หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 57 ความจริงของอดีต
เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ ก็กดเสียงต่ำลงแล้วพูด:“เดิมทีฉันก็มีความสุขดีในแต่ละวันอยู่แล้ว ทำไมเธอต้องปรากฏตัวออกมารบกวนฉันด้วย? เธอก็รู้ว่าฉันลำบากแค่ไหนกว่าจะหลุดออกมาจากทุกอย่างก่อนหน้านี้ได้? หวังเหมี่ยนเขายากที่จะไม่ใส่ใจอดีตของฉัน แถมยังสงสารอีก การปรากฏตัวของเธอมันจะทำให้ทุกอย่างพังลง”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ หัวเราะเบาๆแล้วส่ายหน้า:“จะเหมือนกับเมื่อก่อนได้ยังไง? เธอวางใจเถอะ ตอนนี้ฉันเป็นคนทำธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น และเธอก็เป็นแค่ภรรยาของคนที่ฉันร่วมทำธุรกิจด้วย ส่วนเรื่องในอดีต ก็เป็นอย่างที่เธอพูดในวันนี้ สามีเธอจะไม่รู้ คนที่เธอควรจะระวังไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคนที่ร่วมกันทำเรื่องนั้นกับเธอในตอนแรกต่างหาก ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอใช้ชีวิตสุขสบายแบบนี้ล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เธอน่าจะรู้จักพวกเขาดีกว่าฉันนะว่าพวกเขาทำเรื่องอะไรได้บ้าง ถ้าเธอยังไหว ลงไปด้านล่างกับฉันสิ นี่เป็นงานนัดรวมตัวของเธอ เธอควรจะเผชิญหน้ากับทุกอย่างนะ”
เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์มองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างไม่แน่ใจ พูดเสียงเบา:“เธอไม่มีทางพูด? เธอไม่แค้นฉันเหรอ? หลังจากที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกับคุณครูถูกจับ พวกเราต้องสารภาพหมดเปลือกก็เพราะเธอ พวกเราบีบคั้นเธอ พุ่งเป้าที่ไปที่เธอ เธอไม่แค้นพวกเรางั้นเหรอ?”
“ฉันสงสารพวกเธอ ทั้งๆที่เป็นผู้ถูกกระทำ กลับคิดว่าพอสวมชุดเสื้อผ้าใหม่หรูหราแบบนี้ จะสามารถผ่านไปเหมือนก่อนหน้านี้ได้ พวกเธอไม่ไปโทษคนที่ทำร้ายพวกเธอ แต่กลับโทษคนๆนั้นที่เปิดโปงความจริงเนี่ยนะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูด แล้วเดินไป จับมือของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ขึ้นมา ก้มหน้ามองแผลเป็นบนข้อมือของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ:“อีกอย่างเธอก็ได้รับโทษแล้ว เธอรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด กลับคิดโกรธแค้นฉันเพราะไม่มีวิธีที่จะห้ามไว้ได้ ฉันมักจะคิดอยู่ตลอดนะ ถ้าฉันไม่ได้เปิดโปงเรื่องทุกอย่าง เธอจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้สินะ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เธอเคยผ่านมา แบบนี้น่าจะมีความสุขมากกว่าหรือเปล่า ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคำพูดลับหลังเยอะขนาดนี้ ฉันแนะนำให้เธอไปพบจิตแพทย์นะ อย่าไปจมอยู่กับอดีตคนเดียว อีกอย่างเรื่องที่บีบคั้นกับพุ่งเป้ามาที่ฉันที่พวกเธอทำในภายหลัง ถึงแม้ว่าจะทำให้ฉันไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเสียใจมาก อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะเธอกับหวังเหมี่ยนเชิญฉันมา ฉันก็คงจำเธอไม่ได้แล้ว”
“เธอจำไม่ได้แล้ว? เธอลืมฉัน?” เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เบิกตากว้างมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ฉันที่ย้ายโต๊ะเรียนของเธอออกไป ฉันที่เอาสมุดการบ้านเธอไปทิ้ง ฉันที่วางแผนจะถ่ายรูปเธอแก้ผ้า เธอไม่มีความทรงจำอะไรกับฉันเลยเหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“ตอนนั้นคนที่ทำเรื่องแบบนี้เยอะจะตายไป ฉันจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร แต่คนที่อยากจะทำให้ฉันลำบากใจ ฉันก็สั่งสอนไปแล้วนี่? เรื่องถ่ายรูปฉันพอจะจำได้ลางๆ ไม่ได้ถ่ายติดอะไรนี่? สำหรับฉันแล้ว เรื่องตอนนั้นคือจบไปแล้ว”
เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“จบไปแล้ว? อดีตช่วงนั้นไม่มีผลอะไรกับเธอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“หลายๆเรื่องในอดีตของฉัน ทำอะไรฉันไม่ได้จริงๆ อีกอย่างพวกเธอก็ไม่ใช่คนที่ฉันเกลียดที่สุด แค่รู้สึกว่าพวกเธอน่าสงสารน่าโมโหก็เท่านั้น”
เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลง พูดเสียงเบาซ้ำๆไปมา:“จบไปแล้ว? จบไปแล้วเหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ แล้วหมุนร่างเดินออกไป พอออกจากห้องก็เจอกับเหลิ่งหมิงอันกำลังยืนอยู่ข้างประตูด้านนอก เจี่ยนอี๋นั่วรีบดึงแขนของเหลิ่งหมิงอันเอาไว้ ถือโอกาสตอนที่เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ยังไม่เห็น ดึงเหลิ่งหมิงอันเดินมาที่มุมตึก
เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา:“แอบฟังผู้หญิงคุยกันไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษเลยนะ”
“ที่แท้คนทำผิดถูกจับ ไม่ใช่ตอนจบนี่เอง ฮีโร่ถูกผู้ถูกกระทำบีบคั้นสินะถึงจะเป็นฉากเบื้องหลังของนิทานเรื่องนี้” เหลิ่งหมิงอันกดเสียงต่ำแล้วพูด
เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วยิ้มเยาะ:“ไม่ใช่ว่าคุณรู้ทุกเรื่องเหรอ? ทำไมต้องแสร้งทำว่าตกใจด้วย? วันนี้คุณมาร่วมงานนัดรวมตัว คุณก็คงรู้เรื่องมาบ้างแล้วล่ะ บางทีคุณแค่ยังไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจเหตุการณ์อย่างละเอียด ก็เลยมายืนยันที่งานนัดรวมตัวนี้ อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่ฮีโร่ ฉันแค่นิสัยไม่ดีก็เท่านั้น เขากล้าทำกับฉันแบบนั้น ฉันไม่มีทางให้เขาอยู่สงบสุขหรอก แล้วเรื่องหลังจากนั้นอีก พวกเขาไม่ได้ทำอะไรฉัน เรื่องทั้งหมดนี้มันผ่านไปแล้ว”
“คุณรู้จักผมดีจริงๆ” เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วค่อยๆยิ้มออกมา:“แต่คุณกลับปลอบใจคนที่เคยบีบคั้นคุณ พุ่งเป้ามาที่คุณเนี่ยนะ คุณไม่เหมือนคุณที่บอกไว้ว่าเย็นชาเลยนะ”
“ต่างก็เป็นผู้หญิงกันทั้งนั้น ฉันเข้าใจว่าพวกเขาเจ็บปวดแค่ไหน เรื่องที่พวกเขาบีบคั้นฉันแล้วพุ่งเป้ามาที่ฉันในตอนหลังนั้น เทียบกับสิ่งที่พวกเขาโดนทำร้ายมา มันเทียบไม่ได้เลยสักนิด อีกอย่างตอนที่ฉันถูกพวกเขาบีบคั้น เพราะไม่เข้าใจวิธีการของพวกเขา ก็เปิดหนังสือจิตวิทยาดูเหมือนกัน พวกแผลที่สร้างขึ้นมาในภายหลังต่างก็เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบนั่นแหละ ไม่ได้ถูกตัวเองควบคุมเลยสักนิด แค่ตอนนั้นฉันไม่ได้เผชิญหน้าด้วย ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิด ก็เลยไม่ได้สนใจพวกเขา ถ้าตอนนั้นฉันโตขึ้นกว่านั้นสักปีสองปี บางทีอาจจะจัดการเรื่องนั้นได้ดีกว่านี้ บางทีฉันอาจจะไม่ต้องใช้สายตาเย็นชามองพวกเขาแต่ละคนที่กำลังรู้สึกผิดและต่อสู้อยู่ในความเกลียดชังเพราะความโกรธแค้น บางทีทุกคนอาจจะมีตอนจบที่สวยงามกว่านี้” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจออกมา
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหมิงอัน:“หลังจากที่คุณได้ฟังเรื่องยุ่งยากนี้ทุกอย่างแล้ว ก็อย่าไปพูดกับใครนะ ให้เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เป็นผู้ถูกกระทำที่ได้รับความสงสารไปนั่นแหละ ไม่ต้องพูดเรื่องที่เธอบีบคั้นฉันในภายหลังออกไป ช่วงที่บีบคั้นนั้นนับว่าทรมานจิตใจเธอไม่น้อย แต่สำหรับฉันไม่มีผลอะไรหรอก ถ้าพูดออกไปล่ะก็ คงจะสร้างความลำบากใจให้เธอ”
“โอเค ผมรับปากคุณ” เหลิ่งหมิงอันเข้ามาใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเบา:“แต่คุณต้องจูบผมก่อน”
เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหลิ่งหมิงอัน:“หลังจากที่ได้ฟังเรื่องน่าเวทนาขนาดนี้แล้ว คุณยังมีหน้าจะพูดแบบนี้อีกเหรอ มันเหมาะสมไหม?”
เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วอีก แล้วกดเสียงต่ำ:“ไม่เหมาะเหรอ? อี๋นั่ว จู่ๆผมก็รู้สึกว่าคุณน่ารักมากเลยอะ ดูภายนอกคิดว่าเย่อหยิ่ง แต่กลับคิดแทนคนด้วย ขนาดคนที่เคยทำร้ายคุณ คุณยังปล่อยวาง……”
“ไม่ ฉันไม่ใช่แบบที่คุณพูดหรอก ตรงกันข้ามเลยต่างหาก แค้นที่ฉันมีก็ต้องชำระ แค่คุณสามารถแยกแยะออกได้ว่าใครคือคู่อริจริงๆของฉัน ใครไม่มีความคิด คนที่เป็นคู่อริจริงๆของฉัน ฉันไม่มีทางให้อภัยหรอก ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หมุนร่างเดินออกไป
เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองแผนหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆยิ้มออกมา:“น่าสนใจจริงๆ ยิ่งมองยิ่งน่าสนใจ”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วกลับลงมาที่ชั้นล่าง เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็เดินมาที่ชั้นล่างเหมือนกัน สีหน้าเธอดูดีขึ้นเล็กน้อย แค่พยายามหลบเลี่ยงสายตาที่มองเจี่ยนอี๋นั่ว บนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่ เหมือนกับมื้ออาหารที่เคยกินก่อนหน้านี้ พอกินเสร็จ เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มให้กับเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์แล้วพูด:“รสมือของคุณนายหวังดีมากจริงๆ ประธานหวังได้แต่งงานกับภรรยาที่ดีจริงๆนะคะ”
หวังเหมี่ยนยื่นมือไปโอบไหล่ของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ไว้ พูดเสียงเบา:“ภรรยาผมเจอเรื่องไม่ดีมาเยอะ แต่ผมจะดูแลเขาให้ดี”
เบ้าตาของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์แดงก่ำ ก้มหน้าลง เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วชี้ไปทางหวังเหมี่ยน พูดหยอกล้อ:“ฉันกับฮุ่ยเอ๋อร์เรานับว่าเป็นญาติกันแล้ว ถ้าต่อไปคุณไม่ดีกับเธอล่ะก็ คุณคงต้องหาคำอธิบายดีๆมาให้ฉันแล้วนะ”
เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์รีบเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วรีบก้มหน้าลงอีกอย่างรวดเร็ว หวังเหมี่ยนจับมือเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์แน่น แล้วพูด:“ไม่ต้องรออธิบายให้คุณฟังหรอก ผมจะดีกับเขาตลอดนั่นแหละ”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วก้มหน้าลง จนกระทั่งงานนัดรวมตัวจบลง เจี่ยนอี๋นั่วคิดสักพัก เลยตัดสินใจเดินไปข้างๆเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ แล้วพูดเบาๆ:“ต่อไปคิดแค่อนาคต ไม่ต้องคิดถึงอดีตอีก ฉันจำคุณไม่ได้แล้ว คุณก็จำฉันไม่ได้เหมือนกัน ต่อไปคุณก็คือคุณนายหวัง ฉันก็คือประธานเจี่ยน”
เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างกายค่อยๆสั่นเทา กางแขนกอดไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง
ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วปล่อยเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็รีบหมุนร่างเดินไปข้างๆหวังเหมี่ยน หวังเหมี่ยนโอบเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เบาๆ พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างรู้สึกผิด:“ขอโทษนะ ฮุ่ยเอ๋อร์เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ผมคงไปส่งประธานเจี่ยนไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ผมไปส่งเอง!”
“ผมไปส่งเอง!”
เสียงของผู้ชายทั้งสองคนที่แตกต่างกันพูดขึ้นมา เหลิ่งหมิงอันกับฉู่หมิงเซวียนประสานสายตากัน หวังเหมี่ยนพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความรู้สึกผิด:“งั้นก็รบกวนพวกเขาไปส่งคุณแล้วกันนะ ประธานเจี่ยนเลือกสักคนสิ”
เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากจะเลือกทั้งสองคน ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะขับรถกลับโรงแรมเองมากกว่า แต่ตอนนี้เห็นว่าทุกคนต่างก็กลับกันหมดแล้ว เหลือแค่ฉู่หมิงเซวียนกับเหลิ่งหมิงอันสองคน เธอยอมที่จะนั่งเครื่องบินลำเดียวกับฉู่หมิงเซวียนก็เพราะหลบหนีเหลิ่งเซ่าถิง แต่พอเผชิญหน้ากับฉู่หมิงเซวียนและเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่เหลิ่งหมิงอัน ยิ้มแล้วพูด:“พวกเราไปกันเถอะ”
เหลิ่งหมิงอันรีบยิ้มออกมา:“ได้สิ ไปกัน ผมพาคุณไปหารถผมก่อน”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วไปกับเหลิ่งหมิงอัน ฉู่หมิงเซวียนก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งหมิงอัน พร้อมทั้งกำมือแน่น เจี่ยนอี๋นั่วเดินมาถึงที่หน้ารถของเหลิ่งหมิงอัน ก็ขมวดคิ้ว เธอสะกิดหางคิ้ว ไม่รู้ว่าเหลิ่งหมิงอันขับรถที่ชำรุดอย่างนี้มาได้ยังไง
“รถคันนี้อายุการใช้งานยี่สิบปีได้แล้วมั้ง ใกล้ได้แจ้งว่าเป็นของชำรุดแล้วใช่หรือเปล่า?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วหันไปมองเหลิ่งหมิงอัน
เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้รถ:“ผมไม่ใช่คนสิ้นเปลืองแบบนั้น นี่เป็นรถที่ผมใช้เงินตัวเองซื้อเลยนะ รถออดี้มือแปด ขายแค่แสนห้า”
เจี่ยนอี๋นั่วกุมขมับ:“ฉันน่าจะเลือกคนผิดแล้ว ฉันว่าฉันไปนั่งรถของฉู่หมิงเซวียนดีกว่า”
ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเกลียดฉู่หมิงเซวียน แต่อย่างน้อยรถของฉู่หมิงเซวียนก็น่าจะรักษาชีวิตเธอได้ดีกว่า เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ารับประกันว่าถ้านั่งรถของเหลิ่งหมิงอัน ตัวเองจะสามารถมีชีวิตรอดไปถึงปลายทางหรือเปล่า แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็คิดสักพัก แล้วเธอก็เปลี่ยนคำพูด:“ฉันเรียกรถแท็กซี่สักคันดีกว่า”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจว่าจะนั่งรถของฉู่หมิงเซวียน จู่ๆก็รู้สึกว่าถ้าเธอนั่งรถของฉู่หมิงเซวียน คงไม่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เธอเสียชีวิตแน่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วอาจจะทำให้ตัวเองสะอิดสะเอียดจนตาย เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ แบบนี้เธอสบายใจกว่า
“เรียกแท็กซี่ในคฤหาสน์แบบนี้เนี่ยนะ? รอให้สว่างคุณก็เรียกไม่ได้สักคันหรอก”
เหลิ่งหมิงอันเดินเข้าใกล้รถ ยิ้มแล้วพูด:“อีกอย่างคุณให้ผมปิดเรื่องคุณไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ผมเปลี่ยนเงื่อนไขแล้ว ขอแค่คุณยอมขึ้นรถ ผมก็จะรักษาความลับของคุณให้”