หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 300 บุกวังหลวงในยามค่ำคืน
บทที่ 300
บุกวังหลวงในยามค่ำคืน
เมื่อจวี๋ไปได้ยินที่ถาม นางก็ได้มองไปรอบๆแล้วจากนั้นก็พูดด้วยเสียงเบาๆ “นางคือหลินซีเหยียน บุตรีคนที่สามของบ้านมหาเสนาบดีหลิน ครั้งหนึ่งนางเคยช่วยชีวิตขององค์ชายเอาไว้และองค์ชายก็หลงรักนางอย่างมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งองค์หญิงคงจะต้องตกเป็นของแม่นางหลิน”
เป็นนังหลินซีเหยียนอีกแล้ว ทำไมนังนั่นถึงได้เอาแต่สิ่งที่ดีๆไปหมดเลย!
แต่หลังจากที่คิดดูแล้ว ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์องค์ชายก็ได้เลือกเรามากกว่าจะเป็นหลินซีเหยียน ใช่แล้วคนผู้นั้นได้เลือกนางแล้ว ดูเหมือนว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นมันจะเป็นข่าวเก่าไปแล้ว
ในเวลานี้ที่วังหลวงในรัฐเจียง องค์ฮ่องเต้นั้นถูกกักบริเวณอยู่ และองค์ชายสามก็ได้เร่งสั่งตัดชุดมังกรใหม่ ซึ่งเกรงว่าการพิธีอภิเษกราชสมบัตินั้นน่าจะในอีกไม่นานแล้ว
องค์ชายสามนั้นเป็นคนประเภทที่ไม่มีใครเลยอยู่ในสายตาของเขา และตัวเขานั้นจะต้องเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดอยู่คนเดียว
ซึ่งก่อนอื่นเลยเขาได้ไปที่ตำหนักขององค์ชายหกและสั่งเข้าจับกุมองค์ชายหกผู้ที่ยังไม่ได้เข้าพิธีบรรลุนิติภาวะเลยด้วยซ้ำ
“ดูแลน้องหกของเราให้ดีๆด้วย อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวังล่ะ”
เมื่อองค์ชายหกได้ยินที่กล่าวก็ได้มองไปที่องค์ชายสาม จากนั้นก็ได้เดินตามทหารไปยังตำหนักเย็นอย่างเงียบๆ
จากนั้นองค์ชายสามก็ได้จากไป แล้วเขาก็ได้ส่งคนไปยังตำหนักขององค์ชายหนึ่งและองค์ชายสี่ แล้วส่งพวกเขาทั้งหมดให้ไปอยู่ในคุก โดยที่ไม่แม้แต่จะคุยกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
ส่วนองค์ชายสองนั้นถูกปฏิบัติต่างออกไปจาก องค์ชายหนึ่งและองค์ชายสี่ ซึ่งเกรงว่ามันเป็นโชคดีขององค์ชายสอง เพราะองค์ชายสองกับองค์ชายสามนั้นเป็นพวกเดียวกัน อย่างที่คนพูดกันเอาไว้ “หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย”
ทั้งๆที่องค์ชายสองนั้นเป็นองค์ชายที่ตัณหาจัดและไม่ได้เรื่องเลยแท้ๆ แต่ในเวลานี้กลับพลิกผันได้อยู่ในตำแหน่งที่ดี
“องค์ชาย องค์ชายสามจะจัดพิธีอภิเษกราชสมบัติใน 5 วันขอรับ” สวมชุดสีเงิน คนจากหน่วยพันกลคนหนึ่งได้ลงมาคุกเข่าแล้วรายงานเรื่องที่ไปสืบมาด้วยความเคารพ
แล้วก็มีแสงออกมาจากดวงตาสีดำของเจียงหวายเย่ องค์ชายสามนั้นเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบนัก เกรงว่าเขานั้นไม่เหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้เลย ซึ่งในบรรดาโอรสทั้งหมดของฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่มีใครเลยที่เหมาะสมจะขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้ได้
เมื่อเขายิ่งคิดถึงเรื่องนี้แล้ว แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่คิดช่วยฮ่องเต้เจียงให้กลับมาขึ้นครองราชย์บัลลังก์เช่นกัน ดังนั้นจึงเหลือผู้ที่เหมาะสมอยู่เพียงแค่คนเดียว
เงยหน้าขึ้นไปมองค่ำคืนที่เต็มท้องฟ้า เจียงหวายเย่ก็ได้พูดขึ้นมาเบาๆ “องค์ชายหก”
แล้วในกลางดึกคืนนั้น ในยามที่ผู้คนยังอยู่ในสภาวะที่สับสนอลหม่านอยู่นั้น เจียงหวายเย่ก็ได้สวมชุดสีดำแล้วแอบลอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อเข้าพบองค์ชายหก
หลบซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าตำหนักเย็น ซึ่งเฝ้ามองดูการเคลื่อนไหวทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
เขามองดูองค์ชายหกที่ยังเด็กนัก แต่กลับสามารถเผชิญหน้ากับทหารที่มาเฝ้าตำหนักได้โดยที่ไม่มีท่าทางตื่นกลัว และใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเย็นอย่างสงบเสงี่ยม และหลังจากที่เทียนไขเล่มสุดท้ายดับลง และเหล่าข้ารับใช้ก็ได้พากันนอน
ก็ได้มีคนสามคนได้ทำการปีนกำแพงแอบเข้าพระราชวังเข้ามา เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วเมื่อรู้ถึงตัวตนของผู้ที่มา
แม่ขององค์ชายหกนั้นคือองค์ฮองเฮา และฮองเฮานั้นคือบุตรีเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสน่าหลานที่รับใช้ราชสำนักมาถึง 3 รัชสมัย ถึงแม้ผู้อาวุโสน่าหลานจะจงรักภักดีกับราชวงศ์มาตลอดแต่เพราะลูกสาวของเขาทำให้ต้องหลีกเลี่ยงการถูกสงสัยและถอนตัวจากราชสำนักท่ามกลางเสียงคัดค้าน
1 ปีมี 365 วัน และผู้อาวุโสตระกูลน่าหลานนั้นรับใช้มาถึง 3 รัชสมัย ในขณะที่ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลน่าหลานก็อยู่มา 2 รัชสมัย จะเห็นได้ว่าตำแหน่งและความสัมพันธ์กับราชวงศ์ของตระกูลนี้นั้นจะสั่นคลอนง่ายๆได้เช่นไร?
แล้วยิ่งองค์ชายหกต้องตกอยู่ในปัญหาเช่นนี้ ตระกูลน่าหลานย่อมไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยแน่ๆ
ตั๊กแตนตำข้าวกำลังจะจับจักจั่นกินเป็นอาหาร หารู้ไม่ว่าข้างหลังยังมีนกกระจอกเหลืองคอยจับจ้องจิกกินอยู่ โดยที่ตระกูลน่าหลานที่กำลังคิดว่าองค์ชายสามจะไม่รู้นั้นเป็นจักจั่น แต่แท้จริงแล้วองค์ชายสามนั้นเป็นตั๊กแตน และมีตัวเขาเป็นนกกระจอกเหลือง นั่นคือสิ่งที่เจียงหวายเย่คิด
หลังจากที่ทั้งสามคนนั้นได้ลอบเข้าไปในห้อง ราชองครักษ์ก็ได้ทำการจุดไฟคบเพลิงขึ้นมาแล้วล้อมตำหนักเย็นเอาไว้
“แย่ล่ะ มันเป็นกับดัก”
แล้วทั้งสามคนนั้นกับองค์ชายหกก็ได้ถูกล้อมอยู่ในห้องนั้น พวกเขานั้นกระวนกระวายขึ้นมา แล้วองค์ชายหกก็ได้รีบเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยความตกใจ “ท่านลุง ท่านมาที่นี่ด้วยตัวเองทำไมกัน?”
“เพราะท่านตาของเจ้าไม่ไว้ใจ ปล่อยให้คนอื่นทำงานนี้น่ะสิ”
ทันทีที่น่าหลานจาวพูดจบ ก็ได้มีเสียงที่ประชดประชันขององค์ชายสามดังขึ้นมาจากข้างนอก “พวกคนที่อยู่ข้างในน่ะยังไม่ยอมรีบออกมาอีกเรอะ?”
“ข้าจะออกไปเองพวกท่านอยู่ในห้องนะ” องค์ชายน้อยนั้นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง โดยที่ไม่ลังเลหลังจากที่เขาพูดจบก็ได้เปิดประตูแล้วออกไปด้วยท่าทีที่สบายๆ และกล้าหาญมากที่เผชิญหน้ากับองค์ชายสามตามลำพังเช่นนี้
“องค์ชายน้อย ข้าไม่ได้บอกเจ้าเหรอว่าให้อยู่อย่างสันติน่ะ?” องค์ชายสามนั้นได้พูดอย่างกลับตาลปัตร เขาเดินไปรอบๆองค์ชายหกอย่างจองหองแล้วจากนั้นก็หยุดอยู่ที่ตรงหน้าประตูอย่างจงใจ “ว่ายังไง? จะให้ข้าเข้าไปข้างในแล้วเชิญพวกเขาออกมาเองไหม?”
“ท่านพี่เอาที่ไหนมาพูดขอรับ? มีเพียงน้องที่อยู่ในห้องเพียงคนเดียวตั้งแต่แรกแล้ว” องค์ชายหกก็ได้ตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งมาก ราวกับว่าเขาพูดคนละเรื่องกัน
องค์ชายสามก็ได้โมโหมากเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ “ก็ข้านี้เห็นกับตาของข้าเอง แต่เจ้ายังกลับบอกว่าไม่มีอย่างนั้นเรอะ?”
แล้วสายลมก็ได้พัดมา และไร้ซึ่งเงาใดๆบนต้นไม้ที่ เจียงหวายเย่อยู่เมื่อสักครู่แล้ว ภายใต้สายตาของผู้คนจำนวนมาก เจียงหวายเย่ที่สวมหน้ากากดำบนใบหน้านั้นก็ได้แอบเข้าไปในห้องนอนขององค์ชายหกโดยที่ไม่มีใครพบได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวรยุทธ์ที่ล้ำเลิศของเจียงหวายเย่
แล้วทั้งสามในชุดดำที่อยู่ในห้องนั้นก็ได้มองไปที่คนที่มาเพิ่มอีกหนึ่งนั้นแล้วก็หันมามองกันเอง ท่ามกลางความตกใจแต่ก็ไม่มีใครที่กล้าทำเสียงดังออกไป
ในช่วงเวลาความเป็นความตายเช่นนี้เจียงหวายเย่ก็ได้เดินไปมาราวกับเป็นสวนในบ้านของเขาเอง เขาเดินไปหาน่าหลานจาวแล้วกล่าว “ข้ามีเรื่องอยากจะให้พวกเจ้าช่วย!”
ไม่มีของฟรีใดๆอยู่บนโลกใบนี้ น่าหลานจาวก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อยู่หลายหนแล้วจากนั้นก็ได้ถามด้วยเสียงเบาๆ “เจ้าต้องการอะไร?”
“เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ตามข้ามา!” หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้ไปที่เตียงแล้วกดลงไปที่ใต้เตียงต่อหน้าทั้งสามคน
ด้วยเสียงที่ดังขึ้นมา ชั้นหนังสือก็ได้ค่อยๆขยับอย่างช้าๆ
น่าหลานจาวมองไปที่ตัวตนที่สุดยอดนี้ด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากใจ และแอบคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย
ที่นี่คือตำหนักเย็น แต่คนคนนี้กลับรู้รายละเอียดของตำหนักเย็นเป็นอย่างดี จึงเกรงว่าน่าจะเป็นคนในวังหลวงแน่ๆ แต่ทำไมเขาถึงได้เสี่ยงชีวิตมาช่วยพวกเขาเอาไว้ด้วย?
ทั้งสามคนต่างก็รู้ดีถึงความสามารถของเจียงหวายเย่และได้เดินตามหลังเขาไป แล้วพวกเขาก็ได้หนีรอดออกมาจากการถูกล้อมโดยใช้จุดบอดที่ไม่มีใครรู้
รอดจากหายนะมาได้แล้ว แต่น่าหลานจาวกลับยังไม่รีบหนีไป และแอบเฝ้าดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
“หลีกทางไปซะ ในเมื่อองค์ชายหกไม่ยอมพูดความจริง ก็คงมีแค่ให้ข้าเข้าไปข้างในแล้วตรวจดูเองเสียแล้ว”
ผลักองค์ชายหกออกไป แล้วองค์ชายสามก็ได้นำคนเข้าไปตรวจค้นข้างใน
“อย่าปล่อยให้องค์ชายหกหนีไปได้ล่ะ” เมื่อมองดูในตำหนักเย็นแล้วก็ไม่พบใครเลย แต่เขานั้นเห็นเงาคนทั้งสามคนด้วยตาของตัวเองจริงๆ ดังนั้นคนพวกนั้นจะต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้แน่
แล้วองค์ชายหกก็ได้หลับตา ราวกับไม่อยากที่จะเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะตามมา
จนกระทั่งชาถ้วยหนึ่งผ่านไป ลูกน้องขององค์ชายสามก็ได้ออกมาก้มหัวแล้วรายงาน “เรียนองค์ชายสาม ไม่พบคนน่าสงสัยเลยขอรับ”
เมื่อได้ยินที่รายงาน องค์ชายหกก็ได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่องค์ชายสาม แล้วเขาก็ได้กล่าวขึ้นมาเบาๆ “ท่านพี่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เชิญท่านพี่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“บอกมา ว่าแกเอาคนพวกนั้นไปซ่อนไว้ที่ไหน?” องค์ชายสามนั้นเชื่อในสายตาของเขาเองมาก และเห็นว่ามีคนเข้าไปในห้องนั้นแน่ๆ แต่ทำไมเขาถึงหาไม่พบกันนะ?