หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 256 ความสนใจเหมือน ๆ กัน
บทที่ 256 ความสนใจเหมือน ๆ กัน
ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญนักเมื่อคนที่ลงมาจากรถม้าคือคุณหนูห้าของจวนมหาเสนาบดี
หลินรั่วจิ่งที่ลงมาจากรถม้าค่อย ๆ เดินไปตรงหน้าของจงซู่เฟิง ซึ่งดูเหมือนว่าขณะนี้ฝ่ายหลังได้กลายไปเป็นขวัญใจมหาชนเสียแล้ว เสียงผู้คนตามถนนหนทางชมเขาไม่ขาดปาก เช่นเดียวกันกับคุณหนูห้าที่รู้สึกชื่นชมในใจ กระนั้นนางก็ยังคงตกอยู่ในอารามตกใจอยู่ดี “ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ คุณชายจง หากท่านมีเวลาข้าใคร่อยากชงชาให้คุณชายได้ดื่มเพื่อเป็นการขอบคุณท่าน”
เดิมทีจงซู่เฟิงต้องการจะปฏิเสธ แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเปลี่ยนใจไปผงกหัวตกปากรับคำเสียอย่างนั้น
“เราไม่ขอปฏิเสธน้ำใจของแม่นาง”
ฝ่ายหลินรั่วจิ่งผงกหัวพร้อมยิ้มน้อย ๆ และเนื่องจากว่าม้าได้คอหักตายไปแล้ว ทั้งคู่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเท้ากลับจวนมหาเสนาบดี
ในขณะที่กำลังเดินผ่านตรอกแคบ ๆ อยู่นั้น ก็มีชายชุดดำหลายคนโผล่ออกมาล้อมหน้าล้อมหลังไว้ หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “ถ้ายังไม่อยากตายก็ส่งของมีค่ามาให้หมด!”
หญิงสาวตกใจสะดุ้งตัวโยน รีบไปหลบหลังจงซู่เฟิงทันที “พวกเจ้าต้องการเท่าไร? พวกเราให้เจ้าแน่ ขอแค่อย่าได้ทำร้ายพวกเราก็พอ”
โจรพวกนี้คิดเพียงแค่จะขู่เอาทรัพย์เท่านั้น ไม่ได้คิดจะฆ่าฟันจริง ๆ อย่างที่ปากว่า แต่เมื่อได้เห็นโฉมงามเช่นหลินรั่วจิ่ง พวกมันก็เกิดคิดมิดีมิร้ายขึ้นมา “ทิ้งของมีค่าไว้ตรงพื้น แล้วก็ทิ้งแม่นางผู้นี้ไว้ที่นี่ด้วย”
คิ้วหนาของจงซู่เฟิงขมวดเข้าหากันทันทีพร้อมมองพวกมันด้วยสายตาเย็นยะเยือก “เอาเงินไปแล้วจากไปดี ๆ เสีย ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษข้าที่โหดร้ายกับพวกเจ้า!”
“โอ้ เจ้าหน้าหล่อคนนี้พูดจาโอหังไม่เบาเลยนะ!” ว่าแล้วเจ้าพวกโจรก็เดินเข้าไปหาทั้งคู่พร้อมด้วยดาบในมือ สายตาเปล่งประกายไปด้วยราคะจับจ้องไปที่ชุดสตรีของหลินรั่วจิงไม่วางตา ราวกับว่าจะมองให้ทะลุชั้นผ้าเสียให้ได้
สีหน้าของจงซู่เฟิงถมึงทึงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นท่าว่าไม่ดีแน่ ๆ จึงสาวเท้าไปอยู่ข้างหลังฝ่ายหญิง แล้วจับมือหลินรั่วจิ่งขึ้นมาปิดตานางไว้
ในขณะที่หลินรั่วจิ่งกำลังสับสนอยู่นั้น เสียงกระซิบของจงซู่เฟิงก็ดังเข้ามาในหู “สัญญากับข้า ว่าจะไม่ลืมตาขึ้นมา”
หลินรั่วจิ่งที่กำลังอยู่ในอารามตื่นเต้นสับสนก็รู้สึกใจเย็นลง นางผงกหัวแล้วปิดตาไว้อย่างนั้นอย่างเชื่อฟัง เพียงชั่วอึดใจ นางก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นวูบหนึ่งที่พัดผ่านตัวไป ทำเอานางอดใจสั่นนิดหนึ่งไม่ได้
แค่ชั่วสายลมวูบไป หญิงสาวก็ได้ยินเสียงหมัดกระทบเนื้อดังปึกปัก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของฝ่ายโจรที่ดังขึ้นมาทีละคนสองคน
ฟังดูน่าหดหู่เหลือเกิน
ฝ่ายจงซู่เฟิงนั้นกำลังยกพวกโจรที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและไม่อาจขัดขืนได้ขึ้นมา ชายหนุ่มจัดการโยนพวกมันทิ้งไปไว้ตรงข้างทาง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับไปหาหลินรั่วจิ่ง
เขาค่อย ๆ ดึงมือของอีกฝ่ายที่ปิดตาอยู่ลงมา พลางกล่าวปลอบใจ “ไม่มีอะไรแล้วแม่นาง พวกเรากลับกันเถอะ”
หลินรั่วจิงเอามือลงอย่างว่าง่าย ตามองซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วตามคำคน นางจึงออกเดินไปพร้อมกับจงซู่เฟิงทันที
หลังจากที่ทั้งคู่เดินจากไปได้ครู่หนึ่งแล้ว “โจร” ที่เคยหมดสติกองกันอยู่ตรงพื้น บัดนี้ก็ทยอยพากันลุกขึ้นมา แววตาแต่คนดูเคร่งขรึมขึ้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้ากลับไปโรงหมอหุยชุนทันที แล้วบอกหลีเจี้ยนเฉินถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อฮ่องเต้หลีมองร่องรอยบาดแผลตามตัวของลูกน้องตนแล้ว เขาก็พึมพำกับตนเองเบา ๆ “ทำไมจงซู่เฟิงถึงต้องปิดบังความจริงเรื่องที่เขารู้วรยุทธ์ด้วยนะ?”
แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด ส่วนที่สำคัญที่สุดคือจงซู่เฟิงใช้วรยุทธ์เพื่อปกป้องหลินรั่วจิ่งได้ แต่ในตอนที่ท่านหมอหลินอยู่ในอันตราย เขากลับเลือกที่จะปิดบัง
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกแปลกยิ่งนัก สุดท้ายหลีเจี้ยนเฉินจึงตัดสินใจที่จะบอกกับท่านหมอหลินให้ระวังตัวเอาไว้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เขาก็ส่งคนไปตามท่านหมอหลิน และเมื่อนางมาถึง หลีเจี้ยนเฉินก็สั่งให้คนทุกคนออกไปอยู่ข้างนอก
ยามนี้มีเพียงหลินซีเหยียนและเขาอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพังเท่านั้น
“ฮ่องเต้หลีมีธุระอะไรหรือเพคะ ถึงได้เรียกหาหม่อมฉัน?” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำห่างเหินเล็กน้อย ท่าทีของนางที่มีต่อหลีเจี้ยนเฉินนั้นยังคงเย็นชาอยู่
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง แต่หลีเจี้ยนเฉินก็ยังพูดออกไป “ข้าว่าท่านหมอหลินอย่าได้พบปะกับจงซู่เฟิงไปมากกว่านี้จะดีกว่า”
หลินซีเหยียนเลิกคิ้วขึ้นมาทันที นางรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรนักเมื่อมีคนมายุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของนาง “ฝ่าบาทพอจะบอกเหตุผลให้หม่อมฉันทราบได้หรือไม่เพคะ?”
“จงซู่เฟิงไม่ใช่คนที่ดีนักตั้งแต่แรกเห็น” หลีเจี้ยนเฉินสีหน้าท่าทางจริงจังยิ่งนัก
ในขณะนั้นเอง ที่หลินซีเหยียนนึกสงสัยขึ้นมาว่า นี่คือฮ่องเต้จากรัฐหลีจริง ๆ หรือ? ทำไมถึงได้…
“อีกเรื่องหนึ่ง ข่าวเรื่องที่ข้าบาดเจ็บนั้นได้ถูกปิดเป็นความลับแล้ว จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นแก่ท่านหมอหลินอย่างแน่นอน” พูดพลางคนก็ก้มหน้าลงอย่างเจ็บใจ
จงซู่เฟิงกับท่านหมอหลินได้อยู่ด้วยกันมานานกว่า จึงเป็นเรื่องปกติที่ท่านหมอหลินจะเชื่ออีกฝ่ายมากกว่า ในยามนี้เขาทำได้เพียงต่อว่าจงซู่เฟิงในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขารู้จักกับทานหมอหลินเพียงแค่ 5 วัน เขาก็คงไม่ต้องรู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้
ในขณะที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองหลินเซียนเหยียนอีกครั้ง เขาก็พบว่าคิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่นราวกับนึกสงสัยอะไรสักอย่าง
“มีอะไรหรือ?”
“ฝ่าบาท ท่านรู้สึกหนาว ๆ บ้างหรือไม่?” ฝ่ายหลินซีเหยียนที่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหน้าแดงผิดปกติ ก็ถามขึ้นอย่างกระวนกระวาย
ทว่าหลีเจี้ยนเฉินกลับยิ่งกำผมห่มให้แนบแน่นกับตัวยิ่งกว่าเดิม “ข้าเพียงแค่เหนื่อยเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดหรอก เห็นทีเราคงหมดธุระกันแล้ว เช่นนั้นท่านหมอหลินโปรดกลับไปก่อนเถิด”
“อย่างไรเสียหม่อมฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว ขอหม่อมฉันตรวจดูบาดแผลของท่านหน่อย” หลินซีเหยียนเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายทันที ไม่คิดปล่อยสิ่งที่ตัวเองสงสัยไว้เพียงเพราะคำห้าม
เมื่อไม่มีสิ่งใดที่หลีเจี้ยนเฉินสามารถทำได้ เขาจึงทำเพียงปั้นหน้านิ่งไม่พูดอะไร แล้วลุกขึ้นมานั่งแต่โดยดีแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าของเขาออก
เดิมทีหลินซีเหยียนคิดจะแกะผ้าพันแผล แต่เมื่อพบว่าผ้าพันแผลกับบาดแผลนั้นติดกันแน่นแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน นางโรยผงยาลงไปที่แผลของหลีเจี้ยนเฉินเป็นจำนวนมากแล้วไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมถึงได้มีเลือดไหลซึมออกมามากเช่นนี้ และเหตุผลก็มีอยู่เพียงเหตุผลเดียวนั่นก็คือแผลเป็นหนอง!
“ฝ่าบาทอดทนเอาไว้หน่อยนะเพคะ”
หลีเจี้ยนเฉินพยักหน้าให้ นางจึงจัดการหยิบมีดบาง ๆ ออกมาจากกระเป๋าของตน แล้วทำการแยกสะเก็ดแผลออกจากผิวของเขาอย่างช้า ๆ
หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อย ก็พบว่ามีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากหลีเจี้ยนเฉิน
ยามนี้แผลที่หลินซีเหยียนเคยเย็บไว้ปรากฏสู่สายตาของนางแล้ว แผลนั้นเป็นสีขาวด้วยหนองและปูดบวมชัดเจน “สิ่งที่หม่อมฉันกลัวปรากฏขึ้นมาจริง ๆ จนได้” สายตาของคนพูดดูมืดครึ้มลงทันที
“มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ?” หลีเจี้ยนเฉินนั้นรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แม้เขาจะไม่รู้ว่านางกำลังพูดอะไร แต่เขารู้แน่ ๆ ว่าใบหน้าของหลินซีเหยียนยามนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หลินซีเหยียนไม่ตอบสิ่งใด นางเพียงแต่ควานหาบางสิ่งในกระเป๋าตนเอง แล้วหยิบมันขึ้นมา เป็นแท่งไม้ธรรมดา ๆ แท่งหนึ่ง ซึ่งในไม่ช้านางก็จัดแจงพันมันด้วยผ้าพันแผล แล้วเอาไปจ่อไว้ที่ปากหลีเจี้ยนเฉิน “คาบเอาไว้ หม่อมฉันจำเป็นต้องรีดเอาเลือดและหนองออกจากแผลของท่าน”
หลีเจี้ยนเฉินรู้ว่าแผลที่ว่าคืออะไร ดังนั้นเขาจึงงับคาบแท่งไม้นั้นอย่างเชื่อฟัง
เพียงแค่หลินซีเหยียนแต่ไปที่แผลบวมเป่งของชายหนุ่ม เขาก็รู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาจนน้ำตาแทบเล็ด แล้วเมื่อนางกำลังลงมือบีบแผลอย่างแรงเพื่อเอาหนองออกด้วยนั้น เขารู้สึกทรมานเสียจนอดร้องออกมาไม่ได้ โชคยังดีว่าเสียงร้องฟังดูอู้อี้ด้วยเพราะเขากำลังคาบไม้อยู่
เลือดสีแดงจาง ๆ ไหลออกมาพร้อมหนองสีขาวยามถูกบีบ หลินซีเหยียนบีบซ้ำอยู่หลายครั้งจนกระทั่งมีเพียงเลือดสีแดงสดไหล ๆ ออกมา เมื่อนางเห็นเช่นนั้นแล้วจึงหยุดมือแล้วจัดการทายาแล้วพันแผลให้หลีเจี้ยนเฉินเสียใหม่
ซึ่งดูเหมือนว่าทันทีที่ทำแผลเสร็จ เขาก็สลบไปเลย
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางคิดว่าอย่างไรเสียนางก็ยังคงต้องออกไปตามหาสมุนไพรมาช่วยรักษาหลีเจี้ยนเฉินเพิ่ม เพราะการทำเช่นนี้ไม่ใช่การรักษาที่ต้นตอ หลีเจี้ยนเฉินยังไม่หายขาดอย่างแน่นอน
หลินซีเหยียนดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มอีกฝ่ายให้เรียบร้อย พลางนึกถึงสมุนไพรชนิดสำคัญ
ผักเบี้ยใหญ่…
สมุนไพรที่ขึ้นปีละหน ซึ่งทั้งต้นจะไร้ขน และใบของมันจะแบนและหนา
นางปิดประตูออกจากห้องเงียบ ๆ แล้วคว้าตะกร้าไม้ไผ่มุ่งหน้าออกไปที่เขานอกเมือง ภาวนาให้ตนหาสมุนไพรชนิดนี้ให้เจอ เพราะถ้าไม่เจอ นางก็เกรงว่า…