หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 946 ล่อเสือออกจากถ้ำ ตะลุมบอน (2)
ตอนที่ 946 ล่อเสือออกจากถ้ำ ตะลุมบอน (2)
“อวิ๋นตูหรือ” เซ่าจงชะงัก สีหน้าไม่น่ามองขึ้นมาทันใด “หากปล่อยให้พวกเขาโจมตีอวิ๋นตู…”
สือจิ้งเซียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “รอดูไปก่อน หากหนานกงไหวไม่ได้ส่งคนไปสกัดเอาไว้ ไม่แน่ข้าอาจจะต้องไปด้วยตนเองสักครั้ง หากปล่อยให้พวกเขาโจมตีอวิ๋นตู จะไม่เป็นการดีต่อพวกเรา”
เซ่าจงครุ่นคิด ถอนหายใจออกมา “ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว”
บนเนินเขาห่างออกไปจากหุบเขาฟู่อวิ๋น เว่ยจวินมั่วมองไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่เอ่ยวาจาใด จูเหมิงควบม้าวิ่งเข้ามารายงาน “รายงานคุณชาย หนานกงไหวไปแล้วขอรับ”
“ไปแล้วอย่างนั้นหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว
จูเหมิงยิ้มพลางเอ่ย “เดิมทีหนานกงไหวยังคงลังเลอยู่บ้าง ปักหลักอยู่ในระยะยี่สิบลี้ห่างออกไปจากเมืองซื่อหยาง เพียงแต่เมื่อครู่ไม่รู้ว่าได้ข่าวอันใดจากเมืองเผิง จึงออกคำสั่งถอนกองกำลังทั้งหมด มุ่งหน้าไปยังเมืองเผิงแล้วขอรับ”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว “หนานกงชวี่ทำอันใด”
จูเหมิงเอ่ย “เมื่อครู่แม่ทัพเฉินอวี้ส่งข่าวมา บอกว่าคุณชายหนานกงนำทัพมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นตูแล้วขอรับ”
เงียบไปชั่วครู่ คุณชายเว่ยจึงเอ่ยเสียงเรียบ “กว่าหนานกงชวี่จะฉลาดขึ้นมาสักครั้ง”
“…” คุณชายหนานกงฉลาดมาตลอดมิใช่หรือ ทุกครั้งที่เขาติดตามลงสนามรบเมื่อกลับมาแล้วมักสงสัยในสมองของตนเองเสมอ เมื่อวานเห็นคุณชายหนานกงใช้น้ำล้อมป้องกันเพลิงด้วยท่าทางนิ่งสงบ เขาแทบฉี่ราด ไยในสายตาของคุณชายเว่ย ราวกับว่าคุณชายหนานกงโง่เขลามาตลอดเล่า
“เฉินซิวและเซวียปินกลับมาแล้วหรือไม่” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม
“กลับมาแล้ว” เซวียปินใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น เสื้อผ้ามีคราบเลือดเกรอะกรัง เห็นได้ว่าเพิ่งออกมาจากสนามรบ
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว มองดูท่าทางน่าเวทนาของเขา เอ่ยถาม “เป็นเช่นไรบ้าง”
เฉินซิวยิ้มขมขื่น เอ่ย “ด้านนอกหุบเขาฟู่อวิ๋นนั้นเล็กเกินไป ไม่อาจบุกเข้าไปได้ขอรับ” ต่อให้พวกเขามีจำนวนมากและเก่งกาจเพียงใด พื้นที่เล็กน้อยเพียงนั้น แม้แต่คนยังไม่อาจเบียดเข้าไปได้เจ้าจะมีวิธีการเช่นไร ถึงสงครามจะกำลังคุกรุ่น แต่ความจริงแล้วทหารส่วนใหญ่ทำได้เพียงเฝ้าอยู่ด้านนอกมองดูความครึกครื้นเพียงเท่านั้น
เว่ยจวินมั่วย่นคิ้ว เอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าไม่ต้องการรออีกต่อไปแล้ว”
เซวียปินกะพริบตามองไปยังคุณชายเว่ย “ขอคุณชายเว่ยช่วยชี้แนะด้วย”
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองเขาเงียบๆ “เรียกกองกำลังกลับ บุกโจมตีเมืองซื่อหยาง”
“หา” เซวียปินใบหน้ามึนงง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นกำลังเขียนว่า ‘ท่านเอ่ยสิ่งใดกัน’ อยู่บนใบหน้า
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเย็น “หนานกงไหวไปแล้ว ทหารในเมืองซื่อหยางมีอยู่ไม่มาก ในเมื่อยังไม่อาจโจมตีได้ ในเวลาสั้นๆ นี้ก็โจมตีเมืองซื่อหยางไปพลางๆ ก่อน”
เซวียปินลูบปลายจมูก ตัดสินใจว่าไม่เอ่ยปากเสียจะดีกว่า แม้ว่าในใจเขาจะไม่เข้าใจนักว่าคุณชายเว่ยมีแผนเยี่ยงไร ทำไปเรื่อยโดยไม่มีการวางแผนเช่นนี้จะไม่มีปัญหาจริงหรือ ท่านมั่นใจว่าไม่ได้เอาชีวิตของท่านอ๋องมาเล่นใช่หรือไม่
มองใบหน้างุนงงของเขา เฉินซิวถอนหายใจออกมา เอ่ย “หนานกงไหวเพิ่งไป หากพวกเราโจมตีเมืองซื่อหยาง อีกทั้งเมืองเผิงยังมีแม่ทัพเฉินคอยขัดขวางเอาไว้ นั่นหมายถึงว่าหุบเขาฟู่อวิ๋นฝั่งนั้นจะต้องโดดเดี่ยว หากนานไปไม่อาจเข้าโจมตีได้ ขุนพลของอีกฝ่ายก็ไม่แน่ว่าจะยืนหยัดต่อไป อย่างไรเสีย…ทหารเหล่านั้นก็ต้องกินอาหาร นอกจากนี้…” แสงสว่างวาบขึ้นมาในใจของเฉินซิว อดไม่ได้รีบเอ่ยขึ้น “คุณชาย หากพวกเราทำให้พวกเขาเข้าใจว่าพวกเราช่วยเยี่ยนอ๋องออกมาได้แล้วเล่า…”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ มองเฉินซิวด้วยสายตาชื่นชม เฉินซิวชะงัก รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมามากทีเดียว
เซวียปินพยักหน้า มีท่าทีได้รับคำชี้แนะ ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ย “เอ่อ เราต้องรอก่อนหรือไม่ หนานกงไหวเพิ่งไป เกิดเขารีบหันกลับมา…”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เที่ยงคืนคืนนี้ บุกโจมตีเมือง”
มีเวลามากเพียงนี้ เพียงพอให้หนานกงไหวตามหนานกงชวี่ออกไปได้ไกลแล้ว ถึงตอนนั้นเขามารู้สึกเสียใจภายหลังอยากกลับมาก็คงต้องดูว่าเฉินอวี้จะยอมหรือไม่ ส่วนเฉินอวี้เพียงคนเดียวจะสามารถรับมือกับเซ่าจง สือจิ้งเซียง และหนานกงไหวทั้งสามทางพร้อมกันได้หรือไม่ ยามนี้ยังไม่ได้อยู่ในการไตร่ตรองของเว่ยจวินมั่ว เป้าหมายเดียวของเขาในตอนนี้คือการช่วยเสด็จลุงและอู๋สยาออกมาโดยเร็วที่สุด
“รายงานท่านแม่ทัพ กองกำลังเฉินโจวได้ถอนกำลังกลับไปแล้วขอรับ” ท่ามกลางความวุ่นวาย นายทหารคนหนึ่งรีบวิ่งมารายงาน
นายทหารชั้นสูงที่กำลังจับจ้องไปยังหุบเขาตรงหน้าชะงักไป รีบหันกลับมา เอ่ย “ถอนทัพกลับไปแล้วอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้เยี่ยงไร” เว่ยจวินมั่วจะละทิ้งการช่วยเหลือเยี่ยนอ๋องได้เยี่ยงไร
“จริงขอรับ” นายทหารเอ่ยยืนยัน “ท่านแม่ทัพลองดู…”
แม้ว่าที่ตรงนี้จะไม่สามารถมองเห็นด้านหลังของกองทัพฝ่ายศัตรูได้ แต่มองเห็นว่านายทหารที่ก่อนหน้านี้ยืนเฝ้าจับตามองการสู้รบตรงหน้าได้เริ่มทยอยถอยออกไปแล้ว นายทหารชั้นสูงรู้สึกงงงันขึ้นมาทันใด สายตามองตรงไปยังหุบเขาฟู่อวิ๋นตรงหน้า “หรือว่า…พวกเขาจะลอบช่วยเหลือเยี่ยนอ๋องออกมาได้แล้ว”
“คงเป็นไปไม่ได้กระมัง” กุนซือที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก “หุบเขาฟู่อวิ๋นเป็นสถานที่อันใดพวกเราเองก็เคยได้ยินมาก่อน ต่อให้มีคนเข้าไปได้ อยากพาตัวเยี่ยนอ๋องออกมาเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น…เว่ยจวินมั่วที่มีวรยุทธ์สูงส่งก็ยังอยู่ข้างนอก ผู้ใดจะช่วยเยี่ยนอ๋องออกไปได้เล่า”
นายทหารชั้นสูงยังคงไม่วางใจ รู้สึกกระวนกระวาย
“ไปสืบมาว่าเว่ยจวินมั่วถอนทัพไปที่ใดแล้ว”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
“เช่นนั้น ท่านแม่ทัพ หุบเขาฟู่อวิ๋น…”
“ดำเนินต่อไป” นายทหารชั้นสูงเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ว่าอย่างไร ต้องรีบเปิดหุบเขาฟู่อวิ๋นให้ได้”
ครึ่งชั่วยามต่อมา นายทหารที่ไปสืบข่าวโซซัดโซเซกลับมาด้วยใบหน้าซีดขาว “ท่านแม่ทัพ แย่แล้วขอรับ”
นายทหารชั้นสูงผู้นั้นหัวใจหนักอึ้งขึ้นทันใด “ค่อยๆ ว่ามา”
“เยี่ยนอ๋อง…เยี่ยนอ๋องถูกช่วยออกไปได้แล้วจริงๆ ขอรับ คุณชายเว่ยออกคำสั่งให้ทหารทั้งหมดกลับไปยังค่ายใกล้เมืองซื่อหยาง คนของเราเห็นกับตา คุณชายเว่ยคุ้มกันคนคนหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายเยี่ยนอ๋องลงมาจากเขาเข้าไปในกองทัพ ตอนนี้ที่นี่เหลือทหารไว้เพียงสองสามหมื่นเท่านั้นขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนายทหารชั้นสูงพลันไม่น่ามองขึ้นมา “เขาคิดจะทำอันใด”
“ดูเหมือนว่า…กำลังจะโจมตีซื่อหยาง”
“ท่านแม่ทัพหนานกงเล่า” นายทหารชั้นสูงลุกขึ้นมาอย่างร้อนรน กุนซือด้านข้างรีบเอ่ยเตือนเสียงเบา “ท่านแม่ทัพลืมแล้วหรือ แม่ทัพใหญ่นำกำลังไปยังเมืองเผิงแล้ว ท่านแม่ทัพ ตอนนี้เราจะทำเยี่ยงไรดี”
นายทหารชั้นสูงส่ายศีรษะอย่างหาได้ยากยิ่ง มองนายทหารที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า เอ่ยถาม “พวกเจ้ามั่นใจหรือไม่…ว่าคนผู้นั้นคือเยี่ยนอ๋องจริงๆ”
นายทหารลังเลชั่วครู่ ส่ายศีรษะ แน่นอนว่าสายสืบของพวกเขาไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ เพียงเห็นว่ามีรูปร่างลักษณ์คล้ายเยี่ยนอ๋องเท่านั้น
นายทหารชั้นสูงเงียบไปนาน เอ่ยเสียงเข้ม “บางที…นี่อาจเป็นแผนของเว่ยจวินมั่ว ต้องการให้พวกเรากระวนกระวายใจ”
“แต่ว่า…” กุนซือด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ยามนี้แม่ทัพหนานกงนำกำลังทหารไปแล้ว เมืองซื่อหยางเองก็ไม่มีทหารประจำการมากเพียงนั้น หากพวกเราไม่อาจบุกเข้าหุบเขาฟู่อวิ๋นได้…”
“หุบปาก” นายทหารชั้นสูงผู้นั้นตะคอก เอ่ยเสียงเข้ม “เพียงสังหารเยี่ยนอ๋อง ก็สามารถแก้ไขทุกอย่างได้แล้ว”