หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 102 จุดเริ่มต้นของการสังหาร
บทที่ 102 จุดเริ่มต้นของการสังหาร
โคมไฟในตำหนักคุนหนิงเริ่มส่องสว่าง หว่านอิงมองนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า นางเป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำที่มีฐานะด้อยที่สุด ทำหน้าที่กวาดพื้นในตำหนักคุนหนิง แต่ก็เป็นเบี้ยหมากที่เหลิงตู้วางไว้ในวังเพื่อใช้ติดต่อกับเหลิงเยว่
หว่านอิงมองไปทางด้านหลังของตนเองอย่างลำบากใจ ข้างฉากดอกไม้บังตา มีสตรีในชุดเฟิ่งเผายืนนิ่งอยู่
“เหนียงเหนียง ซูหว่านเอ๋อร์ยังไม่ได้เข้าไปในเรือนเหมันต์”
เหลิงเยว่ลูบลายปักสีเงินบนฉากบังตา ไม่รู้สึกแปลกใจ “ทันทีที่นางเข้าวังมา ข้าก็ส่งคนเข้าไปในตำหนักของนางแล้ว แต่สุดท้ายกลับถูกฝ่าบาทสับเปลี่ยนออกไปจนหมด สถานที่ที่เป็นเหมือนกำแพงทองแดงและเหล็กกล้าแบบนั้น จะเข้าไปได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร”
หว่านอิงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้น… พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีเพคะฮองเฮา? จะรอต่อไปหรือหาวิธีอื่นส่งนางเข้าไป? ”
“รอ? ”
เหลิงเยว่หัวเราะเยาะ
“รอให้มันกลายเป็นความเคยชินแล้วจะยังมีโอกาสเข้าไปอีกหรือ? ถ้าคนผู้นั้นไม่ไปปรากฏตัวต่อหน้าทุกวัน โอกาสนั้นยังจะมีอยู่หรือ… ซูหว่านเอ๋อร์ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากอันกุ้ยเฟยมาก ผู้คนคงจะอิจฉานางมากสินะ? ”
ได้รับความโปรดปรานจากอันกุ้ยเฟย ได้วิ่งเข้าออกตำหนักของกุ้ยเฟย แต่ส่วนใหญ่กลับยังอยู่ในห้องของตัวเอง ในขณะที่คนอื่นกินได้เพียงรำข้าวกับผัก นางกลับได้กินอาหารเลิศรส ย่อมทำให้ผู้คนอิจฉาเป็นธรรมดา
“หากมีคนอิจฉาเพียงคนเดียว การถูกรังแกจะขึ้นได้อย่างไร? ”
“หาคนมาอีกหลาย ๆ คน” เหลิงเยว่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “คิดว่าสมัยอยู่จวนอัครมหาเสนาบดีนางจะไม่เคยถูกรังแกบ่อย ๆ บ้างหรือ? เมื่อเห็นภาพที่คล้ายคลึงกัน นางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร? ”
“ฮองเฮาทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก” หว่านอิงหัวเราะเบา ๆ จากนั้นหันไปมองนางกำนัล “เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่? ”
นางกำนัลไม่อาจลังเล หากนางไม่ตอบตกลง ตัวนางคงไม่มีทางออกจากตำหนักคุนหนิงไปได้อย่างปลอดภัย นางก้มหัวลงต่ำ ดวงตาวาบขึ้นด้วยแววไร้ความปรานี “เพคะ เหนียงเหนียง”
“อืม” เหลิงเยว่พยักหน้าอย่างพอใจ “ไปได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ไปจัดการ หากทำได้ดีจะมีรางวัลให้”
นางกำนัลรับคำและถอยออกไป เมื่อออกมาถึงนอกประตู นางเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นเงาดำบางอย่างวูบผ่านไปบนกำแพง นางตกตะลึง เมื่อมองดูอีกครั้งอย่างถี่ถ้วนกลับพบว่านั่นเป็นคน!
คนผู้นั้นคือองครักษ์ถือดาบที่อยู่แถว ๆ ตำหนักคุนหนิง ตอนนี้เขากำลังเย็นวาบ เหงื่อไหลท่วมมากกว่านางกำนัลเสียอีก ส่วนฝั่งหญิงสาว นางมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ก่อนจู่ ๆ ก็มีประกายแวววาวผ่านหางตาไป
ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ทะลุทรวงอกขององครักษ์ผู้นั้นโดยตรง!
“อ๊าก! ”
หว่านอิงกำลังจัดข้าวของอยู่ในตำหนัก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจ ทำให้นางพลอยสะดุ้งไปด้วย เหลิงเยว่ขมวดคิ้วเดินเข้ามา “เกิดอะไรขึ้นข้างนอก? ”
นางออกไปพร้อมกับหว่านอิง แต่กลับเห็นร่างที่โงนเงนอยู่บนกำแพงกระอักเลือดออกมาสองสามคำ ก่อนจะร่วงลงมาด้านในตำหนักคุนหนิง หัวลูกธนูบิดเบี้ยว ฉีกเนื้อหนัง เลือดพุ่งกระฉูด องครักษ์ที่ตาเหลือกลานจ้องมองมาทางเหลิงเยว่
เหลิงเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถอยหลังกลับทันที นางจำองครักษ์คนนี้ได้ เขาเป็นคนที่เหลิงตู้แนะนำมาให้นาง และเป็นคนที่นางส่งไปแทรกซึมในกลุ่มองครักษ์! เหลิงเยว่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ลานตำหนักเงียบเชียบเกินไป เงียบราวกับไร้ซึ่งชีวิต
“เปิดประตู! ” เหลิงเยว่เปลี่ยนสีหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว “หว่านอิง! เปิดประตู ดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกกันแน่! ”
หว่านอิงตื่นตัวขึ้นมาในตอนนั้น นางรีบไปที่ประตูวัง แต่พอประตูเปิดออก ดาบยาว 2 เล่มก็พุ่งเข้ามาขวางอยู่ที่ลำคอของนาง ชายในชุดสีน้ำตาลที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รู้ที่มาพูดกับนาง
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง วันนี้ที่ตำหนักคุนหนิง ผู้ใดกล้าก้าวออกไปแม้เพียงก้าวเดียวจะถูกประหารทันที! ”
หว่านอิงถอยหลังหนึ่งก้าว มองไปทางเหลิงเยว่ จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพิงประตูแล้วทรุดลงกับพื้น ปากพึมพำ “ที่แท้… ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… ซ่งจื่ออาน! ”
จากตำหนักคุนหนิงไปทางด้านนอก ที่ใกล้ที่สุดคือตำหนักซูฮวาและสวนต่าง ๆ นางกำนัลและขันทีที่เข้าเวรกำลังจะเข้านอน จู่ ๆ กลับได้ยินเสียงร้องตกใจดังมาจากด้านนอก
สวีเจิ้งและชิงอวิ๋นรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสได้เห็นนางกำนัลแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังบิดคอองครักษ์ในลานตำหนักจนหักพอดี ทำให้ทั้งสองตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป
“เจ้าเป็นใคร? ต้องการทำอะไร?! ”
นางกำนัลหันมามองทั้งคู่ ฉีกชุดนางกำนัลออก เผยให้เห็นชุดสีน้ำตาลที่อยู่ด้านใน เอ่ยเสียงทุ้ม “ฝ่าบาทมีบัญชา ผู้ใดลักลอบติดต่อกับขุนนางภายนอก หรือสมรู้ร่วมคิดกับคนในวังด้วยกันจะต้องถูกประหาร”
สวีเจิ้งสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ในชั่วขณะนั้น ราวกับนางเข้าใจบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา ดวงตาเปล่งประกายวาววับ และมองไปทางตำหนักไท่เหอโดยไม่รู้ตัว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… ” ริมฝีปากของสวีเจิ้งสั่นเบา ๆ “ที่แท้เขาก็วางแผนไว้แล้ว งานเลี้ยงวันเกิดนั้น มีไว้… เพื่อกระตุ้นเหลิงตู้”
นอกจากตำหนักซูฮวาก็เป็นที่อยู่อาศัยของบรรดานางสนม ข้างกายของซ่างกวนหมิงหมิงและเจิ้งจื่อหรงต่างมีสายลับอยู่คนละหนึ่ง ทั้งหมดถูกจัดการในยามหลับใหลแล้วถูกลากออกไป
เลือดจากศพย้อมถนนใหญ่ในวังจนเป็นสีแดงฉาน ซ่างกวนหมิงหมิงมองดูเลือดสดในตำหนักของตนเอง ก่อนพลันลี้ออกจากประตูตำหนัก วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในสวนของเจิ้งจื่อหรง เจิ้งจื่อหรงตกใจมาก เพราะคนผู้นั้นถูกนางกำนัลข้างกายนางแทงทะลุคอ เลือดไหลนองมากมาย ดวงตาเบิกกว้าง
“จื่อจื่อ! ” ซ่างกวนหมิงหมิงพยุงนางเข้าไปในห้อง ลูบแก้มขาวผ่องของอีกฝ่าย “อย่ากลัวไป อย่ากังวล นั่นเป็นคนชั่ว ฝ่าบาท… คงกำลังลงมือกำจัดคนของเหลิงตู้”
ฝ่ามือของเจิ้งจื่อหรงเย็นเฉียบ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พูดออกมาได้เพียงคำเดียว “เหลิงตู้… ”
“ผู้คนในวังมีมากมาย… ข้าสงสัยว่าภายนอกจะเป็นอย่างไร? ”
ซ่างกวนหมิงหมิงส่ายหน้า สายตาหม่นลง “ไม่ต้องกังวล ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะมีการแสดงใหญ่ที่ตำหนักเซียนเจิ้ง ส่วนพวกเราก็จะเหมือนเดิม ไม่ทำอะไร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไร ไม่ต้องกังวล… พวกเราจะปลอดภัย”
เจิ้งจื่อหรงรู้สึกคล้ายจมูกแสบร้อน “ข้าไม่อยากอยู่ในวัง หมิงหมิง ที่นี่ช่างหนาวเหน็บเหลือเกิน… ”
ไม่เพียงแต่พระราชวังที่หนาวเย็น กระทั่งหัวใจของผู้คน หรือแม้แต่เลือดในร่างกายก็เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งที่น่าสะพรึงกลัวไม่ต่างกัน
แต่ตรงกันข้าม เรือนเหมันต์กลับร้อนระอุเพราะเกิดเพลิงไหม้ขึ้น อันหรูอี้ไม่คิดว่าคำพูดของตนจะเป็นจริง เรือนเหมันต์ลุกไหม้ขึ้นมาจริง ๆ ไฟกองโตโหมลุกลามมาจากตำหนักด้านข้าง เพราะองครักษ์ลับกำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้หนึ่ง
ยอดฝีมือผู้โชคดีหลบพ้นคมดาบอันเป็นอันตรายถึงชีวิต เดินโซเซไปทางตำหนัก หวังจะจับตัวประกัน ด้วยทั้งในและนอกวังต่างรู้กันดีว่าอันหรูอี้ กำลังตั้งครรภ์มังกร เพียงจับตัวนางไว้ ไฉนเลยจะไม่สามารถหาทางรอดได้?
น่าเสียดายที่เขาคำนวณพลาด
เขาถูกองครักษ์ลับ 3 นายล้อมโจมตีในลานตำหนัก ดาบหนึ่งเสียบเข้าที่หัวใจ ดาบอีกเล่มตัดคอขาด ขณะที่ล้มลงได้ทำเทียนหล่น ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปทั่ว ทำให้เหตุการณ์ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก
แต่ว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
ทหารรักษาพระองค์ภายในกำแพงวังเข้าใจว่าเกิดเพลิงไหม้ จึงรีบมาดับไฟ ในความโกลาหลนั้นไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าทหารบางนายถูกแทงด้วยเข็มอย่างเงียบเชียบ พิษร้ายออกฤทธิ์ทันที ก่อนจะถูกลากออกไปอย่างรวดเร็ว
นายทหารรักษาพระองค์ 2 คนเองก็อยู่ในกลุ่มคนที่ถูกลากออกไปด้วย หลังจากนั้นจึงปรากฏบุรุษ 2 คนที่มีใบหน้าเหมือนนายทหารทั้ง 2 ราวกับแกะมาแทนที่
สายลับในวังที่ฆ่าทิ้งไปก็แล้วไป แต่สายลับที่คอยเฝ้ากำแพงวังจำเป็นต้องโผล่หน้าออกมา มิฉะนั้นเมื่อขุนนางมาเข้าเฝ้าพรุ่งนี้ จะสังเกตเห็นความผิดปกติได้ง่าย
แสงเพลิงลุกโชนขึ้นฟ้า โคมไฟที่เพิ่งจุดขึ้นเหลือเทียนเพียงหนึ่งนิ้ว ยิ่งเป็นยามเย็น เวลาที่ผ่านไปยิ่งเชื่องช้า ผู้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลไปจากเสาตำหนักเฟยซวงเบิกตากว้าง
“นี่… ” อันหลิงหลง รู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเป็นคนที่เหลิงเยว่ ส่งมาสังหารนาง
“จื่ออานกำลังกำจัดอิทธิพลของเหลิงตู้” อันหรูอี้เดินเข้ามาจากด้านหลัง “เหลิงตู้ผู้นี้หยิ่งผยองใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำลายฟ้าทำร้ายแผ่นดิน ในฐานะจอมกษัตริย์ผู้ทรงธรรมย่อมไม่ยอมให้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่”
อันหลิงหลงเบิกตากว้างอย่างงุนงง “แล้วเหลิงเยว่เล่า… ”
อันหรูอี้นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เหลิงเยว่ต้องสิ้นชีวิตลงอย่างแน่นอน จงมองดูทุกสิ่งตรงหน้านี้ให้ดี จดจำราตรีนี้ไว้ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสังหารเท่านั้น”