หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 1018 เจรจาสันติอีกครั้ง (1)
ตอนที่ 1018 เจรจาสันติอีกครั้ง (1)
“อู๋สยา ไม่ต้องร้อง เยาเยาจะต้องไม่เป็นไร ข้ารับรอง” เชยใบหน้างามของหนานกงมั่วที่ฝังอยู่ในอ้อมอกของตนขึ้นมา เว่ยจวินมั่วเอ่ยหนักแน่น มองดวงตาที่แดงก่ำและความเหนื่อยล้าระหว่างคิ้วที่ยากจะปกปิด ใจของเว่ยจวินมั่วเต็มไปด้วยความโกรธและคิดอยากสังหารขึ้นมา ไยเขาต้องสนใจสิ่งใดมากมาย รีบสังหารกงอวี้เฉินและหนานกงไหวให้สิ้น ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะมีไพ่ซ่อนเอาไว้
หนานกงมั่วพยักหน้า ความจริงหลายวันมานี้นางเองก็เคร่งเครียดเกินไป ไม่ว่านางจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของบุตรีมากเพียงใด นางก็ไม่อาจเผยความอ่อนแอออกมาต่อหน้าคนอื่น นางไม่อาจทำให้องค์หญิงฉังผิงต้องเป็นห่วง ยิ่งไม่อาจทำให้บุตรชายต้องตกใจ และยังไม่อาจให้ลูกน้องใต้บัญชาก้าวเท้าพลาด ยามนี้ได้เจอกับคนที่ตนเองไว้วางใจและสามารถมอบทุกอย่างให้เขารับผิดชอบได้ จึงไม่อาจควบคุมตนเองได้ชั่วขณะ เพียงเวลาไม่นาน หนานกงมั่วจึงสงบลง มองสายตาเป็นกังวลของเว่ยจวินมั่ว กะพริบตาด้วยความรู้สึกผิด “ท่านกลับมาได้อย่างไร”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเบา “จัดการเมืองเผิงและเอ้อกั๋วกงเรียบร้อยแล้ว”
แน่นอนว่าเรื่องราวไม่อาจจัดการเรียบร้อยได้ เพียงบ้านเมืองยังไม่สงบก็ไม่มีเรื่องที่จัดการเรียบร้อย หนานกงมั่วเข้าใจดี เว่ยจวินมั่วเป็นห่วงเฉินโจวถึงได้รีบกลับมา
“ข้ากลับมาช้าแล้ว”
หนานกงมั่วอิงอยู่ในอ้อมอกของเขา ก่อนจะส่ายศีรษะ
พูดคุยกันอยู่ชั่วครู่ เว่ยจวินมั่วเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจถอนกำลังทหารที่อยู่ด้านนอกเป็นระยะเวลาสั้นๆ นี่คือจิตใจของคนเป็นบิดามารดา ต่อให้ทั้งสองจะนับว่าเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดในโลก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการที่บุตรีต้องตกอยู่ในมือของคนอื่นก็ทำอันใดไม่ได้ แน่นอนว่าพวกเขามีวิธีที่จะกดดันหนานกงไหวและคนของสำนักหอธาราให้ถึงที่สุด แต่ว่า…พวกเขาก็ไม่อาจรับรองความปลอดภัยของเยาเยาได้ ต่อให้มีอันตรายเพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่อาจยอมรับได้
เว่ยจวินมั่วช้อนอุ้มหนานกงมั่วที่หลับไปแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ พลันมองเห็นฉินจื่อซวี่และซิงเวยยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ
“คุณชาย”
เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงไปมองสตรีที่หลับอยู่ในอ้อมแขน พยักหน้าเบาๆ “แยกย้ายไปจัดการธุระของตนเองเถิด รออู๋สยาตื่นแล้วค่อยว่ากัน”
ฉินจื่อซวี่พยักหน้า หลายวันมานี้ซิงเฉิงจวิ้นจู่นอนไม่หลับใช่ว่าพวกเขาจะดูไม่ออก เพียงแต่มองเห็นแล้วก็ทำอันใดไม่ได้ เรื่องแบบนี้คนอื่นไม่อาจสัมผัสความรู้สึกอย่างเจ้าตัวได้ ต่อให้ปลอบใจเพียงใดก็เท่านั้น ยามนี้คุณชายเว่ยกลับมาแล้ว จวิ้นจู่ก็คงจะคลายกังวลได้บ้าง
พื้นที่เล็กๆ ห่างออกจากหมู่บ้านเล็กๆ ไม่ไกล เยาเยานั่งย่อตัว มือเล็กยื่นออกไปเด็ดดอกไม้อยู่ใต้ต้นไม้ สัมผัสได้ว่ามีคนนั่งลงข้างๆ ตน เพียงเงยหน้าขึ้นมามองและก้มลงไปอีกครั้ง หนานกงไหวก้มลงไปมองสำรวจก้อนแป้งน้อยตรงหน้า ในใจรู้สึกสับสนขึ้นมา เด็กน่ารักเชื่อฟังคนนี้เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเขา แต่ตลอดหลายวันมานี้ คนที่เด็กคนนี้ต่อต้านที่สุดก็คือเขา กระทั่งยอมให้คนของสำนักหอธาราที่มองไม่เห็นหน้าตาพวกนั้นอุ้มทว่าไม่ยอมให้เขาสัมผัสแม้เพียงนิด เพียงเขายื่นมือออกไปจะอุ้มนาง นางก็มีท่าทางดุร้ายกัดฟันยกมือขยุ้ม เด็กตัวเล็กๆ แสดงท่าทางเช่นนั้นแน่นอนว่าไม่ทำให้คนรู้สึกกลัว กลับกันกลับมองว่ายิ่งน่ารักน่าขัน แต่ในสายตาของหนานกงไหว กลับไม่ได้น่าพึงพอใจนัก
“เจ้าทำอันใด” หนานกงไหวยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ซังเจี้ยวที่นั่งย่อตัวล้างมืออยู่ที่ริมฝั่งก็ยืนขึ้น เอ่ยอย่างระแวดระวัง ขณะเดียวกันก็รีบวิ่งเข้ามาหาทั้งสองคน ดึงเยาเยาไปอยู่ด้านหลังของตนเอง
เยาเยาหลบอยู่ด้านหลังซังเจี้ยว ดวงตากลมโตจ้องมองหนานกงไหว ดวงตากลับไม่มีความรู้สึกสนิทชิดเชื้อหรือความรู้สึกใดๆ ไม่สิ บางทีในสายตาของเยาเยา สาวใช้ในจวนคงจะน่าใกล้ชิดมากกว่าหนานกงไหวที่อยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
หนานกงไหวสีหน้าทะมึนขึ้น ส่งเสียงหึเบาๆ “จะบอกข่าวดีให้เจ้ารู้นะ ทหารที่ตามเราอยู่ด้านนอกนั่นถอนกำลังไปหมดแล้ว ไม่นานเราก็ไปจากเฉินโจวได้แล้ว”
ซังเจี้ยวสีหน้าทะมึน จ้องหนานกงไหวเขม็งด้วยสายตาเย็นยะเยือกไม่เอ่ยสิ่งใด
หนานกงไหวเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจากำลังคิดว่าหากเราถูกขังอยู่ในเฉินโจว อย่างไรก็ต้องตามหาเจออย่างนั้นหรือ โง่เง่า ไร้เดียงสาเสียจริง หลายวันมานี้ข้าเพียงเล่นกับหนานกงมั่วเพียงเท่านั้น เพียงเจ้าเด็กนี่อยู่ในมือของข้า ไม่ว่าข้ายื่นข้อเสนอใดไป นางก็ต้องทำตามทั้งนั้น” ซังเจี้ยวยิ้มเย็น “ทางที่ดีเจ้าภาวนาเอาเถิดว่าจะเอาชีวิตเยาเยามาเป็นข้อต่อรองได้ตลอด”
หนานกงไหวไม่เห็นด้วย “เจ้าคิดว่า ออกจากเฉินโจวไปแล้ว หนานกงมั่วจะตามหาข้าเจอหรือ”
แผ่นดินกว้างใหญ่ หนานกงมั่วคิดจะตามหาเขาคงราวกับงมเข็มในมหาสมุทร
ซังเจี้ยวมองสำรวจเขาอยู่นาน เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “เจ้าขายหลานสาวของเจ้าในราคาเท่าใด”
สีหน้าของหนานกงไหวพลันแปรเปลี่ยน มองหน้าซังเจี้ยวอย่างไม่เป็นมิตร ซังเจี้ยวไม่ใส่ใจ เลิกคิ้วแล้วจึงเอ่ย “หรือว่าไม่ใช่ หากไม่ใช่เพราะกงอวี้เฉินตกลงอันใดกับเจ้า เจ้าจะวิ่งมาถึงเฉินโจวเพื่อจับตัวเยาเยาด้วยตนเองหรือ”
เนิ่นนาน จึงได้ยินเสียงหยันของหนานกงไหว “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ซังเจี้ยวยักไหล่ “ก็ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่ากงอวี้เฉินนั่นจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าจริงๆ หรือไม่ เหมือนข้าจะเคยได้ยินมาว่าคนอื่นๆ ที่ร่วมมือกับกงอวี้เฉินต่างก็ถูกเขาหลอกไม่เบา”
“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามายุ่ง” หนานกงไหวส่งสายตาเย็นยะเยือกไปให้ซังเจี้ยว เอ่ย “เป็นห่วงตัวเองไปเถิด หากข้าเป็นเจ้าคงหนีเอาตัวรอดไปแล้ว ข้าไม่ได้โง่เหมือนเจ้า ไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงมือกงอวี้เฉินแล้วจะคิดว่าเจ้าขัดตาหรือไม่”
ซังเจี้ยวตีหน้าขรึม เอ่ยเสียงเรียบ “คำนี้ส่งคืนให้เจ้า ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“พวกเราต้องไปแล้ว” ชายชุดดำเดินเข้ามา กวาดตามองสองคนที่กำลังปะทะฝีปากกัน เดินเข้าไปอุ้มเยาเยา เยาเยาบิดตัวไปมาอย่างไม่พอใจ สุดท้ายก็สู้แรงของผู้ใหญ่ไม่ได้ จำต้องมองซังเจี้ยวอย่างน่าสงสาร ซังเจี้ยวจนปัญญาทำได้เพียงจับมือเล็กนั่นเอาไว้ “ไม่ต้องกลัว พี่อาเจี้ยวอยู่กับเจ้า”
เยาเยาจึงได้หยุดลง เพียงแต่ยังหันหน้าหนีไม่มองชายชุดดำ ชายชุดดำเองก็ไม่สนใจ หันกลับมาหาหนานกงไหว “ทหารถอนกำลังไปแล้ว พวกเราจะไปอย่างไร”
หนานกงไหวเอ่ยเสียงเรียบ “คนที่รับคำสั่งแยกย้ายออกไปยังคงเคลื่อนไหว ห้ามหยุด แม้เบื้องหน้าทหารที่ไล่ล่าจะถอนกำลังไปแล้ว เพียงแต่เบื้องหลังนั้นมีมากไม่น้อยลง ตลอดทางนี้ทางที่ดีอย่าปล่อยให้เจ้าเด็กนี่ออกจากมือเจ้า หากมีความเคลื่อนไหวอันใด…หึ ส่วนเส้นทาง พวกเราตรงไปจินหลิง”
“ไปจินหลิงหรือ”
“ยามนี้เยี่ยนอ๋องคงจะข้ามแม่น้ำแล้ว แต่ว่าเมืองเผิงและอวิ๋นตูล้วนเป็นกองทัพโยวโจวและกองทัพเฉินโจว ไปแล้วก็ไม่เป็นผลดีกับเรา มิสู้ไปรอก่อน หากเจ้าสำนักกงเคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจไปถึงจินหลิงก่อนเรา”
ชายชุดดำเงียบไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงพยักหน้า เอ่ย “เอาตามที่ฉู่กั๋วกงว่าเถิด”
ท้องพระโรง วังหลวงจินหลิง เซียวเชียนเยี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยใบหน้าซีดขาว เขามองไปยังเหล่าขุนนางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวตื่นตระหนกไร้ซึ่งวาจา เนิ่นนานเซียวเชียนเยี่ยจึงเอ่ยปากถาม “กบฏเยี่ยนโจมตีอวิ๋นตู ยามนี้กำลังข้ามแม่น้ำใกล้เข้ามาโจมตีจินหลิง ทุกท่านคิดว่าควรทำอย่างไรดี” เหล่าข้าราชบริพารด้านล่างมองสบตากันไม่กล้าปริปาก เซียวเชียนเยี่ยโมโหขึ้นมา ยิ้มเย็น เอ่ย “ทำไมหรือ ปกติแล้วมีวาจาที่เอ่ยไม่รู้จบ ยามนี้เป็นเวลาสำคัญ ทุกท่านกลับไร้ซึ่งคำจะเอ่ยแล้วอย่างนั้นหรือ”