจากกันแล้ว
เถ้าแก่มองไปที่ชั้นบน ดวงตาฉายแววเศร้าโศกเล็กน้อย
ในห้องรับรอง ชายหนุ่มสองคนกระโดดออกมาจากหน้าต่างตามชายตาเดียวไป ส่วนซ่งจื่ออานและอันหรูอี้นั่งอยู่ที่ขอบโต๊ะแปดเหลี่ยม ตอนนี้ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ที่นี่มิได้มีแค่คดีความอยุติธรรมของเจ้อเจียงเพียงเดียว!”
หลัวหลิงร่างกายผอมบางราวกับแบกรับภาระหนักอึ้ง คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ปล่อยให้น้ำร้อนไหลรินอาบแก้มด้วยความสะเทือนใจ
“ฝ่าบาท! ที่เจ้อเจียงมีคดีมิชอบธรรมที่ถูกตัดสินทั้งหมด67คดี! ชีวิตผู้บริสุทธิ์583ชีวิต! ทุจริตเงิน3,580,000ตำลึง!แล้วยังมีชีวิตของทหารกล้าที่ออกศึกแนวหน้าสองแสนนายอีกพ่ะย่ะค่ะ!”
เพียงแค่ได้ยินตัวเลขเหล่านี้ อันหรูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว
แม้แต่ซ่งจื่ออานที่เพิ่งนั่งลงอย่างมั่นคง ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว พยุงหลัวหลิงขึ้นมาแล้วรับกล่องไม้จากมือของเขาอย่างเงียบ ๆ
ภายในกล่องไม้เก่าปรากฏเพียงหนังสือเล่มเดียว ปกสีน้ำเงินครามตัดเส้นสีดำ บนนั้นมีตัวอักษรลึกลับเขียนไว้เป็นชื่อหนังสือ ‘บันทึกคดีมิชอบธรรม’
[1] ใช้เรียกเด็กเสิร์ฟ
[2] ลูกวอลนัท