หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1052 ยกทรัพย์สินทั้งหมด (1)
ตอนที่ 1052 ยกทรัพย์สินทั้งหมด (1)
เสียงฆ่าฟันนอกเมืองจินหลิงดังต่อเนื่องไม่หยุด ในเมืองหลวงเองก็เย็นยะเยือก
ตำหนักแห่งหนึ่งในวังหลวง คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ในตำแหน่งที่นั่งของตนเอง ไม่น่าแปลกใจที่จะมีความกังวลปรากฏขึ้นอยู่หว่างคิ้ว หัวหน้าตระกูลฉินแยกตัวออกมานั่งคนเดียวที่มุมมุมหนึ่งไม่พูดไม่จา หากในยามปกติคนอื่นๆ คงมารุมล้อมและถกปัญหากับเขา เพียงแต่ไม่กี่ปีมานี้ตระกูลฉินนั้นถ่อมตัวลงไปมาก เข้าร่วมการพบปะสังสรรของตระกูลใหญ่น้อยลง ต่อให้ไปเข้าร่วมก็ไม่ค่อยพูดคุย สำหรับคนอื่นๆ นั้นต่างคุ้นชินกับนายท่านตระกูลฉินที่อยู่เงียบๆ ไร้ตัวตนแล้ว ทว่าลืมไปแล้วว่าหลายปีมานี้เขาก็ยังเป็นตระกูลใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของจินหลิงที่กดตระกูลเซี่ยที่อยู่อันดับสองไว้อยู่
เซี่ยโหวนั่งห่างจากเขาไม่ไกล ไม่ได้เข้าร่วมบทสนทนากับคนเหล่านั้นเช่นกัน ทุกคนกลับไม่สนใจ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าอย่างไรเสียตระกูลเซี่ยก็ไม่เคยเข้าร่วมหรือข้องเกี่ยวกับราชสำนักอยู่แล้ว ต่อให้เยี่ยนอ๋องตีเมืองจินหลิงแตกเปลี่ยนยุคสมัยก็ตาม ขอเพียงตระกูลเซี่ยไม่รนหาที่ตายอย่างไรก็ไม่มีปัญหา
คุณชายไม่กี่คนของตระกูลเซี่ยต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังของเซี่ยโหว ยืนใบหน้าเรียบนิ่ง ดูไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ
นายท่านตระกูลฉินกวาดตามองผู้คนที่นั่งอยู่ ถอนหายใจออกมา เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เซี่ยโหวพร้อมเอ่ย “พี่เซี่ย มิสู้มาเดินหมากพลางคุยกันไปด้วยดีหรือไม่”
เซี่ยโหวเข้าใจทันใด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายท่านฉินเชิญ”
ทั้งสองเดินไปยังห้องเล็กที่แยกออกมาจากห้องโถงใหญ่ แม้จะบอกว่าถูกกักบริเวณอยู่ในวังหลัง แต่อย่างไรก็เป็นผู้นำตระกูลขุนนาง เซียวเชียนเยี่ยไม่อาจล่วงเกินพวกเขาได้ ขอเพียงพวกเขาไม่ออกไปจากตำหนักเดินไปทั่ว ก็สามารถเดินไปมาได้ตามใจชอบในตำหนักแห่งนี้ ทั้งสองลุกขึ้นเดินออกไปไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ มีเพียงคุณชายทั้งสองของตระกูลเซี่ยและคุณชายตระกูลฉินหนึ่งคนที่เดินตามไปด้วย
ทั้งสองเดินมานั่งลงในห้องเล็กที่เงียบสงบ คนอายุน้อยช่วยวางกระดานหมากให้เรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายนั่งประจำที่ ทว่าไม่รีบร้อนวางหมาก ได้ยินเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากที่ไกลๆ เซี่ยโหวเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ได้ยินเสียงนี้ เกรงว่าเมืองชั้นนอกคงไม่อาจคุ้มกันได้แล้ว” ประตูเมืองทางทิศใต้ถูกตีแตกข่าวนี้มาถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ทหารเฝ้าประจำการที่เมืองชั้นนอกสามารถเฝ้าคุ้มกันยื้อเวลาเอาไว้ได้สองสามวันก็ไม่ง่ายแล้ว แต่ว่าในเมื่อประตูเมืองแตกแล้ว คิดจะดันศัตรูออกไปก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย
นายท่านฉินเองก็ถอนหายใจ เอ่ย “เซี่ยโหวเอ่ยกล่าวถูกแล้ว”
เซี่ยโหววาดดวงตาขึ้นมามองนายท่านฉินเล็กน้อย เลิกคิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนอื่นก็ช่างเถิด ไยนายท่านฉินถึงได้กังวลเยี่ยงนี้เล่า”
คนอื่นเป็นอย่างไรอย่าพึ่งเอ่ยถึง ยามนี้คุณชายใหญ่ตระกูลฉินเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเว่ยจวินมั่ว เพียงเยี่ยนอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลฉินก็คงเลื่อนขั้นสูงไปอีกขั้น ไหนเลยต้องกังวลจนต้องถอนหายใจ นายท่านฉินถอนหายใจในยามนี้ หากไม่ใช่เซี่ยโหวที่ใจกว้าง เป็นคนอื่นคงคิดว่าเขาเสแสร้ง
นายท่านฉินลูบหมากในมือ เนิ่นนานจึงวางลงพร้อมส่ายศีรษะ เอ่ย “ว่ากันว่าหนึ่งโอรสสวรรค์หนึ่งขุนนาง แต่นี่…โอรสสวรรค์กับโอรสสวรรค์เองก็ไม่เหมือนกัน หมากเพิ่งเริ่มต้น ผู้ใดจะโชคดีโชคร้ายผู้ใดเล่าจะรู้ได้” เอ่ยตามตรง เมื่อเทียบกับเยี่ยนอ๋องเหล่าตระกูลใหญ่คงชอบเซียวเชียนเยี่ยฮ่องเต้ผู้นี้มากกว่า อย่างไรสำหรับขุนนางแล้วคนที่ปกครองอยู่เหนือหัวนั้นยิ่งรับใช้ง่ายยิ่งดี เซียวเชียนเยี่ยโหดเหี้ยมต่อเสด็จอาของตน แต่กับขุนนางใต้บังคับบัญชาแน่นอนนับว่าใจดีกว่าอดีตฮ่องเต้ อีกทั้งเยี่ยนอ๋อง ในหมู่องค์ชายในอดีตฮ่องเต้ คนที่คล้ายกับอดีตฮ่องเต้มากที่สุดก็คงเป็นเยี่ยนอ๋องแล้ว
น่าเสียดาย เซียวเชียนเยี่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยนอ๋องจริงๆ หากให้ตระกูลขุนนางช่วยเซียวเชียนเยี่ยอย่างเต็มกำลัง คงไม่มีผู้ใดไม่ยินยอม ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเชียนเยี่ยจะรับน้ำใจจากพวกเขาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
เซี่ยโหวพยักหน้า “มีเหตุผล”
ผู้นำตระกูลฉินถอนหายใจ เอ่ย “ดังนั้น ข้าถึงได้อิจฉาเซี่ยโหวอย่างไรเล่า” ไม่เข้าร่วมสงคราม แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลต่ออันตรายของความเปลี่ยนแปลงของทิศทางลม ด้วยบารมีและชื่อเสียงของตระกูลเซี่ย ขอเพียงตระกูลเซี่ยไม่ทรยศหักหลังต่อแผ่นดินไม่ล่วงเกินเบื้องบน ไม่มีลูกหลานที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ตระกูลเซี่ยก็จะอยู่ได้ตราบนานเท่านาน น่าเสียดาย ตระกูลฉินไม่อาจทำเช่นนั้นได้ และไม่มีความสามารถนั้น แม้ว่าตระกูลฉินจะอยู่เหนือตระกูลเซี่ย แต่เมื่อเทียบพื้นเพตระกูลเซี่ยแล้วก็ไม่อาจสู้ได้อย่างแน่นอน
เซี่ยโหวส่ายศีรษะ เอ่ย “นายท่านฉินมานั่งคิดเรื่องนี้ มิสู้มาคิดว่าท่านกับข้าจะออกไปจากวังหลวงได้หรือไม่เถิด”
ผู้นำตระกูลฉินดวงตาไหววูบ เงยหน้าขึ้นไปมองเซี่ยโหว จากนั้นมองไปยังคุณชายใหญ่ตระกูลเซี่ยและคุณชายเจ็ดตระกูลเซี่ย ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “หากชะตาเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำอันใดได้” เซียวเชียนเยี่ยเรียกพวกเขาเข้าวังมาใช่ว่าจะไม่รู้จุดประสงค์ แต่ภายใต้รับสั่งต่อให้รู้แล้วจะทำสิ่งใดได้
โชคดี…
ผู้นำตระกูลฉินเอ่ยโชคดีอยู่ในใจ ต่อให้เกิดอันใดขึ้นกับเขา ต่อให้บุตรชายที่ติดตามเขาเข้ามาในวังจะเกิดอันใดขึ้น รอบุตรชายคนโตกลับถึงเมืองหลวงแล้วก็สามารถกุมอำนาจของตระกูลเอาไว้ได้ ตระกูลฉินเองก็ไม่ต้องจบสิ้นเพราะเหตุผลนี้
ตระกูลเซี่ยยิ่งไม่ร้อนใจแล้ว ตระกูลเซี่ยมีนายหญิงใหญ่เซี่ยคอยดูแลยิ่งไม่มีทางวุ่นวายได้ ไม่ว่าเขาจะเกิดอันใดขึ้นในวังแห่งนี้ รอจนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็ต้องเมตตาต่อตระกูลเซี่ย ผ่านไปชั่วครู่ ตระกูลเซี่ยก็จะค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมากระทั่งสามารถหลบเลี่ยงต่อการชำระล้างตระกูลขุนนางของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ อย่างไรเสียเยี่ยนอ๋องก็เป็นฮ่องเต้ที่ทรงอำนาจ
ทั้งสองสบตากัน ต่างมองเห็นความสงบเยือกเย็นในดวงตาของกันและกัน ขณะเดียวกันก็เห็นได้ว่าทั้งสองต่างก็ไม่คิดว่าเซียวเชียนเยี่ยจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้แล้ว
สองคนด้านนี้พูดคุยกันอย่างสงบ อีกด้านของตำหนักกลับทะเลาะกันชุลมุน เกาอี้โหวนั่งใบหน้าทะมึนอยู่อีกฝั่ง ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะลงมือรวดเร็วเพียงนี้ พวกเขามีความคิดจริง เพียงแต่ยังไม่ทันเคลื่อนไหวก็ถูกฮ่องเต้เชิญเข้าวังมาแล้ว ยามนี้กลับทำอันใดไม่ได้ ฝั่งเยี่ยนอ๋องนั้นอย่าได้คิดแล้ว ตอนนี้สามารถหลุดออกไปด้วยดีก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
“คารวะเกาอี้โหว พระสนมกุ้ยเฟยเชิญขอรับ” ด้านนอก ขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม
ได้ยินเช่นนั้น ห้องโถงที่เดิมทีมีเสียงดังโวยวายก็เงียบลง ทุกคนมองตรงไปยังเกาอี้โหวโดยพร้อมเพรียง แฝงไปด้วยแววตาของความเป็นศัตรู พวกเขาต่างก็ถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ไม่อาจไปไหนได้ เกาอี้โหวกลับถูกบุตรสาวส่งคนมาพาตัวไปแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาต่อหน้าฝ่าบาทหรือไม่
เพียงแต่ต่อให้มีความเป็นศัตรูเพียงใด อำนาจของเหล่าผู้นำตระกูลเมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างอันใดกับประชาชนทั่วไป ทำได้เพียงมองเกาอี้โหวเดินออกปเงียบๆ
เกาอี้โหวเดินตามขันทีมาถึงตำหนักของพระสนมจูเฟย พระสนมจูเฟยกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระ ได้ยินเสียงรายงานของขันทีจึงเดินออกมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ท่านพ่อ”
เกาอี้โหวกังวลใจ รีบเอ่ยถาม “เรียกพ่อมามีเรื่องอันใดหรือ”
พระสนมจูเฟยนั่งลง เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ไม่มีเรื่องใหญ่อันใด เพียงได้ยินฝ่าบาทบอกว่าท่านพ่ออยู่ในวังหลวง จึงให้คนไปเชิญท่านพ่อมาพบเพียงเท่านั้น หลายวันมานี้ท่านพ่อสบายดีหรือไม่”
เกาอี้โหวมองบุตรสาวที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนทว่าไม่สูญเสียท่าทีสูงส่งของกุ้ยเฟย ใบหน้าสับสนเล็กน้อย พวกเขาเข้าวังมาหลายวันแล้ว แน่นอนว่าพระสนมจูเฟยคงไม่ใช่พึ่งรู้วันนี้อย่างแน่นอน สองวันก่อนยังไม่ถามไม่ไถ่ วันนี้กลับ…พระสนมจูเฟยเล่นกำไลหยกที่ข้อมือ พลางเอ่ยเนิบช้า “ได้ยินมาว่า…หลายวันมานี้ท่านพ่อและพี่สาวเขียนจดหมายถึงกันมากมายหรือเจ้าคะ”