หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 100 ตำหนักเฟยซวง
บทที่ 100 ตำหนักเฟยซวง
ยังเหลืออีก 6 ชั่วยามกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้
ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่บนฟ้า ความอบอุ่นแผ่ซ่าน ปลายฤดูใบไม้ผลิ วันที่แดดแรงราวกับไฟใกล้จะมาถึง
กำแพงวังสีแดงชาดเปล่งประกายวับวาว พืชพรรณสองข้างทางเขียวชอุ่ม กรอบหน้าต่างฉลุลายมงคลอุ่นขึ้นแต่ไม่ถึงกับร้อนลวกมือ นิ้วมือขาวผ่องดูเหมือนจะโปร่งแสง
สวีเจิ้งเดินออกจากตำหนักซูฮวา เดินเล่นกับชิงอวิ๋นในอวี้ฮว่าหย่วน มองดอกไม้ที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ความงดงามหลากสีสันทำให้จิตใจของนางอ่อนโยนยิ่งขึ้น
“วันนี้อากาศดีจริง ๆ ” สวีเจิ้งยืดเส้นยืดสาย “ถ้าได้ฝึกหอกที่นี่สักยกคงจะสนุกมาก! ”
ชิงอวิ๋นนวดไหล่ให้นาง มองดอกไม้ข้าง ๆ แล้วหันมายิ้ม “เช่นนั้นเหนียงเหนียงต้องการให้หม่อมฉันไปนำหอกพู่แดงมาให้หรือไม่เพคะ? ”
สวีเจิ้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา “ได้ ไปเอามาเถิด”
ชิงอวิ๋นร้องรับ แล้วหมุนตัววิ่งเข้าไปในวังซูฮวา สวีเจิ้งไม่มีอะไรทำ จึงไล่คนรอบข้างออกไป แล้วเดินเล่นคนเดียวในอุทยานหลวง
ทันใดนั้นนางก็เห็นเด็กคนหนึ่ง เป็นเด็กที่ถือตะกร้าไม้ไผ่และกำลังกินขนม
ซูหว่านเอ๋อร์กำลังเดินมาทางนี้ สวีเจิ้งจำนางได้ เด็กน่ารักเรียบร้อยมักเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน สวีเจิ้งอดไม่ได้ที่จะเดินออกจากหลังภูเขาจำลอง แต่ยังไม่ทันคิด ซูหว่านเอ๋อร์ก็ตะโกนขึ้นมาดังลั่น “พี่สาว! ”
สวีเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะหมุนตัวจากไป แต่หางตากลับเหลือบไปเห็น ‘พี่สาว’ คนนั้นเดินออกมาเสียก่อน
พี่สาวคนนั้นเผยให้เห็นเพียงเงาร่างบางเพรียว ไม่เห็นใบหน้า นางสวมชุดนางกำนัล เดินเข้าไปหา แล้วลูบศีรษะของซูหว่านเอ๋อร์อย่างอ่อนโยนพลางกล่าว “หว่านเอ๋อร์เด็กดี เรื่องที่พี่สาวให้เจ้าทำเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ซูหว่านเอ๋อร์ตอบอย่างหดหู่ “ยังไม่ได้เลยเจ้าค่ะ ไม่มีใครให้ข้าเข้าไปในเรือนเหมันต์ เพียงแต่บอกว่าให้หม่อมฉันไปนั่งที่นั่นเมื่อมีโอกาสเท่านั้นเจ้าค่ะ”
พี่สาวส่งเสียง ‘อืม’ ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างลังเล “นางสงสัยเจ้าแล้วหรือ? ”
ซูหว่านเอ๋อร์กะพริบตา “สงสัยอะไรหรือ? ”
คนถามหยุดไปชั่วครู่ แล้วหัวเราะออกมาอย่างเขินอายว่า “ไม่มีอะไรหรอก พี่เพียงเสียดายแทนเจ้า ถ้าอันกุ้ยเฟยให้เจ้าเข้าเรือนเหมันต์ เจ้าก็จะไม่ต้องลำบากอยู่ข้างนอกอีก… ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ซูหว่านเอ๋อร์ยิ้มอย่างไร้เดียงสา “แค่อันกุ้ยเฟยส่งอาหารมาให้ข้าทุกวัน ข้าก็ไม่ลำบากแล้ว! ”
พี่สาวรายดังกล่าวลูบผม มองรอยยิ้มของซูหว่านเอ๋อร์แล้วถอนหายใจ พูดต่อว่า “ซูหว่านเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้ พี่ทำเพื่อเจ้า แต่พี่เป็นคนของฝ่ายฮองเฮา เจ้าก็รู้ ฮองเฮากับอันกุ้ยเฟยไม่ลงรอยกัน ถ้านางรู้ว่าเจ้าเป็นน้องสาวของพี่ นางคงไม่ส่งอาหารมาให้เจ้าอีกแน่”
ซูหว่านเอ๋อร์ดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย “พี่สาว ข้ารู้สึกว่าอันกุ้ยเฟยไม่น่าจะเป็นคนคับแคบขนาดนั้นนะ… ”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที “พี่กำลังช่วยเจ้าอยู่นะ เจ้าไม่ฟังคำพูดพี่แล้วหรือ? ”
ซูหว่านเอ๋อร์ตกใจ ดวงตาแดงก่ำในทันที “ข้าเข้าใจแล้ว พี่สาว… ข้าจะไม่พูด ข้าสัญญาว่าจะไม่พูดเด็ดขาด”
คนโตกว่าส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างรำคาญ หันหลังจะเดินจากไป แต่ไม่รู้ทำไมจึงหยุดลงอีกครั้ง เสียงของนางอ่อนโยนขึ้น “ซูหว่านเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กดี ต่อไปให้ติดต่อกับอันกุ้ยเฟยให้มาก หากเจ้าได้เข้าเรือนเหมันต์ พี่สาวจะพาเจ้าไปพบท่านพ่อและท่านแม่”
ซูหว่านเอ๋อร์พยักหน้ารัว ๆ
อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น นางก็รีบก้มหน้าเดินจากไป ซูหว่านเอ๋อร์เองก็ไม่ได้อยู่ต่อนานนัก นางคว้าขนมมากัดคำหนึ่ง อารมณ์ก็กลับมาดีอีกครั้ง จึงจากไปอย่างร่าเริง
หลังจากนั้นไม่นาน สวีเจิ้งก็เดินออกมาจากที่ซ่อน แล้วหันหลังกลับ เสียงหัวเราะเย็นชาแผ่วเบาลอยไปยังมุมอับ
“เหลิงเยว่เอ๋ยเหลิงเยว่ เจ้าช่างทำทุกวิถีทางจริง ๆ แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็ยังใช้ประโยชน์… หึ”
ซ่งจื่ออานให้เจี่ยอีส่งเซี่ยเหิงออกจากวังหลวง จากนั้นก็ส่งคนไปยังเรือนเหมันต์เพื่อส่งข่าว ว่าค่ำนี้จะให้คนมาเชิญอันหรูอี้เข้าตำหนักเฟยซวง
“ฟ้าถึงคราวเปลี่ยนแล้ว” อันหรูอี้มองเงาร่างคนส่งข่าวที่กำลังจากไป แล้วหัวเราะเบา ๆ กับชิวจื้อ “คืนนี้กูกูจะไม่อยู่เป็นเพื่อนข้าแล้วหรือ? ”
ชิวจื้อยกมือขึ้นจัดผมเกล้าของตน จากนั้นดึงปิ่นทองรูปผีเสื้อขนาดใหญ่ออกจากมวยผม นิ้วมือลูบไล้ปลายแหลมคมของปิ่น ผลิยิ้มบาง ๆ “เพื่อป้องกันความผิดแผนในวันพรุ่งนี้ คืนนี้พวกเราต้องจัดการคนกลุ่มหนึ่งก่อน”
อันหรูอี้มองดูปิ่นปักผมของนาง ในใจรู้สึกหวาดหวั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ ขึ้นมา “กูกู ปิ่นปักผมอันนี้คงไม่ใช่อาวุธของท่านกระมัง”
ชิวจื้อมองนางแวบหนึ่ง แล้วปักปิ่นเข้าไปในผม พยุงนางเดินออกไปยังศาลาด้านนอก “เหนียงเหนียงทรงมีพระครรภ์แล้ว ไม่ควรฟังเรื่องนองเลือดเช่นนี้”
“คืนนี้พวกองครักษ์ลับในเรือนเหมันต์จะลงมือกันใช่หรือไม่” อันหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ชิวจื้อพยักหน้า “ดังนั้นคืนนี้องค์จักรพรรดิถึงได้รับพระองค์ไปยังตำหนักเฟยซวง ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันด้วย อย่างไรเสียคนที่พวกเราต้องจัดการก็ล้วนมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา เหลิงตู้หาคนพวกนี้มาก็ยุ่งยากไม่น้อย หากในระหว่างต่อต้านจะจับตัวประกัน พระองค์จะตกอยู่ในอันตรายในที่สุด”
อันหรูอี้อดยิ้มไม่ได้ “เขาคิดจะควบคุมวังหลวง แต่ไม่รู้ว่ายังมีผู้ที่เหนือกว่าอีก คนที่ท่านลุงตาเดียวฝึกฝนมายังมีฝีมือเหนือชั้นกว่า”
“ฮ่า ๆ หากผู้อาวุโสตาเดียวได้ยินคำพูดของพระองค์ คงจะภาคภูมิใจเป็นแน่” ชิวจื้อหัวเราะเบา ๆ
สองคนค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ศาลา หลิวลวี่ได้เตรียมชาและขนมไว้แล้ว อันหรูอี้เพิ่งจะเอนกายลงบนเก้าอี้นุ่ม ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาของนาง
อันหลิงหลงเพิ่งออกมาจากตำหนักด้านข้าง คงจะคิดออกมาอาบแดดสักหน่อย แต่ไม่คิดว่าพอออกมากลับเจอกับอันหรูอี้เข้า ทั้งร่างของนางแข็งทื่อ จึงหันหลังกลับโดยสัญชาตญาณ
“หยุดอยู่ตรงนั้น! ” อันหรูอี้เรียกนางไว้ “จะหลบอะไร? มาดื่มยาซะ ถ้ามาตายในเรือนเหมันต์ของข้า ข้าก็ขี้เกียจจะฝังเจ้า”
อันหลิงหลงรู้สึกเลือดพลุ่งพล่าน ใบหน้าแดงก่ำ นางกระชากผ้าคลุมไหล่พลางหมุนตัว สุดท้ายก็ยังเม้มปากเดินเข้ามาในศาลา
หลิวลวี่ไม่สนใจมองนาง เถาหงจึงกล่าว “หลิวลวี่ พวกเราไปเอายากันเถอะ”
ชิวจื้อมองสาวใช้ทั้งสอง ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา สาวใช้ที่คอยปกป้องนายหญิงของนางนั้นอารมณ์รุนแรง ความเป็นศัตรูที่มีต่ออันหลิงหลงเข้มข้นจนแทบจะกลั่นออกมาได้
อันหรูอี้กวาดตามองอันหลิงหลง คิดว่าเมื่อวานคงได้รับบทเรียนจากการเฉียดตายมาจริง ๆ จึงดูหมดเรี่ยวแรงไปโดยสมบูรณ์ บนใบหน้ามีแผลที่ถูกทายาไว้ ดูขาวซีดมาก
ในเมื่อรู้ผลลัพธ์แต่แรก ไยต้องทำเช่นนั้นมาแต่ต้น
ความคมกล้าในตัวอันหลิงหลงถูกเหลิงเยว่ทำลายไปเกือบหมดแล้ว เมื่อวานยังถูกซ่งจื่ออานทำให้ตกใจอีก ยามนี้แม้แต่จะพูดก็แทบไม่อยากจะพูด จึงไม่แปลกที่หมอหลวงโจววินิจฉัยว่านางเป็น ‘โรคซึมเศร้า’
อันหรูอี้ไม่พูดจา อันหลิงหลงก็ไม่อยากชวนสนทนา ฝ่ายหนึ่งนอนพิงอย่างสบายอารมณ์ อีกฝ่ายนั่งแข็งทื่ออย่างอึดอัด
ชิวจื้อก็ขี้เกียจจะสนใจนาง เพียงรอให้หลิวลวี่รีบนำยามาให้ เมื่อคนดื่มยาแล้วค่อยจากไป
หลิวลวี่ไม่มาเสียที อันหลิงหลงเริ่มนั่งไม่ติด หลังของนางเริ่มปวดเมื่อย ทว่าอันหรูอี้กลับพลิกตัวในยามนั้น กล่าวกับนางว่า “กลับไปก็จัดของสักหน่อย คืนนี้เจ้าจะไปพักที่ตำหนักเฟยซวงพร้อมข้า”
ตำหนักเฟยซวง?
นั่นมิใช่ตำหนักบรรทมส่วนพระองค์ของฝ่าบาทหรอกหรือ?!
อันหลิงหลงมองนางอย่างระแวดระวัง แล้วถามอย่างแปลกใจ “…เพราะเหตุใดกัน? ”
อันหรูอี้กลอกตาอย่างเกียจคร้าน “เพราะคืนนี้เรือนเหมันต์จะเกิดเพลิงไหม้ หากเจ้าไม่กลัวถูกเผาตาย อยากจะอยู่ต่อก็ตามใจ”
อันหลิงหลงเม้มริมฝีปาก คำเตือนของซ่งจื่ออานยังคงดังก้องในหูราวกับเสียงฟ้าร้อง นางไม่อยากเสี่ยงโชคร้ายในเวลานี้ “ข้ากลับไปที่ตำหนักชูฮวาก็พอ”
อันหรูอี้หัวเราะเยาะ เลิกคิ้วมองนางราวกับมองคนโง่ “โดนนางหลอกมาหลายครั้งแล้วยังไม่รู้จักใช้สมอง เจ้าคิดหรือว่าออกจากเรือนเหมันต์ไปตอนนี้ เหลิงเยว่จะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตเดินไปถึงตำหนักชูฮวา? ”