หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 810 ไม่สนใจเป็นแม่ม่ายดำ (1)
ตอนที่ 810 ไม่สนใจเป็นแม่ม่ายดำ (1)
หลิ่วหันที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังหน้ามุ่ยขึ้นมาทันที คิดว่าข้าจะชวนเจ้าไปชมโคมไฟด้วยหรืออย่างไรกัน ข้าไม่ได้มีรสนิยมชอบเด็กหนุ่มอายุน้อยเสียหน่อย
ในเมื่อเจ้านายไม่ต้องการตน สหายร่วมงานก็ทิ้งไปอีกคน หลิ่วหันจึงตัดสินใจเดินเที่ยวงานโคมไฟคนเดียว
หนานกงมั่วจูงมือเว่ยจวินมั่วพลางเดินไปข้างหน้าท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ ทว่าชายหนุ่มข้างกายที่ถูกนางจูงมืออยู่กลับพยายามแหวกผู้คนรอบข้างนางออกด้วยความเคยชิน คู่ชายหญิงที่มีเสน่ห์ต้องตาต้องใจท่ามกลางงานโคมไฟย่อมดึงดูดสายตาผู้คนอย่างง่ายดาย ผู้ชายที่เดินสวนทางต่างพากันอิจฉาคุณชายเว่ยที่มีหญิงสาวงดงามเช่นนี้เดินเคียงข้าง ส่วนเหล่าสตรีก็พากันอิจฉาหนานกงมั่วที่มีชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายไร้ที่ติเช่นนี้คอยดูแล
“เอ๋ ไปดูตรงโน้นกัน”
หนานกงมั่วจูงมือของเว่ยจวินมั่วเดินไปถึงร้านแผงลอยตรงเบื้องหน้า ก่อนจะยิ้มพลางหันมาถามคนด้านข้าง “ท่านเคยเล่นสิ่งนี้หรือไม่”
การเล่นที่แสนจะง่ายและธรรมดา ใช้ห่วงไม้ไผ่โยนคล้องสิ่งของ หากคล้องโดนของชิ้นไหนก็เอาไปได้เลย ถึงแม้จะเป็นการเล่นที่ออกจะธรรมดาสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่หนานกงมั่วคิดว่าเว่ยจวินมั่วต้องไม่เคยเล่นอย่างแน่นอน
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางจ้องมองด้วยสีหน้าสงสัย
เจ้าของร้านเห็นว่าทั้งสองดูแตกต่างจากชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็รู้ได้เลยทันทีว่าลูกค้ารายใหญ่มาแล้ว จึงรีบรุดมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายและคุณหนู คุณชายคล้องของขวัญสักชิ้นให้แม่นางหรือไม่ วงละห้าอีแปะ ซื้อสิบวงแถมสองวงขอรับ”
เว่ยจวินมั่วกวาดสายตามองดูของรางวัลที่เรียงรายอยู่บนพื้น คิ้วเข้มของเขาก็ขมวดแน่น “เจ้าชอบหรือ” เห็นได้ชัดว่าของรางวัลเหล่านี้ไม่เข้าตาคุณชายเว่ยเลยแม้แต่น้อย ของรางวัลที่เรียงรายอยู่บนพื้นล้วนเป็นเครื่องประดับที่ถูกประดับด้วยลูกปัดที่ไม่โดดเด่นและแสนจะธรรมดา กำไลข้อมือที่วางอยู่ไกลที่สุดคงจะราคาแพงที่สุดในร้าน แต่ราคาก็ไม่ถึงห้าสิบตำลึงอยู่ดี คุณชายเว่ยไม่คิดจะให้หนานกงมั่วสวมใส่เครื่องประดับราคาถูกเช่นนี้อยู่แล้ว
“ชอบหรือไม่ไม่สำคัญ ที่ออกมาก็เพื่อจะเล่นสิ่งเหล่านี้”
“ถูกต้องๆ แม่นางท่านนี้พูดถูก” เจ้าของร้านแผงลอยรีบเห็นด้วยทันที เห็นได้ชัดว่าเขาชอบคุณชายและคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์เป็นที่สุด เพราะสำหรับคนเหล่านี้แล้ว เงินเพียงไม่กี่อีแปะเป็นเพียงเศษเงินเล็กน้อย เล่นเพื่อความสนุกเท่านั้น แต่สำหรับเจ้าของร้านแผงลอยเช่นเขา ลูกค้าเช่นนี้ยิ่งเยอะก็แสดงว่ากำไรก็จะยิ่งมากขึ้น “คุณชายดูสิ กำไลนั่นละเอียดประณีตงดงามแค่ไหน วงนั้นราคาร้อยกว่าตำลึงเชียวนะขอรับ”
หนานกงมั่วฉีกยิ้มมุมปากพลางครุ่นคิดในใจ ของชิ้นนั้นนางสามารถใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงซื้อได้เป็นโหล แต่ทว่า…เมื่อสังเกตเห็นคุณชายที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็โยนห่วงไม้ไผ่หมดเป็นกองแต่กลับไม่ได้ของรางวัลเสียที ต่างคนต่างฉุนเฉียวเป็นฟืนเป็นไฟจะเล่นรอบใหม่ให้ได้ หนานกงมั่วจึงตัดสินใจหยิบเงินย่อยออกมาพวงหนึ่ง เจ้าของร้านแผงลอยเห็นแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที จากนั้นจึงรีบนำเงินไปชั่ง เศษเงินย่อยน้ำหนักราวหนึ่งเฉียน[1]พอดี หนานกงมั่วเอ่ย “ซื้อหมดเลยก็แล้วกัน”
“ได้เลยขอรับ แม่นาง นี่ห่วงของท่าน” เจ้าของร้านแผงลอยรีบยื่นห่วงไม้ไผ่ให้นางด้วยความดีใจ ทั้งยังแถมให้นางอีกด้วย
หนานกงมั่วรับห่วงไม้ไผ่จากเจ้าของร้านแผงลอย จากนั้นก็เล็งไปยังเครื่องประดับผมไข่มุกแล้วโยนห่วงออกไป
“เอ๋? เบี้ยวแล้ว” ห่วงไม้ไผ่ตกลงไปบนพื้นกระเด็นไปยังพื้นที่ว่าง เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย เป็นไปไม่ได้เลยที่หนานกงมั่วผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธจะโยนพลาด ทั้งที่เป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดายสำหรับนาง เมื่อเห็นหนานกงมั่วยื่นห่วงไม้ไผ่ที่เหลือให้เขา คุณชายเว่ยก็รับห่วงไม้ไผ่มาพลางเตรียมจะโยนคล้องกำไลข้อมือวงที่ไกลที่สุด แต่กลับถูกหนานกงมั่วดึงไว้ก่อน “ห้ามโกง”
คุณชายเว่ยเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางเอ่ย “อยากได้ชิ้นไหน”
หนานกงมั่วยิ้มกว้างพลางชี้ไปยังของรางวัลที่อยากได้ “ชิ้นนี้ ชิ้นนั้น แล้วก็ชิ้นโน้น”
คุณชายเว่ยโยนห่วงออกไป แต่ห่วงไม้ไผ่กระเด็นไปค่อนข้างไกลเป็นอย่างมาก
โยนอีก ก็กระเด็นออกไปอีก
โยนอีกครั้ง กลับคล้องโดนแค่ครึ่งเดียว ถือว่าไม่ได้
เจ้าของร้านแผงลอยมองดูทั้งสองด้วยสีหน้ายินดี ดูท่าแล้วสองคนนี้คงจะไม่เคยเล่นมาก่อน เมื่อผู้คนรอบๆ เห็นคุณชายรูปงามกำลังโยนห่วงไม้ไผ่ทีละวงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่างก็พากันหยุดฝีเท้าลงพลางล้อมวงเข้ามายืนดูเขาเล่น
เมื่อโยนอีก รอยยิ้มเจ้าของร้านก็ค่อยๆ เลือนหายไปอยากเห็นได้ชัด ห่วงไม้ไผ่แขวนลงบนเครื่องประดับลูกปัดระย้าที่ทำมาจากไข่มุกอย่างพอดิบพอดีโดยที่ไม่สั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
จู่ๆ สีหน้าเจ้าของร้านแผงลอยก็ลังเลขึ้นมาชั่วขณะ ถึงแม้ของรางวัลชิ้นนั้นจะไม่ได้แพงมากมาย แต่ก็ราคาราวครึ่งตำลึงเห็นจะได้ เพราะเขาโชคดีหรืออย่างไรกัน แมวตาบอดเจอหนูตายหรือ
เมื่อคล้องโดนของรางวัล สีหน้าของคุณชายเว่ยก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย ราวกับว่ามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างไรอย่างนั้น โยนห่วงออกไปอีกครั้ง เครื่องประดับก็ถูกคล้องอีกจนได้
เมื่อห่วงถูกโยนออกไป ก็ยังคงคล้องโดนของรางวัลอีกเช่นเคย
ผู้คนที่มุงดูต่างก็พากันชมไม่ขาดสาย ของรางวัลร้านนี้สวยงามเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะไม่แพงมากมาย ทว่าเหล่าบรรดาหญิงสาวต่างก็ถูกใจไม่น้อย แต่ของรางวัลกลับคล้องยากไม่น้อย แต่ละห่วงกว้างกว่าของรางวัลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากห่วงไม้ไผ่โดนของรางวัล ห่วงก็จะกระเด็นออกมาทันที บางคนเล่นไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้ของรางวัลแม้แต่ชิ้นเดียว คุณชายที่พาภรรยา ว่าที่ภรรยา น้องสาวหรืออันใดเหล่านี้มาก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่ควรทำให้แม่นางทั้งหลายผิดหวังเช่นนี้ เป็นบุรุษจะให้กลับมือเปล่าไปทั้งอย่างนี้ได้เช่นไรกัน
ยามนี้หัวใจของเจ้าของร้านราวกับถูกบาดอย่างเจ็บปวดก็ไม่ปาน ดูจากพื้นที่ตั้งของรางวัลที่โล่งเป็นวงกว้างก็รู้ได้เลยทันทีว่าสภาพจิตใจเจ้าของร้านแผงลอยเป็นเช่นไร
หนานกงมั่วยืนหอบของรางวัลราคาถูกอยู่ข้างๆ เว่ยจวินมั่วด้วยสีหน้าอารมณ์ดี เว่ยจวินมั่วถือห่วงไม้ไผ่สามห่วงสุดท้ายแล้วโยนห่วงออกไปอย่างใจเย็น ผู้คนที่ยืนมองต่างก็พากันร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น ห่วงไม้ไผ่ทั้งสามห่วงที่กว้างกว่ากำไลข้อมือเพียงนิดเดียวคล้องลงบนกำไลข้อมืออย่างพอดิบพอดี
“เก่งจัง!”
เวลานี้เจ้าของร้านจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาได้เจอกับผู้มีฝีมือเข้าแล้ว จึงทำได้เพียงเดินไปหยิบกำไลข้อมือมายื่นให้กับหนานกงมั่วด้วยความอาลัยอาวรณ์ “คุณชาย แม่นาง…”
หนานกงมั่วไม่ได้รับของรางวัลจากเจ้าของร้าน แต่หันไปถามเว่ยจวินมั่วด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแทน “จะเล่นต่อหรือไม่”
“…” อย่าเล่นต่อเลย ปล่อยร้านเล็กๆ ไปเถิด
เว่ยจวินมั่วหันไปมองหนานกงมั่วพลางถาม “ยังอยากได้ชิ้นไหนอีกหรือไม่”
หนานกงมั่วฝืนยิ้มให้กับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านเองก็จ้องมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้าน่าสงสาร
หนานกงมั่วทำได้เพียงถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย “ช่างเถิด ไม่เล่นแล้ว แต่ทว่า…ท่านไม่ได้…จริงหรือ…หืม”
คุณชายเว่ยตอบกลับอย่างใจเย็น “ข้าไม่เคยทุจริต”
“จริงหรือ”
“ข้าไม่เคยโกหกผู้อื่น” ไม่เคยโกหกเจ้า
“…” เดิมทีคำเอ่ยนี้ก็เป็นคำโกหกอยู่แล้วมิใช่หรือ
“ท่านทั้งสอง…” เจ้าของร้านแผงลอยหันไปมองหนานกงมั่วที่เห็นได้ชัดว่ามีอำนาจตัดสินใจ เขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านั้นกำลังเกี้ยวพาราสีหรือกำลังเล่นตลกอันใด เขาอยากรู้เพียงว่าเมื่อใดเทพเจ้าแห่งโรคระบาดทั้งสององค์นี้จะออกไปจากร้านแผงลอยของเขาเสียที ยามนี้ในใจเจ้าของร้านแผงลอยท่วมท้นด้วยความคับแค้นใจต่อหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา เขาเป็นเพียงคนทำมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ คนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านนี้ถึงต้องกลั่นแกล้งเขาด้วย
หนานกงมั่วเลือกสร้อยข้อมือเส้นเล็กจากของรางวัลกองโตมาเส้นหนึ่ง จากนั้นก็นำของรางวัลส่วนที่เหลือคืนให้กับเจ้าของร้านแผงลอย เห็นเจ้าของร้านแผงลอยที่กำลังยืนหอบของรางวัลสีหน้างุนงง หนานกงมั่วจึงเอ่ย “เจ้ากลับไปทำห่วงไม้ไผ่ให้วงกว้างกว่านี้อีกสักหน่อย ห่วงเล็กขนาดนี้ออกจะคล้องยากเกินไป ระวังอาจจะนำมาซึ่งผู้มีฝีมือกลุ่มใหม่ก็เป็นได้”
ตามหลักแล้ว หากหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วโยนห่วงไม้ไผ่โดยไม่ใช้วรยุทธ์อาจจะโยนพลาดเพียงหนึ่งครั้ง แต่ในทางกลับกันสำหรับคนปกติทั่วไปอาจจะโยนพลาดแปดในสิบครั้งเลยก็ว่าได้ เจ้าของร้านแผงลอยหัวใส โยนห่วงไม้ไผ่ด้วยราคาครั้งละห้าอีแปะ สำหรับชาวบ้านธรรมดาก็ไม่ได้ถือว่าแพง แต่หากคล้องโดนของรางวัล อย่างน้อยๆ ก็ได้ของรางวัลมูลค่าราวสองถึงสามร้อยอีแปะ ย่อมดึงดูดชาวบ้านทั่วไปให้อยากลองเสี่ยงโชคดูสักครั้งเป็นธรรมดา ทว่าพวกเขากลับไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโชคลาภหรือทักษะฝีมือเลยแม้แต่น้อย แม้จะเล่นจนหมดเนื้อหมดตัวก็ใช่ว่าจะสามารถคล้องโดนของรางวัลได้ นอกจากนี้ก็จะยิ่งไปกระตุ้นเหล่าบรรดาคุณชายทั้งหลายที่มีนิสัยไม่ยอมรับความพ่ายแพ้พากันมาก้มหน้าก้มตาเล่นโดยที่ไม่สนใจของรางวัลเหล่านี้เลย
[1] เฉียน หน่วนการวัดน้ำหนักของสมัยจีนโบราณ 1 เฉียนน้ำหนักราว 3.125 กรัม