หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 340 เหล่านางสนม
บทที่ 340
เหล่านางสนม
ก่อนที่ค่ำคืนนี้จะมืดสนิทลง ที่จวนมหาเสนาบดีก็ได้เกิดเรื่องยุ่งขึ้นเสียก่อน เหตุผลก็คือบุตรีคนโตนั้นได้มีรอยแดงและมีอาการคันมาก
และเพราะหมอต่างๆไม่สามารถรักษาได้ ผู้คนจึงต้องจับหลินหัวเยว่มัดเอาไว้ด้วยเชือก
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งหน้าและตัวของหลินหัวเยว่นั้นก็ได้เต็มไปด้วยรอยข่วน ราวกับว่าตัวนางนั้นกำลังจะเสียโฉม
หลินหัวเยว่ที่นอนอยู่ที่เตียงนั้น เลือดก็ได้ไหลออกมาจากแผลของนางเรอะเปื้อนผ้าปูเตียง และด้วยใบหน้าที่ดุดันของนางด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
ในฐานะที่เป็นสามีของหลินหัวเยว่แล้ว เฮอเหวินจางก็ย่อมต้องมาเมื่อรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งเขาก็ได้มาพร้อมกับหมอหลวงจากในวัง
“ท่านหมอหลวง ได้โปรดช่วยลูกในท้องของนางด้วย”
เพราะหลินหัวเยว่นั้นดิ้นไปมา ทำให้เชือกนั้นได้รัดนางแน่นจนเข้าไปในเนื้อจนเป็นรอยแผลไปทั่วทั้งข้อมือและข้อเท้าของนาง ส่วนเฮอเหวินจางนั้นก็เป็นกังวลเรื่องของลูกในท้องของนางมาก
ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่รู้สึกอะไรกับหลินหัวเยว่ และถึงแม้ว่าเขาจะชอบผู้ชายแต่ก็ไม่ใช่ว่าตัวเขานั้นจะไม่อยากได้ทายาทของเขา แม้ว่าลูกในท้องของหลินหัวเยว่นั้นจะมาจากการเอายาให้เขากินก็ตามที
แต่แล้วยังไงล่ะ? เด็กคนนี้ก็คือทายาทของตระกูลเฮอที่จะต้องรับช่วงสืบทอดต่อไปอยู่ดี
แล้วท่านหมอก็ได้ผงกหัวแล้วจากนั้นก็ได้เดินไปหา หลินหัวเยว่แล้วจับชีพจรของอีกฝ่าย แล้วจากนั้นสีหน้าบนใบหน้าของเขาก็ได้ไม่ดีขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นกับเด็กในท้องเหรอหมอ?” หลิ่วจงอวี๋ก็ได้ถามอย่างรวดเร็ว “บอกข้าทีสิหมอ!”
หมอหลวงก็ได้ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วในที่สุดก็ได้เปิดปากออกมาภายใต้แรงกดดันของเฮอเหวินจาง “ฮูหยิน….ฮูหยินไม่มีเด็กในท้อง”
หลินหัวเยว่ก็ได้จ้องด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วพูดอย่างบ้างคลั่ง “เจ้า….พูดเหลวไหล”
เพราะว่าร่างกายของนางนั้นคันมาก นางจึงได้กัดฟันและพยายามพูดคำสามคำนั้นออกมาก็ถึงขีดสุดของนางแล้ว นางนั้นได้กรีดร้องและบอกให้ใครก็ได้ช่วยนางและเกาให้นางด้วยใบหน้าที่โชกเลือดของนาง ซึ่งได้ทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“ท่านหมอหลวง ท่านช่วยตรวจดูอีกทีได้ไหม? ในวันนั้นหมอตั้งมากมายมาตรวจต่างก็แสดงความยินดีให้กับภรรยาของข้ากันอยู่เลย”
หมอหลวงก็ได้ผงกหัวและฟังชีพจรอย่างตั้งใจอีกหน แต่สุดท้ายเขาก็ได้สรุปออกมาว่า “เรียนคุณชายหลิ่ว ขออภัยในความด้อยความสามารถของข้าด้วย แต่ข้านั้นตรวจหาเสียงชีพจรของเด็กในครรภ์ไม่พบจริงๆ”
ในเวลานี้เรื่องที่หลินหัวเยว่นั้นตั้งท้องจริงๆหรือไม่นั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแล้ว เขาจึงได้รีบส่งคนออกไปตามหมอที่มีชื่อเสียงมากมายในเมืองหลวงมา
หลังจากนั้นสักพักหนึ่งก็ได้มีหมอสามคนถูกเชิญมาที่จวนมหาเสนาบดี ซึ่งผลการตรวจของพวกเขานั้นไม่ได้ต่างไปจากหมอหลวงคนนั้นเลย
ในตอนนั้นเองเฮอเหวินจางก็ได้มีสีหน้ามืดดำขึ้นมา เขาชี้ไปที่หลินหัวเยว่แล้วกล่าว “นังนี่เจ้ากล้าหลอกข้าเรอะ เจ้าไม่มีเด็กในท้องเลย”
หลินหัวเยว่ก็ได้ส่ายหัวของนางและอยากที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่นางนั้นก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
จนในท้ายที่สุดก็ได้มีหมอคนหนึ่งในทั้งสามคนลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “เรียนคุณชายเฮอได้โปรดใจเย็นๆก่อน การตรวจครั้งก่อนของฮูหยินของท่านอาจจะเป็นความจริงก็ได้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะตรวจหาชีพจรของเด็กในครรภ์ไม่พบก็จริง แต่พวกเราต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในท้องของนาง จึงเป็นไปได้ว่า…..”
“พูด!”เฮอเหวินจางนั้นหมดความอดทนที่จะมาฟังพวกเขาเกมทายปริศนาแล้ว จึงได้คำรามออกมาทันที
หมอคนนั้นก็ได้ตัวสั่นแล้วกล่าว “ถ้าหากว่าท้องอยู่แต่กลับไม่ดูแลให้ดีแล้วล่ะก็ เป็นไปได้ว่าเด็กนั้นท้องนั้นคงจะตายแล้วล่ะ”
เฮอเหวินจางก็ได้ดวงตาเบิกกว้างราวกับเป็นสัตว์ประหลาด ซึ่งทำให้หัวใจของหลินหัวเยว่นั้นเจ็บปวดอย่างมาก นางจึงได้ขอให้สามีของนางอย่าได้ทิ้งนางไป แต่ก็ได้ดวงตาที่เย็นชาและรังเกียจตอบกลับมา ทำให้นางไม่สามารถพูดอะไรต่อได้
“เจ้าก็ดูแลตัวเองไปก็แล้วกัน ในเมื่อไม่มีเด็กแล้ว ข้าก็ไม่ขออยู่ต่อ” หลังจากที่เฮอเหวินจางก็จากไป เหล่าหมอก็ได้จากไปตาม
เหลือแต่เพียงเหล่าสาวใช้ของนางที่มีสีหน้าหวาดกลัว แต่ก็ต้องคอยดูนางอย่างช่วยไม่ได้ แต่โชคยังดีที่รอยผื่นแดงบนตัวของนางก็ได้ค่อยๆหายไปหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งคืน
แต่ในเช้าวันต่อมา ก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังทะลุฟ้าและรบกวนความฝันของทุกๆคน
หลินหัวเยว่ก็ดูเหมือนว่าจะยอมรับไม่ได้ นางได้ถือกระจกทองเหลือด้วยมือสั่นๆของนาง นางมองไปที่สาวใช้แล้วถาม “บอกข้าทีซิ ว่าคนในกระจกนี้คือใคร?”
“มัน….มันคือตัวคุณหนู….เองเจ้าค่ะ!” สาวใช้ก็ได้ตอบอย่างตะกุกตะกัก
“ข้าเหรอ? เป็นไปไม่ได้ ผีร้ายหน้าตาน่าเกลียดนี่จะเป็นข้าไปได้อย่างไร” นางได้ขว้างกระจกทองเหลืองลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังแสบแก้วหู
แล้วกระจกก็ได้แตก แล้วตามมาด้วยเสียงข้าวของแตกดังมาไม่รู้จบ
เรือนเชียนเหยียนนั้นอยู่ห่างไกลออกไป จึงไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย กลับกันหลังจากหลินซีเหยียนลืมตาขึ้นมา นางก็พบเจียงหวายเย่ที่นอนอยู่ข้างๆนางเมื่อคืนนี้ ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำให้นางตกใจมากกว่า
“เจียงหวายเย่ไม่รู้ว่าห้องของตัวเองอยู่ที่ไหนหรือยังไง?” หลินซีเหยียนก็ได้พูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เจียงหวายเย่ก็ได้หาวและลุกขึ้นมานั่ง และมีสีหน้าที่งดงามมาก “มันเป็นเรื่องปกติที่องค์ชายกับองค์หญิงจะต้องนอนด้วยกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงราวกับกำลังจะก่อพายุขึ้นมา แล้วจากนั้นนางก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วพายุที่ก่อตัวขึ้นมาก็ได้สลายไปในทันที “เยี่ยจุนเจี๋ยยังไม่ได้กลับมาที่รัฐเจียงเลย ท่านไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ?”
“จะว่าแปลกก็แปลก” เจียงหวายเย่ตอบอ่อนแรงแล้วจากนั้นก็กล่าว “แต่ก็ยังเหลือเวลาก่อนวันแต่งงานของเราอยู่ เขาอาจจะกลับมาหลังจากนี้ในอีกไม่กี่วันก็ได้”
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องเขาด้วยสายตาที่คมกริบ จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเอาจดหมายฉบับนั้นมาแล้วส่งให้เจียงหวายเย่
หลังจากที่อ่านเนื้อหาของจดหมายแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที “จงซูเฟิงกลับไปที่รัฐจงแล้ว ยังอุตส่าห์จะคิดถึงเสี่ยวเหยียนเอ๋อของเราอีก ช่างรับไม่ได้เสียจริงๆ”
“…….” ไม่ใช่ว่าท่านควรที่จะสนใจตรงเยี่ยจุนเจี๋ยหน่อยเหรอ?
“เห็นได้ชัดว่าจงซู่เฟิงจะต้องขู่ข้าโดยเอาลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นตัวประกัน แล้วบอกให้ข้าไปหาที่รัฐจง”
ทำไมเรื่องเช่นนี้ถึงได้กลายเป็นเป้าหมายของจงซู่เฟิงไปได้? เจียงหวายเย่ก้ได้จับมือของหลินซีเหยียนแล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่รับผิดชอบ “ให้เราจัดการเรื่องนี้เอง!”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “ให้เวลาพรุ่งนี้เป็นอย่างต่ำ เมื่อใดที่ข้าเตรียมของที่ต้องการในการกำจัดแมลงวิปลาสด้ายแดงในตัวของท่านแล้ว ข้าจะไปที่รัฐจงทันที
เจียงหวายเย่ก็รู้ดีว่าตัวเขานั้นไม่อาจห้ามนางได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เยี่ยจุนเจี๋ยเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลินซีเหยียนแล้ว แต่เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นไม่อาจที่จะเมินเฉยต่อความสัมพันธ์ระหว่างหลินอวิ๋นเซวียนกับเยี่ยจุนเจี๋ยได้
แยกจากหลินซีเหยียนไป เจียงหวายเย่ก็ได้ดุหน่วยพันกลทันที ว่าทำไมถึงได้ไม่มีข่าวสำคัญเช่นนี้มาเลย
“ส่งคนออกไปสืบหาเรื่องของจงซู่เฟิงให้ถี่ถ้วนและหาทางติดต่อกับแม่ทัพเยี่ยให้ได้” เจียงหวายเย่ก็ได้หันหลังให้เชียนอี้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
จงซู่เฟิงนั้นไม่เพียงแต่จะปิดบังวรยุทธ์ของเขา แต่ยังสร้างขุมอำนาจเป็นของตัวเองด้วย ถ้าหากคนเช่นนี้คิดคดทรยศขึ้นมาล่ะก็ หายนะคงได้เกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนจะหลงรักผู้หญิงของเขาเสียด้วย!
ไม่ได้การ ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกฮ่องเต้แล้ว “อันอี้ส่งคนเอาจดหมายลับนี้ไปส่งให้กับฮ่องเต้ด้วย”
แล้วเขาก็ได้เขียนจดหมายให้อันอี้ แต่อันอี้นั้นยังไม่ได้ออกไปแต่ก้มหัวให้แล้วกล่าว “องค์ชาย เราพบคนทรยศในวังนี้แล้วขอรับ ซึ่งก็คือชวีเอี๋ยนที่เป็นหลานของไทเฮาขอรับ”
“เราคิดไว้แล้ว” เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วตามมาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “องค์หญิงกำลังจะเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องทำความสะอาดวังนี้แล้ว”
หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตำหนักใน
นับแต่ครั้งโบราณกาลตำหนักในหรือวังหลังนั้นคือสถานที่ที่สมาชิกในครอบครัวอาศัยอยู่ ซึ่งเจียงหวายเย่เองก็รู้ดีว่ามีผู้หญิงมากมายอยู่ในตำหนักในของเขา แต่เขาก็ไม่เคยโผล่หัวมาที่นี่เลย แล้วในวันนี้เขาก็ได้เข้ามาพบกับพวกนางแล้ว