หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 290 เลือดศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 290
เลือดศักดิ์สิทธิ์
จากนั้นด้วยมีดสั้นที่อยู่ต่อหน้าทุกคน นางก็ได้เฉือนลงไปที่ฝ่ามือขาวๆของนาง แล้วเลือดสีแดงๆก็ได้ไหลออกมาจากผิวขาวๆนั้นอย่างช้าๆ
“อี๋เอ๋อ!”
ต่างจากซู่ฉุ่ย ท่านยายนั้นดูจะกังวลเจียงอี๋อย่างเห็นได้ชัด เหมือนนางจะทนไม่ได้กับการที่นางต้องเสียเลือด
มองไปที่ใบหน้าของท่านยายที่เป็นกังวลแล้ว เจียงอี๋ก็ได้บิดริมฝีปากซีดๆบางๆของนาง แล้วยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าไม่อาจทนเห็นนางตายโดยไม่ช่วยได้หรอกเจ้าค่ะ”
เจียงอี๋นั้นเหมือนกับดอกพุทธกระดิ่งที่ลงมาจากสวรรค์ นางนั้นทั้งบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะหัวใจที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นนั้นทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
เทียบกับหลินซีเหยียนที่ไร้หัวใจแล้ว ผู้คนต่างก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกันระหว่างหลินซีเหยียนและเจียงอี๋
คนหนึ่งสง่างาม แต่หนาวเย็นจนแช่แข็งได้ทุกสิ่ง
ส่วนอีกคนนั้นงดงาม แต่ศักดิ์สิทธิ์เสียจนเข้าใกล้ไม่ได้
ใครกันแน่ที่เหนือกว่ากัน? เพียงแค่มองผ่านๆก็คงไม่รู้ แต่หากดูนานๆแล้วก็จะพบว่าทั้งสองสาวนี้ต่างกันหลายพันลี้เลยทีเดียว ถ้าหากจะให้เลือกไล่ตามใครแล้วนั้น พวกเขาก็ย่อมที่จะเลือกดอกพุทธกระดิ่งที่สวยงามอย่างเจียงอี๋ ที่ทำดีกับทุกคนมากกว่า
ซู่ฉุ่ยที่ได้ดื่มเลือดของเจียงอี๋เข้าไปนั้น จุดสีม่วงคล้ำที่แขนของนางนั้นก็ได้ค่อยๆหดกลับลงไป แต่ก็ไม่สามารถขจัดให้หายไปจนหมดได้
มองไปที่ใบหน้าที่อ้อนวอนของซู่ฉุ่ยแล้ว เจียงอี๋ก็ได้ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “พิษนี้ร้ายแรงมากเกินไปต่อให้เป็นเลือดของข้าก็ทำได้แค่ยับยั้งชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเจ้าอยากที่จะถอนพิษแล้ว เจ้าคงจะต้องหาทางอื่นแล้วล่ะ”
“อะไรนะ?”
เสียงที่แหลมสูงของซู่ฉุ่ยดังขึ้นมา ผู้คนที่ได้ยินต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่นางด้วยความสงสาร
ในขณะที่ทุกคนกำลังมองดูด้วยความตื่นเต้นนั้น หลินซีเหยียนกลับรู้สึกขี้เกียจที่จะสนใจพวกนางต่อ นางจึงได้หันหลังและจากไปปล่อยให้ซู่ฉุ่ยต้องตัวชานอนอยู่ที่พื้นและไม่อาจลุกขึ้นได้สักพักใหญ่ๆ
ภายในกระโจมหลีเจี้ยนเฉินนั้นอาการดีขึ้นมากแล้ว ในเวลานี้เขากำลังพยายามฝืนลุกขึ้นมาแต่เพราะการเสียเลือดอย่างหนักและไข้ขึ้นสูง ทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงเลย
“ท่านหมอหลินกลับมาแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่โดดเดี่ยวและแฝงด้วยความอับอายนิดหน่อย
ในเวลานี้เขานั้นหมดสภาพอย่างมาก และเกรงว่าคนสุดท้ายที่เขาอยากจะให้ก็คือหลินซีเหยียนนั่นเอง
ส่วนหน่วยลับทั้งหมดได้หายไปหมดแล้วราวกับว่าพวกเขานั้นมีการนัดหมายกันเอาไว้ เขากับหลินซีเหยียนจึงอยู่ในกระโจมกันตามลำพังสองคน ในเวลานี้หลินซีเหยียนก็ได้ช่วยประคองตัวเขาขึ้นมา
มองไปที่หลินซีเหยียน หลีเจี้ยนเฉินก็ได้เปิดปากออกมาแต่ก็พูดอะไรไม่ออก เขาทำได้เอาตัวพิงกับมุมหนึ่งเอาไว้เพื่อรักษามาดของเขาเอาไว้บ้าง
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังมองดูทั้งหมดนี้อยู่นั้น ก็ได้มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอกอย่างต่อเนื่อง และไม่หายไปเป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกระวนกระวายในใจของนางหรืออะไรบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างมาก หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆนางก็ได้ถอนหายใจออกมาแล้วเดินไปหาหลีเจี้ยนเฉิน
ก้มลงไปแล้วเอามือของนางโอบเอวของเขาแล้วจากนั้นก็ออกแรงประคองเขาขึ้นมานั่ง
“ท่านหมอหลิน ข้าไม่เป็นไร”
หลีเจี้ยนเฉินก็ได้กัดฟันพูดแล้วพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นมา แต่ความเป็นจริงก็ได้ตบหน้าของเขาอย่างแรง เมื่อไร้การประคองของหลินซีเหยียนเขานั้นไม่อาจที่จะขยับได้เลย
ในขณะที่เขากำลังแย่อยู่นั้น เสียงของหลินซีเหยียนก็ได้ดังเข้ามาในหูของเขา “หลีเจี้ยนเฉิน ท่านกำลังกังวลอะไรอยู่ฮึ? หรือว่าท่านกังวลว่าข้าจะไม่ชอบท่านเพราะสภาพที่ย่ำแย่ของท่านงั้นเหรอ?”
หลีเจี้ยนเฉินก็ได้ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ท่านหมอหลินไม่ใช่คนเช่นนั้นแน่”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ข้าช่วยล่ะ?” หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่หลีเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้าจริงจังมาก สีหน้าของนางนั้นหนาวเย็นจนทำให้หลีเจี้ยนเฉินต้องตกตะลึง แล้วนางก็กล่าว “ข้านึกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก แต่สงสัยฮ่องเต้หลีจะไม่คิดเช่นนั้น”
การเรียกชื่อหลีเจี้ยนเฉินของหลินซีเหยียนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว จากหลีเจี้ยนเฉินกลับกลายเป็นฮ่องเต้หลี จากที่รู้สึกใกล้ชิดกันขึ้นมานิดหน่อยก็ได้ถอยห่างออกไปเป็นพันลี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” หลีเจี้ยนเฉินก็ได้ต้องการที่จะอธิบายอย่างกระวนกระวาย แต่ด้วยการที่ออกแรงมากไปทำให้อาการเวียนศีรษะเข้าเล่นงานเขา แล้วก็ได้ล้มลงไปกับพื้นเสียงดัง
หงเหยียนที่อยู่ในความมืดนั้น ถึงแม้ว่าเขาอยากที่จะโผล่ออกไปในชั่วขณะนั้นใจจะขาด แต่เขาก็กลับถูกดึงเอาไว้โดยหัวหน้าหน่วยลับของฮ่องเต้ แล้วเสียงที่ไร้ชีวิตของอีกฝ่ายก็ได้ดังขึ้นมา “รอดูก่อน”
หลินซีเหยียนที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็ได้มองดูทั้งหมดนี้อย่าง เย็นชา โดยไม่คิดที่จะไปช่วยหลีเจี้ยนเฉินเลยแม้แต่น้อย
หลีเจี้ยนเฉินก็ได้จ้องไปที่ดวงตาของหลินซีเหยียน ราวกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แต่ในวินาทีต่อมาก็เหมือนเขาไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พอมองไปที่มือที่กำแน่นของหลินซีเหยียนแล้วเขาก็ได้เข้าใจขึ้นมาจริงๆแล้ว จากนั้นก็ได้เงยหน้าไปมองหลินซีเหยียนด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าว “ท่านหมอหลินช่วยข้าที”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกไป ใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งนั้นก็ได้กลายเป็นสายธารน้ำพุร้อนทันที ที่ทั้งอ่อนโยนและน่าหลงใหล
หลินซีเหยียนก็ได้เดินเข้าไปหาแล้วประคองเขาลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นดวงตาสดใสมากของนางก็ได้มองมาที่เขาแล้วกล่าว “แล้วก็จำเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะขอความช่วยเหลือจากข้า ท่านกับข้าเป็นเพื่อนกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
ถึงแม้คำว่า“เป็นเพื่อนกัน”นี้มันจะเสียดแทงหัวใจของเขานิดหน่อย แต่เขาก็ยังยิ้มได้เพราะเขาเชื่อว่าตราบเท่าที่เขายังตั้งใจคอยดูแลนางเช่นนี้แล้ว จะต้องมีวันที่นางหันมามองเขาบ้างอย่างแน่นอน
ในเวลานี้ทั้งสองคนก็ได้กลับมาสนิทกันอีกครั้ง แล้ว หลีเจี้ยนเฉินก็ไม่รู้สึกอับอายหรือเสียใจเพราะความอ่อนแอของเขาแล้ว
แล้วท้องฟ้าที่มืดมิดก็ได้มาถึง ส่วนจี๋เฟิงกับชิงอวี่ที่ถูกส่งออกไปคอยตามดูพวกเขาก็ได้กลับมา
“ซู่ฉุ่ยอยู่ที่ไหน?” หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา นางนั้นไม่ได้เสียใจที่อีกฝ่ายนั้นเอาแมงป่องตัวน้อยของนางไป กลับกันนางกลับมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของนางที่เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของผู้คนออกมาแทน
ชิงอวี่ก็ได้เดินเข้ามาหาแล้วเอนตัวเข้าหาหูของ หลินซีเหยียนแล้วพูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ แล้วหลินซีเหยียนก็ปรากฏใบหน้าที่ประหลาดใจขึ้นมา
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างครุ่นคิดจากนั้นก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา “ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นเสียแล้ว!”
แล้วนางก็ได้มองเห็นดวงตาที่สงสัยของหลีเจี้ยนเฉิน หลินซีเหยียนจึงได้อธิบาย “มีคนมาหาข้าในวันนี้แล้วปรักปรำหาว่าข้าขโมยแมลงวิปลาสของนางไป ข้าจึงได้ส่งแมลงวิปลาสให้อีกฝ่าย และดูเหมือนว่าแมลงวิปลาสของนางนั้นจะไปอยู่กับหญิงสาวในชุดขาวคนนั้นเสียแล้ว”
เมื่อเห็นว่าคิ้วของหลินซีเหยียนขยับขึ้นลงราวกับหงส์ไฟที่ออกเริงระบำแล้ว หลีเจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ท่านหมอหลินคงจะรู้จักแม่นางคนนี้สินะ!”
“อื้ม ท่านเดาถูกแล้ว แม่นางคนนี้กับข้าเพิ่งรู้จักกันวันนี้เอง และเลือดของอีกฝ่ายนั้นเหมือนจะมีพลังในการยับยั้งพิษเสียด้วย นางคิดว่านางคงจะต้องมีความลับซ่อนอยู่มากมายเชียวล่ะ”
“ท่านอยากที่จะรู้งั้นเหรอ?” หลีเจี้ยนเฉินก็ได้ถามขึ้นมา
หลินซีเหยียนก็ได้รีบตอบไป “แน่นอนว่าไม่ แต่ข้ารู้ว่านางมีความอันตรายซ่อนอยู่แน่”
เมื่อใบหน้าของหลินซีเหยียนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแล้ว หลีเจี้ยนเฉินก็ได้ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเห็นท่านหมอหลินยิ้มออกมาเช่นนี้แล้ว ข้าก็คงต้องเชื่อเสียแล้ว”
เมื่อได้ยินที่พูด หลินซีเหยียนก็ได้รีบหุบยิ้มแล้วทำสีหน้าเป็นจริงจังแล้วกล่าว “ข้าไม่ยิ้มแล้ว คราวนี้ท่านจะยังเชื่ออยู่ไหม?”
หลีเจี้ยนเฉินก็ได้หัวเราะออกมาอย่างชื่นบาน แต่เพราะการสั่นไหวอย่างรุนแรงที่หน้าอกของเขา ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบเสียดแทงขึ้นมาที่แผลของเขา ซึ่งทำให้เขาต้องหยุดหัวเราะแต่ก็ยังคงเหลือใบหน้าแดงๆเอาไว้
บรรยากาศที่ชื่นมื่นเช่นนี้ได้ถูกเห็นเข้าโดยชายคนหนึ่งที่ยืนมองดูไกลออกไปท่ามกลางความหนาวเย็นของค่ำคืน เขายืนอยู่อย่างเงียบๆอยู่พักใหญ่แล้วก็ได้เลือกที่จะจากไปอย่างเงียบๆ