สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 66 ทำให้เรื่องราวยุ่งยากในงานแต่ง
บทที่ 66 ทำให้เรื่องราวยุ่งยากในงานแต่ง
บทที่ 66 ทำให้เรื่องราวยุ่งยากในงานแต่ง
“ฉันแต่งตัวแบบนี้แล้วมันมีปัญหายังไงเหรอ?” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาด้วยความไม่พอใจ
เธอสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้ม ไม่มีลูกไม้ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่แต่งหน้า เรียบง่ายเท่าที่จะเรียบง่ายได้แล้ว แล้วลู่เจี๋ยหรงยังจะมาวิจารณ์เธอเรื่องอะไรอีก?
ป้าลู่ขมวดคิ้ว พลางรีบเดินเข้าไปหาลูกสาว ไม่อยากเสียหน้ากลางงานแต่งงาน พยายามจะดึงตัวลูกสาวออกไปพร้อมกับมองไปทางญาติฝ่ายเจ้าบ่าวด้วยความเป็นกังวล
“ไม่ต้องมายุ่งกับหนู!” ลู่เจี๋ยหรงสะบัดมือแม่อย่างแรง เธอพบว่าตนเองไม่สามารถเอาผิดลู่ฉิวเยว่ได้เลย อีกฝ่ายไม่แต่งหน้ามาด้วยซ้ำ
นั่นยิ่งทำให้ลู่เจี๋ยหรงรู้สึกเศร้าเสียใจมากขึ้น เธอกระทืบเท้า กัดฟัน และหมุนตัวกลับไป
“เธอหายหัวไปไหนมา? รู้ไหมว่าในครัวขาดคน? คิดว่าครอบครัวของเราแต่งงานรับเธอเข้ามาเพื่อเล่นสนุกหรือไง?” แม่ของเถาหลินเซินยกมือชี้หน้าต่อว่าลู่เจี๋ยหรงทันทีที่เดินเข้ามา ไม่มีการไว้หน้ากันเลยสักนิด
มีเจ้าสาวที่ไหนบ้างต้องไปช่วยงานในห้องครัววันแต่งงานของตัวเอง? ลู่เจี๋ยหรงกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มรับกลับไปและเดินเข้าไปช่วยงานในห้องครัวจริง ๆ
แม่ของเถาหลินเซินไม่ชอบเธอ เพราะรู้สึกว่าครอบครัวของเธอจนและไม่ดีพอสำหรับเถาหลินเซิน นั่นยิ่งทำให้ชีวิตของลู่เจี๋ยหรงยากลำบากมากขึ้น แต่ถึงเธอจะโกรธแค้น เธอก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ลู่เจี๋ยหรงทำได้เพียงแอบด่าแม่สามีอยู่ในใจและรอโอกาสที่จะได้แก้แค้นในอนาคต!
แม่ของเถาหลินเซินไม่รู้เลยว่าลู่เจี๋ยหรงกำลังคิดอะไรอยู่ เธอออกมาดูด้วยตนเองเพราะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาว่าญาติฝั่งเจ้าสาวมาปรากฏตัวและพวกเขาก็เป็นคนรวยมาก
“ฉันได้ยินมาว่าคุณลู่เปิดร้านอาหารใหญ่โต แถมยังเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ นี่คือครั้งแรกเลยนะคะที่ฉันได้เห็นผู้หญิงเก่งแบบคุณ ฉันนับถือคุณจริง ๆ! ฉันอยากจะดื่มฉลองให้กับคุณ” สีหน้าของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ แสดงความร่าเริงออกมาเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ฉิวเยว่ได้แต่แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ แต่ก็ยิ้มตอบรับกลับไปอย่างอ่อนโยน “คุณป้าล้อเล่นแล้ว ขอบคุณที่ยกย่องนะคะ แต่หนูดื่มไม่ได้ค่ะ หนูแพ้แอลกอฮอล์”
แน่นอนว่าเธอไม่ได้แพ้แอลกอฮอล์ แต่เธอแค่ไม่อยากดื่มฉลองในงานของผู้ชายคนนี้ เธอแค่อยากจะกลับออกไปจากที่นี่ให้เร็วมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เถาหลินเซินไม่ใช่คนที่จะอ่านสีหน้าคนออก เขาชอบเวลาที่มีคนอื่นมาประจบประแจง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคนอื่นก็น่าจะเหมือนตนเอง จึงกล่าวว่า “คุณลู่หน้าตาสวยขนาดนี้ น่าเสียดายที่ผมพบพี่สาวของคุณก่อน ไม่งั้นนะ…”
“ไม่งั้นจะทำไมคะ?” ลู่ฉิวเยว่อยากจะอ้วกเต็มที สีหน้าของเธอเย็นชามากขึ้น เถาหลินเซินตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เขาเนี่ยนะ? คู่ควรกับเธอแล้วเหรอ?
ลู่ฉิวเยว่ได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ยิ่งรู้สึกไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อไปมากขึ้น
พ่อแม่ของเธอก็ได้ยินคำพูดนั้นเช่นกัน สีหน้าของพวกท่านเย็นชาขึ้นมาทันที หากไม่ใช่ว่างานแต่งเพิ่งจะเริ่ม พวกเขาคงพาลูกสาวกลับไปแล้ว
เถาหลินเซินไม่ได้ต้องการแค่มาประจบเอาใจพวกเขาเท่านั้น แต่ยังโง่เขลามากพอที่จะมาหว่านเสน่ห์ใส่ลูกสาวของเขาอีกด้วย! ผู้ชายอะไรกันถึงมีจิตใจเน่าเฟะได้ถึงขนาดนี้?
“อ้าว ญาติเจ้าสาวมากันแล้วเหรอคะ”
โชคดีที่แม่ของเถาหลินเซินปรากฏตัวขึ้นได้ถูกเวลาและเข้ามาขัดจังหวะการพูดคุยของลูกชาย ไม่อย่างนั้นลู่ฉิวเยว่คงหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะสาดใส่หน้าเขาไปแล้ว
ป้าลู่ยิ้มออกมาอย่างสดใส “ใช่แล้วค่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
แม่เจ้าบ่าวไม่ได้มองไปที่เธอเลย แต่แม่เจ้าบ่าวกับจ้องมองมาที่ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เคยมีคนบอกแม่ของเถาหลินเซินว่าลู่เจี๋ยหรงมีญาติที่น่าเคารพนับถือ เธอจึงหลงคิดว่าพวกเขาเป็นคนใหญ่คนโต แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แม่เจ้าบ่าวจึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
เธอไม่รู้หรอกว่าสูทที่ชายวัยกลางคนใส่นั้นราคาเท่าไหร่ เธอไม่รู้ว่าเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่นั้นราคาแพงมากแค่ไหน เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่าแม่ลูกคู่นี้ไม่มีทองคำติดตัวเลยสักเส้นเดียว และคุณผู้ชายนั่นก็ไม่มีนาฬิกาข้อมือ
คนกลุ่มนี้ไม่มีสิ่งของขั้นพื้นฐานที่คนรวยจะมีติดตัว แม่ของเถาหลินเซินจึงเหยียดหยามพวกเขาอยู่ในใจและแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
และเมื่อแอบสอบถามเถาหลินเซินก็รู้ว่าญาติเจ้าสาวไม่มีของฝากอะไรติดมือมาเลยนอกจากซองแดงใส่เงินช่วยงานเท่านั้น
แม่ของเถาหลินเซินแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับลูกชายด้วยสีหน้าเรียบเฉยมากขึ้น การแสดงออกของเธอบอกชัดเจนถึงการดูถูกดูแคลน ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว เธอต้องเอื้อมมือไปจับหลังมือของแม่เพื่อปลอบโยน
ถ้าพวกเธอมีเรื่องในตอนนี้ก็จะทำให้งานแต่งของลู่เจี๋ยหรงเสียบรรยากาศไปหมด และนั่นก็เป็นสิ่งที่พ่อของลู่ฉิวเยว่ไม่ต้องการจะเห็น หากมีเรื่องราวเกิดขึ้นในงานแต่งงานเพราะพวกเขา ลู่เจี๋ยหรงสองแม่ลูกอาจจะใช้เหตุผลนี้ไปรังควานพวกเขาอีกก็ได้
แม่ของลู่ฉิวเยว่ก็รู้เช่นกัน จึงทำได้เพียงจิบน้ำเงียบ ๆ พยายามสงบสติอารมณ์
แต่ทุกคนไม่รู้เลยว่าแม่ของเถาหลินเซินมีความร้ายกาจมากกว่าที่คิด
“เฮ้อ ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามแบบนี้! น้ำแกงกระเด็นหมดแล้วเนี่ย!”
ลู่เจี๋ยหรงเดินออกมาพร้อมกับชามใส่น้ำแกงที่ร้อนมาก ถึงจะมีผ้ากันความร้อนซ้อนชามใบนั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่มือของเธอก็ยังกลายเป็นสีแดงจากความร้อนอยู่ดี
ลู่ฉิวเยว่มีสีหน้าเย็นชามากขึ้น เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอจะเข้าไปช่วยเหลือ เธอก็รีบห้ามเอาไว้และเป็นคนรับชามน้ำแกงมาวางไว้บนโต๊ะเอง
ดวงตาของป้าลู่กลายเป็นสีแดงด้วยความไม่พอใจ เธอรีบดึงมือของลู่เจี๋ยหรงไปตรวจดูและก็พบว่ามีร่องรอยถูกน้ำร้อนลวกหลายจุด แต่การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยความไม่เต็มใจอยู่แล้ว หญิงวัยกลางคนจึงไม่กล้าพูดอะไรเพื่อปกป้องลูกสาวของตนเอง
“ทำไมเจ้าสาวต้องมาเสิร์ฟอาหารด้วยคะ? พวกเราเป็นลูกค้าหรือไง? หรือว่า…” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะขึ้นมา “ตระกูลเถายากจนเกินไปจนไม่มีเงินไปจ้างเด็กเสริฟ? ถ้าไม่มีเงินขนาดนั้นก็มาบอกฉันได้นะ เดี๋ยวฉันจะเอาเด็กเสิร์ฟที่ร้านมาช่วยงานให้ดีไหม?”
เมื่อทุกคนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น บรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบทันที เถาหลินเซินและแม่ของเขารู้สึกอับอายขึ้นมา
การสั่งให้เจ้าสาวนำอาหารไปเสิร์ฟตามโต๊ะต่าง ๆ นั้นคือเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะว่าแม่เจ้าบ่าวต้องการจะกลั่นแกล้งให้ลู่เจี๋ยหรงเกิดความอับอายมากที่สุด ต้องการจะทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกที่ทุกคนหัวเราะเยาะ แม้ว่าหลายคนจะด่าเธอเป็นแม่ผัวใจร้ายรังแกลูกสะใภ้ก็ตาม…
แม่ของเถาหลินเซินไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร แต่ในทันใดนั้น น้องสาวของเธอก็ส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยามขึ้นมา พยายามพูดเพื่อแก้หน้าให้เธอว่า “เจ้าสาวไม่ควรต้องมาเสิร์ฟอาหารอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครอบครัวของเจ้าสาวไม่ใช่หรอ พวกคุณยกขบวนมากันตั้ง 3 คน ตระกูลเถาคงถูกพวกคุณแย่งกินอาหารในงานจนแทบล้มละลายแล้ว”
เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวออกมา แขกร่วมงานก็ส่งเสียงหัวเราะ ทำเหมือนครอบครัวของลู่ฉิวเยว่เป็นตัวตลก
ลู่เจี๋ยหรงโกรธแค้นจนควันออกหู เธอปรารถนาจะกระโดดเข้าไปฉีกพวกเขาเป็นชิ้น ๆ และเธอก็เกลียดชังครอบครัวคุณอาของตนเองที่ทำให้เธอต้องอับอายมากขึ้น
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโต สีหน้าเยือกเย็น ราวกับว่าทุกคนไม่ได้หัวเราะครอบครัวของเธออยู่
“ก็พวกคุณจัดโต๊ะนี้ไว้ให้เราเองไม่ใช่เหรอคะ แล้วจะมาโทษเราได้ยังไง? พวกเราใส่ซองไปตั้ง 100 หยวน แต่จะไม่ให้พวกเรากินอะไรเลยเนี่ยนะ?”
ในขณะนี้ แขกคนอื่น ๆ ที่กำลังหัวเราะเยาะอยู่เมื่อสักครู่ไม่กล้าหัวเราะออกมาอีกแล้ว เพราะพวกเขาใส่ซองช่วยงานแค่คนละไม่กี่หยวนเท่านั้น เมื่อเทียบกับคนที่ใส่ซองถึง 100 หยวน พวกเขาจะไปมีหน้าหัวเราะเยาะอีกได้อย่างไร?
แล้วอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟในงานมีแต่ผัดผัก รวมดูแล้วมีอยู่ทั้งหมด 7 จานต่อ 1 โต๊ะ ประเมินมูลค่าแล้วไม่น่าจะเกินโต๊ะละ 4 หยวน แต่ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่ใส่เงินช่วยงานแต่งถึง 100 หยวน นี่ก็ถือเป็นการไว้หน้าเถาหลินเซินมากแล้ว
หญิงสาวผู้พยายามออกหน้าแทนแม่ของเถาหลินเซินเงียบไปทันที เธอรู้สึกอับอายจนอยากจะลุกขึ้นเดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
แม่ของเถาหลินเซินจ้องมองกลุ่มคนผู้เป็นญาติเจ้าสาวด้วยแววตารังเกียจ จากนั้นก็หันมามองหน้าลู่เจี๋ยหรงด้วยแววตาอาฆาตแค้น ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะข้าง ๆ
รอให้ญาติเจ้าสาวกลับไปให้หมดก่อนเถอะ คืนนี้เธอจะต้องคิดบัญชีกับลู่เจี๋ยหรงอย่างแน่นอน!