หนี้รัก วิวาห์จำเป็น - ตอนที่ 102 ความจริงคืออะไร
เจี่ยนอี๋นั่วสั่นไปทั้งตัว เธอหยิบรูปถ่ายใบนั้นไว้ในมือ และควบคุมให้มือหยุดสั่นไม่ได้ เธอจับรูปถ่ายใบนั้นไว้แน่น เสียงบ่นของเหอหลวนเล่อก็ดังไม่หยุด เจี่ยนอี๋นั่วเอามือแตะที่หน้าผาก สมองว่างเปล่า
คนสองคนในรูปภาพนั้น คนหนึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดเธอมาก และอีกคนหนี่งเป็นคุณพ่อของเธอ ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะมองเห็นแค่ด้านข้างและภาพมันจะเบลอมาก แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็จำได้ทันทีว่านั้นคือ เหลิ่งเซ่าถิง เธอเคยลูบใบหน้าของเขานับครั้งไม่ถ้วน และจูบที่ริมฝีปากของเขาหลายต่อหลายครั้ง
ถึงแม้ทั้งสองคนที่ปรากฏอยู่ในรูปภาพนั้นจะเล็กมาก แต่ถ้าหากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดแล้ว ก็จะดูไม่ออกแน่นอน ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดของพวกเขาก็คงยากที่จะดูออกว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่
แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วสามารถดูออก เลือดในร่างกายของเธอดูเหมือนจะแข็งตัว และตอนที่รู้ว่าคุณพ่อของเธอเสีย เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกปวดใจมาก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น
ในเวลานั้นเจี่ยนอี๋นั่วหวังไว้เมื่อได้ข่าวว่าคุณพ่อท่านเสีย เธอคิดอยากตายตามไปด้วย จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ไม่อยากเผชิญอยู่ในตอนนี้
จะเป็นไปได้อย่างไร?ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงอยู่กับคุณพ่อก่อนที่คุณพ่อจะหายตัวไป? ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับเธอเลย? หรือการตายของคุณพ่อมันจะเกี่ยวข้องกับเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ?
ในหัวของเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนกำลังจะระเบิด เธอไม่อยากเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นความจริง และเธอไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงข้อเท็จจริง ว่าความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่
“อี๋นั่ว เธอเป็นอะไรไป? เธอไม่สบายหรือเปล่า?”เหอหลวนเล่อเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยน้ำเสียงที่เบา
เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้สึกตัว รีบเอาภาพนั้นซ่อนไว้ในมือ พยายามฝืนยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่มี ไม่มีอะไรจ๊ะ แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย อาจเป็นเพราะว่าพึ่งลงจากเครื่องไม่นาน เลยรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”
“อ้าวเหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถพูดคุยกับฉันต่อได้แล้วสินะ?”เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวดทันที บ่นด้วยน้ำเสียงพึมพำ
“ขอโทษนะ” เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันคิดว่าฉันควรพักผ่อนสักหน่อย”
เหอหลวนเล่อพยักหน้า:“ได้สิ ฉันจะเอาคำพูดของเธอ ไปเล่าให้คุณแม่ฉันฟังนะ ลองดูว่าคุณแม่ฉันจะมีความคิดเห็นอย่างไร ถ้าหากเลือกผู้ชายที่สามารถช่วยเหลือฉันในยามคับขันแบบนี้ได้ ฉันรู้สึกว่า……”
เหอหลวนเล่อหรี่ตาพร้อมหัวเราะออกมา:“ฉันรู้สึกว่าพี่เซ่าถิงกับฉันเราเหมาะสมกับมาก”
“เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปเธออย่ารักเขาอีก!เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ที่เธอห้ามเหอหลวนเล่อให้เลิกรักเหลิ่งเซ่าถิง เหตุผลไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธออยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง ดังนั้นไม่อยากให้เหอหลวนเล่อรักเหลิ่งเซ่าถิง เหตุผลคือเพราะเหลิ่งเซ่าถิงมีความเกี่ยวข้องกับการตายของคุณพ่อเธอนั่นเอง ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้อยากคิดไปในทางที่ไม่ดี แต่ก็ไม่อาจห้ามไม่ให้สงสัยเหลิ่งเซ่าถิงได้ การที่เหอหลวนเล่อรักเหลิ่งเซ่าถิง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีต่อเหอหลวนเล่อ
เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงโมโห ฮึม:“ใจแคบจริงๆเลยนะ พึ่งจะอยู่กับพี่เซ่าถิงได้ไม่นาน ก็หวังจะคิดครอบครองพี่เซ่าถิงไว้คนเดียวแล้ว แต่ว่า ฉันเห็นแก่ความสำคัญที่เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันมากกว่า ฉันไม่ยอมแพ้ที่จะเลิกรักพี่เซ่าถิงง่ายๆหรอก แต่ว่าจากนี้ไปฉันจะไม่พูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าเธออีกแล้ว เธอเหนื่อยมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ และถ้าฉันอยู่ต่ออีกเดี๋ยวคุณแม่ของฉันรู้เข้า จะหาว่าฉันเป็นเพื่อนกับศัตรูอีก!”
เหอหลวนเล่อพูดถึงนี่ ก็หันหลังกำลังเตรียมเก็บรูปภาพที่อยู่บนเตียง
เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขวางเหอหลวนเล่อ:“เธอเอารูปภาพเก็บไว้นี้เถอะ รูปเหล่านี้ถ่ายได้ดีมาก ฉันอยากจะชื่นชมรูปภาพเหล่านี้ และนี่มันก็คือความตั้งใจของเธอ ถือซะว่าเป็นของขวัญที่เธอมอบให้กับฉันแล้วกันนะ ดีไหม?”
เหอหลวนเล่อฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็รีบเม้มริมฝีปากหัวเราะออกมาทันที:“เธออยากได้มันจริงๆเหรอ? ถือว่าเธอยังมีมโนธรรมอยู่ มิน่าล่ะเธอถึงถูกฉันเลือกให้เป็นเพื่อนรักของฉัน เธออยากได้ก็เก็บไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ฉันมอบให้กับเธอ เป็นเพื่อนรักกับเหอหลวนเล่ออย่างฉันแล้ว ฉันไม่ยอมให้เธอขาดทุนหรอกนะ!”
เหอหลวนเล่อหรี่ตาแล้วหัวเราะออกมา ดีใจราวกับว่าตัวเองได้รับของขวัญเสียเอง เมื่อเหอหลวนเล่อเดินออกจากห้องด้วยท่าทางที่มีความสุข เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงกุมรูปภาพไว้แน่น ใช้แรงหลับตาลง เธอควรจะทำอย่างไร?ควรจะถามเหลิ่งเซ่าถิงหรือไม่ เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจริงๆ ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามองไปทางหน้าต่าง เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงพระอาทิตย์สอดส่องผ่านหน้าต่างส่องบนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่รู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด
เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามองไปทางหน้าต่าง คุณนายเหลิ่งก็จ้องมองไปเหลิ่งเซ่าถิงที่มองไปทางหน้าต่าง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เซ่าถิง ลูกได้ฟังในสิ่งที่ย่าพูดไหม?ระยะนี้เกิดเรื่องไร้สาระขึ้นมากเกินไปแล้วนะ ทำไมถึงยอมทิ้งงานในบริษัทแล้วไปต่างประเทศกับเจี่ยนอี๋นั่ว? ลูกรู้ไหมว่าหลายวันที่ลูกไม่อยู่ ภายในบริษัทเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดไหน? เจี่ยนอี๋นั่วก็แปลกเหลือเกิน แค่เสียคุณพ่อไปจำเป็นต้องเสียเงินมากมายอย่างไร้ประโยชน์ในการไปตามหา อีกทั้งยังทำให้ลูกเสียเวลาตั้งหลายวัน พ่อของเธอก็ไม่เหมือนคนปกติทั่วไปแล้ว จะมีค่าอะไรอีก? ในเมื่อหายตัวไปแล้ว งั้นก็ให้หายไปตลอดกาลเลย ถึงจะหากลับมาได้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก่อนหน้านี้ย่าคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเป็นคนมีเหตุผล ตอนนี้กลับมาคิดเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลมาก”
“เป็นคนจำเป็นต้องมีมูลค่า ถึงจะถูกคนใส่ใจอย่างงั้นเหรอครับ?” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยน้ำเสียงที่เบา:” ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนนั้น มองเพียงแค่อีกฝ่ายมีค่าสำหรับการใช้งานหรือไม่เท่านั้นเหรอครับ?”
“นี่ลูกหมายความว่าอย่างไร? ลูกกำลังตั้งคำถามกับย่าอย่างนั้นเหรอ? นี่ลูกอย่าถูกเจี่ยนอี๋นั่วสอนให้เป็นคนไม่มีเหตุผล” คุณนายเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวด ลุกยืนขึ้น:“คุณย่าครับ ผมรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็รีบยืนขึ้นและเดินไปถึงหน้าประตูห้อง คุณนายเหลิ่งรีบลุกขึ้นทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เซ่าถิงคุณพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วลูกเป็นคนลงมือฆ่าเองใช่ไหม?”
เหลิ่งเซ่าถิงหยุดชะงัก หันหน้าไปมองทางคุณนายเหลิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม:“คุณย่าครับ ทำไมคุณย่าถึงถามแบบนี้ด้วยครับ?”
คุณนายเหลิ่งหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ความรู้สึกมันบอกเหมือนกับลูกจะเป็นคนทำเรื่องนี้ พวกเราสามารถดูออกว่าการตายของคุณพ่อของเธอมันแปลกๆ และคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ น่าจะเป็นเซ่าถิงลูกนั่นเองใช่ไหม และดูตามพฤติกรรมที่ลูกแสดงความรักต่อเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว เมื่อคุณพ่อของเธอตายแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็จะเป็นของลูกเพียงคนเดียว”
“เธอไม่ใช่สิ่งของ และไม่ใช่ของใครทั้งนั้น”เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองหน้าคุณนายเหลิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งทันที
หลังจากที่เดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินกลับห้องของตัวเอง เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเดินกลับถึงห้อง เจี่ยนอี๋นั่วยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าต่างเช่นเดิม มีเพียงแต่รูปภาพที่เหอหลวนเล่อให้ไว้ ถูกเจี่ยนอี๋นั่วเก็บไว้เรียบร้อยแล้วเธอได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วหดตัวสักครู่แล้วก็รีบลุกยืนขึ้น เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง พูดน้ำเสียงสั่นเครือ:“คุณ……คุณกลับมาแล้วเหรอคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขาถอดเสื้อคลุมออกไปด้วย พร้อมถามน้ำเสียงเข้มไปด้วย:“คุณเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ข่าวมีคนมารบกวนคุณ?”
เจี่ยนอี๋นั่วฝืนยิ้มแล้วพยักหน้า:“ไม่ได้มารบกวนฉัน เหอหลวนเล่อเป็นคนที่ร่าเริง และเราเข้ากันได้ดีมาก และเธอทำให้ฉันมีความสุขมากๆ”
เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ผมรู้จักเหอหลวนเล่อมาก็หลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ากับเธอได้ คาดไม่ถึงจริงๆเลย”
เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ถึงแม้ว่าเธอจะหยิ่งยโส แต่ว่าเธอเป็นคนที่ค่อนข้างไร้เดียงสา และฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่……”
เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วอยากพูดว่าเหอหลวนเล่อเป็นผู้หญิงที่ไม่เลวคนหนึ่ง แต่ว่าทันใดนั้นเธอก็ไม่กล้าใช้วิจารณญาณของตัวเองไปคิดแทนเหอหลวนเล่ออีก เธอมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตัวเองสามารถดูนิสัยของคนๆหนึ่งออกจริงๆหรือไม่ ตั้งแต่เฉิงซานซาน ฉู่หมิงเซวียนจนถึงเหอหลวนเล่อ และเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ารู้จักพวกเขาจริงๆหรือเปล่า
เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว ถามด้วยความสงสัย:“คุณเป็นอะไรไป?ทำไมพูดได้แค่ครึ่งหนึ่งก็ไม่พูดต่อแล้วล่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก หัวเราะพร้อมพยักหน้า:“ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่รู้สึกว่าฉันคงไม่ได้รู้จักเธอจริงๆ ความสามารถของฉันในการมองคนๆหนึ่งว่าเป็นคนอย่างไรนั้นมันแย่มากค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะไม่เจอคนอย่าง…..อย่างฉู่หมิงเซวียนหรอกค่ะ”
“เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ”เหลิ่งเซ่าถิงเอื้อมมือไปกอดเจี่ยนอี๋นั่ว:“เรื่องมันผ่านไปหมดแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วก็เอื้อมมือไปกอดเหลิ่งเซ่าถึงเช่นกัน และพูดด้วยน้ำเสียงเบาวาา:“ฉันก็หวังว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้จะผ่านไปด้วยดีแล้วจริงๆ”
เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ ทันใดนั้นก็นึกถึงคนในรูปภาพนั้นขึ้นมา เธอรีบผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก แล้วเธอก็รีบร้อนทำท่าปัดผมของตัวเอง ตื่นตกใจพูดขึ้นว่า:“ฉัน……ฉันไปอาบน้ำก่อนนะคะ ฉันรู้สึกเหนื่อย”
เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะพร้อมพยักหน้า จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าห้องน้ำไป เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเก็บรอยยิ้ม แล้วเขาก็เดินไปข้างๆเตียง เปิดดูกระเป๋าของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเห็นรูปถ่ายมากมายกองอยู่ในกระเป๋า ในกองรูปภาพเหล่านั้น มีรูปถ่ายใบหนึ่งที่ค่อนข้างสะดุดตา รูปถ่ายใบนั้นมีรอยอย่างชัดเจน สามารถดูออกเลยว่ารอยที่เกิดขึ้นนั้นตกใจมากขนาดไหน และใช้แรงขยำรูปแรงขนาดไหน
ในรูปถ่ายนั้น มีเงาคนสองคนเล็กๆปรากฏอยู่ในรูป คนหนึ่งคือคุณพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วเจี่ยนฉางรุ่น และอีกคนคือใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง สถานที่ในรูปภาพนั้นก็คือสถานที่ที่เจี่ยนฉางรุ่นโดนฆ่าตาย และสถานที่นั่นไม่ควรเป็นสถานที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงปรากฏตัว
เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองรูปภาพใบนั้น ค่อยๆทำหน้าขมวดคิ้ว จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็วางรูปใบนั้น ใส่คืนกระเป๋าหนังของเจี่ยนอี๋นั่ว และในขณะที่กำลังปิดกระเป๋านั้น เหลิ่งเซ่าถิงครุ่นคิดสักครู่ ค่อยเอารูปภาพใบนั้นแง้มออกมานอกกระเป๋านิดหนึ่ง แล้วค่อยเดินไปข้างๆโต๊ะ
เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากห้องน้ำ รู้สึกไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้เย็นลงได้ เธอกำลังลังเลว่าควรจะถามเหลิ่งเซ่าถิงๆตรงๆหรือไม่ ถ้าหากเป็นเรื่องอื่นๆ เธอจะถามตรงๆอย่างไม่คิดลังเลเลยสักนิด แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับการตายของคุณพ่อเธอ และถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนลงมือ ถ้าอย่างนั้นก็คงแหวกหญ้าให้งูตื่นล่ะสิ?
เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเชื่อตัวเอง และไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง แม้แต่ตัวเธอเอง เธอยังไม่เชื่อเลย นับประสาอะไรกับการที่จะไปเชื่อเหลิ่งเซ่าถิง
เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะ เวลานี้ก็ไม่รู้ควรจะเริ่มต้นพูดอะไรกับเหลิ่งเซ่าถิงดี เธอก็เลยเดินไปข้างเตียง พึ่งจะเดินถึงข้างเตียง เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นรูปถ่ายใบนั้นโผล่ออกมาจากกระเป๋านิดหนึ่ง เจี่ยนอี๋นั่วยืนตัวแข็ง ก่อนที่เธอจะไปอาบน้ำ รูปถ่ายถูกเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างดี ผ่านไปไม่นานทำไมสภาพมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ
ใครกันที่มาค้นกระเป๋าของเธอ?หรือว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเห็นรูปในกระเป๋านี้แล้ว?