หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 269 ถอนคำสั่ง
บทที่ 269 ถอนคำสั่ง
มหาเสนาบดีหลินลังเลอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นมา “กระหม่อมมาที่นี่เพราะเรื่องของบุตรสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีสีหน้าดีใจ ฮ่องเต้เจียงก็ฉุกคิดขึ้นมา พลันนั้นเองใบหน้าของเขาก็มืดครึ้ม “หรือว่ามหาเสนาบดีหลินจะไม่พอใจกับความต้องการของข้า?”
มหาเสนาบดีหลินหมอบก้มโดยพลัน “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่บุตรสาวของข้าไม่ได้มีความรู้ความสามารถมากมายถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังไม่ได้ทำคุณงามความดีอะไร จึงไม่สมควรจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“หลินรั่วจิ่งเป็นถึงลูกศิษย์ของท่านมหาปราชญ์ นางก็สมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงแล้ว”
ฝ่ายฮ่องเต้เจียงเองก็พอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ ในใจจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
เขาจะปล่อยให้ขุนนางตัวเล็ก ๆ มาค้านการตัดสินใจของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
“ดูเหมือนว่ามหาเสนาบดีหลินจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงมานานเกินไป จนตอนนี้ไม่เห็นหัวของข้าแล้วสินะ” คำพูดนี้รุนแรงเสียจนแม้แต่ตัวคนพูดเองก็รู้สึกสั่นสะท้าน แต่ก็อย่างที่กล่าวไป ถ้าเขาต้องการให้มหาเสนาบดีหลินตาย อีกฝ่ายก็ต้องตาย
มหาเสนาบดีหมอบลงไปอีกครั้ง หยดเหงื่อเย็นไหลอาบเต็มหน้าผาก “กระหม่อมไม่กล้าขัดฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่กล้าอย่างนั้นหรือ? แต่ข้ากลับคิดว่าเจ้ากล้ามากเลยต่างหาก” ดวงตามังกรจ้องขุนนางที่อยู่เบื้องหน้าเขม็ง
จากนั้นก็เกิดความเงียบแปลก ๆ ขึ้นภายในห้องทรงงานนั้น เงียบขนาดที่มหาเสนาบดีหลินได้ยินเสียงหัวใจตัวเต้นเร็วรัวดังขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายเขาก็กลืนน้ำลายอันเหนียวหนืดลงคอไปและกราบทูลอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก
“บุตรสาวของกระหม่อมยังไม่มีคุณงามความดีอะไร ถ้าหากอยู่ ๆ นางรับพระราชทานเช่นนี้ กระหม่อมเกรงว่าผู้คนจะไม่ยอมรับเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงเกรงว่ามันอาจจะส่งผลต่อชื่อเสียงของฝ่าบาทได้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินที่กล่าว ชายผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงศักดิ์กว่าก็รู้สึกลังเลขึ้นมานิดหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วฮ่องเต้เจียงก็กล่าวออกไปว่า “พิธีแต่งตั้งองค์หญิงนั้นจะถูกจัดขึ้นในอีกห้าวันให้หลัง เจ้ากลับไปเตรียมลูกสาวของเจ้าให้พร้อม”
ดูเหมือนว่าไม่ว่าอย่างไรหลินรั่วจิ่งก็จะต้องถูกพาไปเป็นองค์หญิงอยู่ดี
คิดได้เช่นนั้นดวงตาของมหาเสนาบดีหลินก็มืดดำขึ้นมา และแม้ว่าหัวใจของเขาจะยังไม่ยอมแพ้ แต่ไม่ยอมแพ้แล้วจะทำอย่างไรต่อได้? สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ก้มหัวเชื่อฟัง “กระหม่อมขอบพระทัยในพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้เป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เจียงเห็นอีกฝ่ายอ่อนข้อลงไปเช่นนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “มหาเสนาบดีหลิน เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เจ้ามีลูกสาวที่เก่งกาจเช่นนี้ อีกไม่นานเจ้ากับข้าต่างก็เป็นพ่อของนางเหมือนกันแล้ว ข้าย่อมไม่ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีอย่างแน่นอน”
“กระหม่อมขอขอบพระทัยในความกรุณาของฝ่าบาทกระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ มหาเสนาบดีหลินก็ถวายบังคมแล้วจากนั้นก็กลับไป
และเมื่อเขามาถึงจวนของตนเองแล้ว ก็ได้เจอเข้ากับหลินรั่วจิ่งพอดี นางเองเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีของเขา ก็คงรู้ว่าต้องมีข่าวร้ายแน่ ๆ กระนั้นนางก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเลวร้ายมากเสียจนไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร
“อะไรนะเจ้าคะ? อีกห้าวันนับจากนี้?” เมื่อได้ทราบข่าวนี้จากฝ่ายบิดาที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง หลินรั่วจิ่งก็อุทานเสียงดัง
กระนั้นนางก็ยังไม่ยอมแพ้ ถามบิดาต่อ “ทำไมฮ่องเต้ถึงได้แน่วแน่มากขนาดนั้น? เปลี่ยนใจเขาไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ?”
มหาเสนาบดีหลินเบิกตากกว้างขึ้นมาเมื่อได้ยินที่นางพูด “เจ้าอย่าได้หลุดพูดคำที่ลบหลู่เช่นนั้นออกมาซี้ซั้วนะ ไม่อย่างนั้นอาจจะนำภัยมาเยือนตระกูลเราได้”
ได้ยินเช่นนั้นหลินรั่วจิ่งจึงสงบปากสงบคำตัวเองลงไป “เป็นความผิดของลูกเองที่เผลอพลั้งปากออกไป ลูกคงกำลังสับสนอยู่ เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” จากนั้นนางก็เดินผละจากไปทันที
มันสายไปเสียแล้ว มันหมดประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อ นางควรจะรีบคิดหาวิธีแก้ไขจะดีกว่า
แต่ไม่ว่าหลังจากนั้นนางจะหาวิธีการใดไปเพื่อหยุดยั้ง ข่าวเรื่องที่หลินรั่วจิ่งจะได้ขึ้นเป็นองค์หญิง ก็ได้แพร่ออกไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ใครต่อใครต่างรู้เรื่องนี้กันอย่างถ้วนทั่ว
คนทั่วไปต่างก็มองหลินรั่วจิ่งเป็นเหมือนนางฟ้าลงมาเกิด และคิดว่าตระกูลหลินนั้นช่างโชคดียิ่งนัก รวมถึงคุณหนูจากตระกูลผู้ดีมากมายก็เข้ามารุมล้อมเอาใจหลินรั่วจิ่ง ถึงแม้ว่าจะแอบอิจฉาอยู่ในใจ
นอกจากนี้ยังมีคุณชายบางคนจากหลาย ๆ ตระกูลมาหาหลินรั่วจิ่งไม่เว้นแต่ละมื้ออาหาร จนหัวกระไดแทบจะไม่แห้ง ทว่าก็โดนมหาเสนาบดีหลินไล่ตะเพิดกลับไปอยู่ดี
มหาเสนาบดีหลินมองไปที่คนโง่ไร้สมองพวกนั้นอย่างเย็นชา สีหน้าของเขามืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ “พวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ว่าการแต่งงานขององค์หญิงน่ะฮ่องเต้จะเป็นคนตัดสินใจได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น! ถ้าหากอยากแต่งกับลูกสาวข้านักก็ไปขอกับฮ่องเต้โน่น”
เหล่าคุณชายที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็พูดอะไรไม่ออก ด้วยคิดว่าพวกเขาจะสามารถไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้อย่างไร
ในไม่ช้า เหล่านกน้อยสัตว์ก็พากันกระจัดกระจายไป
แน่นอนว่าคลื่นบนทะเลย่อมไม่มีระลอกเดียว เมื่อระลอกเก่าซัดผ่านไป ประเดี๋ยวระลอกใหม่ก็ซัดเข้ามาอีก ในยามนี้จวนมหาเสนาบดีจึงได้วุ่นวายเป็นอย่างมาก
หลินซีเหยียนที่กำลังจะก้าวขาออกไปข้างนอก เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้เข้านางก็พึงพอใจยิ่งนัก จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปที่โรงหมอหุยชุน โดยที่ลืมไปเลยว่ามีสองคุณชายอยู่ที่นั่นด้วย!
ทันทีที่หลินซีเหยียนเข้ามาในโรงหมอหุยชุน นางก็เจอหลีเจี้ยนเฉินกับเจียงหวายเย่กำลังเล่นจ้องตากันอยู่ ซึ่งเมื่อสองคนนั้นเห็นนางเดินเข้ามา ก็รีบแข่งกันเดินเข้ามาหานาง
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อเจ้าช่วยเปิ่นหวางหน่อย เมื่อสักครู่เปิ่นหวางรู้สึกไม่ค่อยดี เจ้าช่วยดูอาการให้เปิ่นหวางที” ใบหน้าอันหล่อเหลาของเจียงหวายเย่บัดนี้กำลังย่นเข้าหาดูเหมือนเด็กน้อย และเมื่อประกอบกับน้ำเสียงกระเง้ากระงอดก็ยิ่งดูเหมือนเด็กเข้าไปใหญ่ แต่เมื่อดูสีหน้าของเขาจริง ๆ แล้ว หลินซีเหยียนก็พบว่าชายหนุ่มดูหน้าซีดจริง ๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคืนนี้เจ้าหนอนวิปลาสด้ายแดงได้ออกฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง
กระนั้นเจียงหวายเย่ในตอนนี้มีเจตนาเพียงจะแกล้งให้เสี่ยวเยียนเอ๋อเป็นห่วงเท่านั้น
ส่วนหลีเจี้ยนเฉินที่ตามอีกฝ่ายไม่ทัน หรือไม่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไร้ยางอายได้มากถึงเพียงนั้น ก็เลยคิดว่าเจียงหวายเย่อาการไม่ดีจริง ๆ จึงได้ยอมให้หลินซีเหยียนตรวจอาการของเจียงหวายเย่ก่อน
เมื่อหลินซีเหยียนลงมือตรวจชีพจรขององค์ชายเย่แล้วก็พบว่าชีพจรติดขัดนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก นางจึงผละมือแล้วหยิบเอายาขวดเล็กออกมาจากกระเป๋า “จากนี้ไปให้ทานยานี้วันละเม็ดทุกวัน”
พิษในร่างกายของเจียงหวายเย่ในเวลานี้นั้นเหมือนกับระเบิดเวลา ดังนั้นหากนางไม่สามารถกำจัดออกได้ทันการ... พอคิดมาถึงตรงนี้หลินซีเหยียนก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ด้วยเพราะเจียงหวายเย่ไม่ได้สนใจดูแลร่างกายตัวเองเลยแม้แต่น้อย ทำราวกับเขายอมแพ้ไปแล้ว
ดวงตาของเจียงหวายเย่มืดดำขึ้นมา แล้วก็รับยามาโดยที่ไม่ถามอะไรอีก “สิ่งที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อบอกเปิ่นหวาง เปิ่นหวางจะทำตาม”
หลีเจี้ยนเฉินที่รู้สึกว่าหลินซีเหยียนลำเอียงก็พลันท้วงขึ้นมา “ทำไมท่านหมอหลินถึงได้ให้ยาเม็ดกับเขาล่ะ? ทีของข้าล่ะเป็นยาต้ม หนำซ้ำยาต้มรอบล่าสุดก็ขมจนแทบบ้า ตอนนี้ข้ารับรสอะไรไม่ได้นอกจากรสขมแล้วเนี่ย”
“ยาขมก็เป็นเรื่องปกตินี่” หลินซีเหยียนยิ้มออกมาอย่างดูมีเลศนัย เนื่องจากวันนั้นนางกำชับให้เด็กหนุ่มลูกจ้างใส่อึ่งอ่างเพิ่มลงไปในยาต้มเพื่อเพิ่มความขม
ขนาดข้าเองยังไม่อยากจะจินตนาการถึงรสชาติเลย!
ส่วนหลีเจี้ยนเฉินที่ไม่รู้ว่าท่านหมอหลินเป็นต้นเหตุของความอภิมหาขมนี้ จึงได้บ่นให้นางฟังต่อไป
แต่เมื่อหลินซีเหยียนมองคนตรงหน้าไปเรื่อย ๆ ก็เกิดคิ้วขมวดสงสัยขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ท่านยังไม่กลับไปที่รัฐหลีก็เพราะบาดเจ็บหนัก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ตอนนี้บาดแผลของท่านก็เกือบหายสนิทแล้ว ทำไมท่านถึงยังอยู่ที่นี่อีก?”
เมื่อได้ยินที่ถาม หลีเจี้ยนเฉินก็มองหญิงสาวอย่างแน่วแน่ สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “มันก็แน่อยู่แล้ว มีเพียงเหตุผลเดียวที่ข้ายังอยู่ที่นี่ ก็เพราะท่านหมอหลินอย่างไรล่ะ”
เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนที่คิดจะเถียงอะไรออกมา เขาก็รีบพูดต่อ “เพราะท่านหมอหลินคือคนในโชคชะตาของข้า เช่นนั้นแล้ว หากท่านหมอหลินไม่แต่งงานกับข้า ข้าก็จะไม่กลับไปที่รัฐหลีเป็นอันขาด”
ฉับพลันนั้นเองแววตาเย็นเยือกใคร่สังหารคนก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเจียงหวายเย่ เขาเปิดปากราวกับสาดน้ำเย็นใส่อีกฝ่ายทันที “อย่าทำเป็นปากเก่งนักเลยฮ่องเต้หลี อีกไม่กี่วัน เดี๋ยวท่านก็ต้องกลับไปที่รัฐหลีแน่”
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วรัฐหลียามนี้ได้เกิดวิกฤตบางอย่างขึ้น แต่เพื่อที่จะให้ฮ่องเต้ได้แต่งงานกับฮองเฮาในคำทำนายแล้ว มหานักบวชจึงได้ปิดบังเรื่องวิกฤตที่ว่าเอาไว้ และวางแผนจะจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยไปถึงหูหลีเจี้ยนเฉินเลย
ฮ่องเต้ผู้ซึ่งยังไม่รู้อะไรบ้างเลยจึงได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ และคิดเพียงแต่ว่าอีกฝ่ายแค่ขู่ไปเรื่อยเท่านั้น “องค์ชายเย่ อย่าได้ดูถูกความมุ่งมั่นของข้าเด็ดขาด!”