หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 268 ไม่อยากเป็นองค์หญิง
บทที่ 268 ไม่อยากเป็นองค์หญิง
เมื่อเห็นชิวฉุ่ยกลืนยาเข้าไปเรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ส่งสัญญาณเป็นเชิงว่าให้นางกลับไปได้ สาวใช้เร่งมือเก็บเหรียญที่ร่วงอยู่ที่พื้นก่อนจะจากไป
“แล้วจำไว้ว่าอย่าได้คิดเล่นตุกติก มิเช่นนั้นเจ้าจะได้พบจุดอันน่าอนาถแน่” เมื่อได้ยินเสียงเตือนอันเยือกเย็นดังไล่หลังมาแล้ว ชิวฉุ่ยก็แทบจะสะดุดล้มหัวคะมำทันที นางรีบทรงตัวแล้วเดินหน้าต่อไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
“จี๋เฟิง เจ้าคอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาด” กระนั้นแล้วหลินซีเหยียนก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี จึงได้หันไปกำชับกับคนของตนอีกรอบ
“ขอรับ” สิ้นคำ จี๋เฟิงก็มุ่งตาตามชิวฉุ่ยออกไปอย่างลับ ๆ ทันที
คล้อยหลังทุกคน หลินซีเหยียนเหยียดยิ้มเยือกเย็นออกมา ในอกของนางตอนนี้ร้อนไปด้วยความแค้นผิดกับสีหน้า
แม่ของข้าต้องตายเพราะฝีมือของฮูหยินอวี้ ข้าจะเอาคืนเป็นสองเท่าเลยคอยดู!
เรื่องที่สาวใช้ที่ฮูหยินอวี้ส่งมาเพื่อฆ่าหลินซีเหยียน แต่กลับถูกซื้อตัวให้ทรยศตัวนางเสียเองนั้น คงเป็นเรื่องที่ตลกที่สุดแล้วกระมัง
หลังจากที่จัดการกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็กลับเรือนเชียนเหยียนแล้วศึกษาตำราแมลงวิปลาสต่อ และหวังว่าจะเจอวิธีการกำจัดแมลงวิปลาสในตัวของเจียงหวายเย่ให้เร็วที่สุด
ในวันถัด ๆ มา ขณะที่หลินซีเหยียนกำลังศึกษาตำราอย่างขะมักเขม้นนั้น นางก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากข้างนอก
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากตำราที่กำลังอ่านก็พบว่าเป็นรั่วฉุ่ยที่วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่ดีเท่าไรนัก
“เกิดอะไรขึ้น?” คนพลันถามทันที
รั่วฉุ่ยยืนนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับมือที่กุมหน้าอกไว้พยายามควบคุมลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ ไม่นางนักนางจึงกึ่งฟ้องกึ่งรายงานหลินซีเหยียนด้วยท่าทีไม่พอใจ
“องค์ฮ่องเต้ทรงตรัสว่าจะพระราชทานยศองค์หญิงให้แก่หลินรั่วจิ่งและมอบตำหนักในวังหลวงให้กับนางด้วยเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนขมวดคิ้วขึ้นมานิด ๆ ด้วยคิดว่า เช่นนั้นแล้ว ต่อให้ฮูหยินอวี้ถูกกักบริเวณอยู่ แต่สถานะของนางก็จะสูงขึ้นด้วยเหตุดังกล่าว
หญิงสาวเองก็พอจะเข้าใจความคิดของฮ่องเต้เจียงอยู่บ้าง เพราะว่าการที่ฮ่องเต้เจียงคิดจะมอบตำแหน่งให้หลินรั่วจิ่งเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าหลินรั่วจิ่งจะไม่สามารถเลือกคู่แต่งงานด้วยตัวเองได้อีกต่อไป
ซึ่งนั่นเป็นเสมือนเหรียญสองด้าน!
นอกจากหลินซีเหยียนที่สามารถมองแผนการอันซับซ้อนนี้ออกแล้ว หลินรั่วจิ่งก็เช่นกัน นางเองก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อรู้ซึ้งเช่นนั้นแล้ว หลินรั่วจิ่งยามนี้จึงได้สีหน้าซีดเผือดเป็นยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่าเราจะต้องรีบเลือกว่าจะหนุนหลังองค์ชายสักคนให้เร็วที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้นการแต่งงานของเราก็จะเป็นฮ่องเต้เพียงผู้เดียวที่จะตัดสินใจได้!”
สำหรับสตรีที่มีความสามารถอย่างนางแล้ว นางย่อมไม่ปล่อยให้ชะตาชีวิตของตัวเองอยู่ในกำมือของผู้อื่นเป็นแน่
“ถ้าหลินรั่วจิ่งไม่ได้โง่ นางก็น่าจะมองอะไรเช่นนี้ออกเหมือนกัน” เมื่อเหลือบมองเห็นสายตาที่แสนสงสัยของรั่วฉุ่ย นางก็เอามือโคลงศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ “รั่วฉุ่ยยังเด็กอยู่ จึงมีบางเรื่องที่เจ้าอาจจะไม่เข้าใจ”
ทว่าฝ่ายรั่วฉุ่ยกลับไม่พอใจนิด ๆ “คุณหนูเจ้าคะ รั่วฉุ่ยไม่ใช่เด็กแล้วนะเจ้าคะ” พลางส่งสายตาอ้อนวอนขอคำตอบ
หลินซีเหยียนจึงถอนหายใจออกมาแล้วอธิบาย “หลินรั่วจิ่งนั้นเป็นสตรีมากความสามารถที่มีมีชื่อเสียง ดังนั้นนางจึงเหมาะสมจะขึ้นเป็นฮองเฮา และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้หลินรั่วจิ่งไปแต่งงานกับคนอื่น ฮ่องเต้จึงคิดที่จะพระราชทานยศองค์หญิงให้นาง เพื่อที่จะได้มีอำนาจควบคุมการแต่งงานของนางไว้ในมือของพระองค์”
รั่วฉุ่ยผงกหัว ทว่าในไม่ช้าก็ส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าท่านมหาเสนาบดีจะเป็นคนเลือกคู่ให้คุณหนูหกหรือเจ้าคะ?”
หลินซีเหยียนจึงหันมามองแล้วเคาะหน้าผากรั่วฉุ่ยเบา ๆ “เจ้าลืมกฎมณเฑียรบาลของอาณาจักรเราไปแล้วหรือ? การแต่งงานขององค์หญิงน่ะ ผู้ที่จะตัดสินใจได้มีเพียงฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น”
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังสอนความรู้ทั่วไปให้รั่วฉุ่ยอยู่นั้นเอง อีกฟากหนึ่ง หลินรั่วจิ่งก็รีบผลักประตูเข้าไปในห้องของผู้เป็นบิดาโดยที่ไม่มีแม้แต่การเอ่ยปากขอนุญาตใด
“รั่วจิ่ง เจ้าเป็นอะไรไปทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนนัก?” มหาเสนาบดีหลินรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ ที่บุตรสาวตนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาไม่สมกับเป็นกุลสตรี
ทว่าหลินรั่วจิ่งไม่มีแม้แต่จะสนใจคำถามขอผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านจะยอมเห็นดีเห็นงามด้วยไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านต้องรีบไปที่วังหลวงและปฏิเสธพระกรุณาของฮ่องเต้เดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าคะ”
“ปฏิเสธทำไมกัน? มันน่าจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?” ใบหน้าของมหาเสนาบดีหลินยามนี้ดุจะปั้นปึ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เป็นเกียรติไม่ใช่หรือไงที่จะได้มีองค์หญิงอยู่ในตระกูลเราน่ะ” กระนั้นเขาก็พยายามจะใจเย็นลง ด้วยคิดว่าลูกสาวของตนคงจะมีคำอธิบายที่ดี “เช่นนั้น ไหนเจ้าลองว่าเหตุผลของเจ้ามาซิ”
หลินรั่วจิ่งลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองข้างนอกประตู เมื่อมองดูรอบ ๆ แล้วว่าไม่มีใครนางก็งับบานประตูลง แล้วพูดกับบิดาต่อ
“ท่านพ่อ ท่านไม่สงสัยบ้างหรือเจ้าคะว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้คิดจะแต่งตั้งให้ข้าเป็นองค์หญิงน่ะ?”
มหาเสนาบดีหลินไตร่ตรองอยู่สักพัก จากนั้นจึงกล่าวตอบไป “มันก็จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อพระวงศ์กับตระกูลขุนนางใหญ่เช่นเราใกล้ชิดกันมากขึ้น และที่สำคัญคือพวกเขาจะได้ลูกสาวที่แสนฉลาดของข้าไปอย่างไรล่ะ”
บิดาของนางนั้นสมกับเป็นมหาเสนาบดีของอาณาจักรแห่งหนึ่ง เขาสามารถวิเคราะห์อะไรออกมาได้สมเหตุสมผล จึงไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้แต่ละสมัยมักจะระวังขุนนางชั้นสูงเช่นนี้มาแล้วเนิ่นนาน
“ถ้าเช่นนั้นมันจะไม่เป็นการง่ายกว่าเหรอเจ้าคะ ที่ฮ่องเต้จะรับสั่งให้ข้าแต่งงานกับองค์ชายคนหนึ่งตรง ๆ ไปเลย?” หลินรั่วจิ่งจึงย้อนถามกลับ
แน่นอนว่าการแต่งงานตรง ๆ ไปเลยย่อมดีกว่า การพระราชทานยศให้เช่นนี้เป็นเรื่องที่วุ่นวายมาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมหาเสนาบดีหลินก็รู้สึกสับสนขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำเช่นนี้?”
เมื่อหลินรั่วจิ่งเห็นว่าถนนหนทางที่ตนสู้อุตส่าห์ปูไว้แล้วกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ดี นางจึงไม่คิดปิดบังอีกต่อไป “ฮ่องเต้คิดจะกุมตระกูลเราเอาไว้ในมือของเขาน่ะสิเจ้าคะ”
มหาเสนาบดีหลินถึงกับผงะเมื่อได้ยินที่กล่าว แล้วการทำให้ข้าจงรักภักดีกับเขานั้น มันต่างกับตอนนี้อย่างไรรึ?”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านลืมเรื่องการแย่งชิงราชบัลลังก์ไปแล้วหรือเจ้าคะ?” หลินรั่วจิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“การแย่งชิงราชบัลลังก์?” มหาเสนาบดีหลินพูดทวนคำโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งทันทีที่เขารู้สึกตัวก็ตัวสั่นขึ้นมา
“เรื่องของการแย่งชิงราชบัลลังก์นั้นมักเป็นปัญหาใหญ่อยู่เสมอ ซึ่งเรียกได้ว่าหากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวก็จะล้มทั้งกระดานทันที แล้วถ้าลูกสาวของท่านถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงขึ้นมา ท่านพ่อก็จะไม่สามารถเลือกข้างได้อีกต่อไป และจะต้องทำตามพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
หลินรั่วจิ่งกล่าวต่อโดยไม่มีช่องว่างให้มหาเสนาบดีได้ตอบโต้ “แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ใครจะได้เป็นองค์รัชทายาทก็ยังไม่รู้แน่ชัด”
ถ้าเกิดว่ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา แล้วฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลมหาเสนาบดีก็จะเป็นคนกลุ่มแรกที่จะถูกกำจัด!
มหาเสนาบดีหลินรู้สึกกลัวขึ้นมาหลังจากที่คิดเรื่องนี้ และเมื่อนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องได้ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวกับลูกสาวว่า “ข้าจะต้องไปวังหลวงเพื่อเข้าพบกับฮ่องเต้เดี๋ยวนี้!”
หลังจากนั้นมหาเสนาบดีหลินก็รีบออกจากห้องไปโดยที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งเขาได้
หลินรั่วจิ่งมองแผ่นหลังที่กำลังจากไปของบิดาตนด้วยสายตาแห่งความคาดหวัง แม้ว่าความหวังนั้นจะดูริบหรี่เหลือเกิน
หลังจากที่ออกจากจวนตัวเองไปแล้ว มหาเสนาบดีหลินก็ตรงแน่วไปยังวังหลวงทันทีโดยที่ไม่แวะทักทายขุนนางที่รู้จักกันระหว่างทางเลย
เมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง เขาทราบจากขันทีว่าฮ่องเต้นั้นอยู่ในห้องทำงาน มหาเสนาบดีหลินจึงได้รีบไปยังสถานที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็มาอยู่หน้าห้องในสภาพเหงื่อท่วมตัว
ในเวลานี้ฮ่องเต้เจียงกำลังตรวจดูรายงานอยู่ในห้องทรงงาน ซึ่งอึดใจต่อมาเสียงของกาวกงกงที่อยู่หน้าห้องก็ดังขึ้น “ทูลฝ่าบาท มหาเสนาบดีหลินได้มาที่นี่ ดูเหมือนว่าจะมีธุระเร่งด่วนนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา!” ฮ่องเต้วางเอกสารในมือลง ในยามนี้เขาช่างมีท่าทีที่น่าเกรงขามและชวนขัดไม่ได้ในทุกอิริยาบถ
ทันทีที่มหาเสนาบดีเข้ามาข้างใน เขาก็ถวายบังคมแล้วเข้าเรื่อง “กระหม่อมขอเข้าพบฝ่าบาท”
“ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองนักหรอก” ฮ่องเต้เจียงสะบัดมืออย่างคนใจกว้าง
“ฝ่าบาท คือว่ากระหม่อม…” มหาเสนาบดีหลินอยากจะพูดความในใจออกมาใจจะขาด แต่ก็รู้สึกไม่กล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เมื่อเห็นท่าทางยักแย่ยักยันของอีกฝ่าย ฮ่องเต้เจียงจึงชักสงสัยขึ้นมาและพูดเร่ง “มีธุระอะไรรึ? ว่ามาสิ”