สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 42 เป็นฝีมือของเขาเอง
บทที่ 42 เป็นฝีมือของเขาเอง
บทที่ 42 เป็นฝีมือของเขาเอง
“ไม่รู้ไม่ชี้ด้วยแล้ว!” เธอวิ่งไปที่ประตูด้วยความตื่นตระหนก แต่กลับพบว่าประตูถูกปิด เธอก็ทำได้เพียงตะกุยผนังอย่างหมดหวัง “เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยฉันออกไป! ใครเป็นญาติของเธอไม่ทราบ พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย แล้วทำไมฉันถึงต้องใช้หนี้แทนเธอด้วย?”
“คุณฉินคะ ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน คุณไปถามคนที่หมู่บ้านดูก็ได้ พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ ปล่อยฉันไปเถอะ” เสียงของเธอสั่นด้วยความตื่นกลัว เธอสาบานกับตนเองในใจเลยว่าจะไม่กลับมารังควานครอบครัวของลู่ฉิวเยว่อีกแล้ว
“พูดจริงนะ?” ฉินซือเลิกคิ้วขึ้นสูง
“จริงสิคะ! คนพวกนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย ปล่อยฉันไปเถอะ” ป้าลู่จะร้องไห้แล้ว
ฉินซือค่อย ๆ เปิดประตูออก
ป้าลู่รีบวิ่งออกไป แต่กลับมีคนมาขวางทางไม่ให้เธอหนี
“คุณเป็นป้าของลู่ฉิวเยว่ใช่ไหม? งั้นพวกเรามาคุยกันเถอะ” คนที่มาขวางทางเอาไว้ก็คือเลขาหวัง แล้วเลขาหวังก็ลากตัวหญิงวัยกลางคนไปที่อื่น
เมื่อเห็นป้าลู่ถูกพาตัวไปแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็หันไปถามฉินซือยิ้ม ๆ ว่า “คุณจะพาเธอไปไหนคะ?”
“เอาไปทิ้งข้างถนน ให้เดินกลับบ้านเอง”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มกว้าง “คุณฉินสวมบทเป็นคนร้ายได้เนียนมากเลยนะคะ”
เมื่อสักครู่นี้ ชายหนุ่มแสดงถึงสีหน้าโกรธแค้นได้เหมือนจริงมาก ถ้ามีคนไม่รู้มาเห็นเข้า ก็คงต้องเข้าใจว่าเธอติดเงินเขาอยู่จริง ๆ
ฉินซือไม่รู้เลยว่านี่เธอกำลังชื่นชมเขาหรือกำลังเหน็บแนมเขากันแน่
“ว่าแต่นามบัตรที่ผมให้ไปพิมพ์ได้มาหรือยังครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ส่งนามบัตรที่เพิ่งพิมพ์มาสด ๆ ให้เขาดู “ใช้ได้ไหมคะ?”
ฉินซือรับไปดู “ก็ใช้ได้อยู่ครับ แต่ผมขอแนะนำให้คุณใส่หมายเลขโทรศัพท์ไว้สักหน่อย”
ตอนแรกลู่ฉิวเยว่คิดว่าตัวเองเปิดร้านขายอาหารเล็ก ๆ คงไม่จำเป็นต้องมีเบอร์โทรศัพท์อะไร แต่ถ้าฉินซืออยากให้เธอมีเบอร์โทรศัพท์อยู่ในนามบัตร เธอก็คงต้องใส่ลงไปเพิ่มจริง ๆ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะใส่เพิ่มไปนะคะ”
ลู่ฉิวเยว่อาศัยจังหวะช่วงตรุษจีนตอนที่ตนเองงานไม่เยอะเอาเวลาไปทำเรื่องเปิดเบอร์โทรศัพท์ หลังจากนั้นก็ไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงิน เธอไม่รู้ตัวเลย หญิงสาวพบว่าเธอมีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านอีกหลังได้แล้ว
การใช้ร้านใหม่ของตนเองเป็นบ้านพักอาศัยด้วยนั้นไม่สะดวกสบายจริง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของห้องน้ำ อาจจะไม่มีปัญหาในหน้าร้อน แต่หน้าหนาวคงมีปัญหาแน่ ๆ
ยังไม่รวมถึงปัจจัยที่ว่าพ่อแม่ของเธอก็อายุมากขึ้นทุกวัน ลู่ฉิวเยว่ไม่อยากให้พวกท่านมาช่วยงานที่ร้านมากนัก เพราะการทำงานในร้านอาหารหมายถึงการทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เธออยากจะจ้างลูกจ้างเพิ่มเติม
ลู่ฉิวเยว่จึงเริ่มต้นมองหาบ้านหลังใหม่ในวันถัดไป
เธออยากจะซื้อบ้านที่มีขนาด 4 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น และ 2 ห้องน้ำ มีพื้นที่ประมาณ 160 ตารางเมตร บ้านต้องมีขนาดกว้างขวางพอสำหรับต้อนรับลุง ๆ ป้า ๆ ที่มาเยี่ยมหาจากหมู่บ้าน
รวมไปถึงลูกพี่ลูกน้องของเธอที่มาช่วยงานในร้าน ซึ่งร้านก็ตั้งอยู่ไกลจากหมู่บ้านเยว่เหลียง เขาก็สามารถไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ได้เช่นกัน เขายังอายุน้อย ลู่ฉิวเยว่ยังไม่อยากปล่อยให้เขาออกไปเช่าบ้านอยู่ตามลำพัง
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาบ้านที่พึงพอใจได้ เพราะไม่ว่าจะตามหาอย่างไร ถ้าบ้านหลังนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่เธอต้องการ มันก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งห่างไกลจากร้านอาหารของเธอมากเกินไป ซึ่งมันก็ไม่สะดวกต่อการเดินทาง หรือบางหลังก็มีราคาแพงมากเกินไป
ลู่ฉิวเยว่วิ่งวุ่นหาบ้านอยู่หลายวันจนรองเท้าของเธอแทบขาด เธอพูดคุยกับผู้คนมากมายจนคอแห้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี
ในที่สุด เธอก็พบเจอกับบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเขตใจกลางเมือง มันตั้งอยู่ใกล้ร้านอาหารของเธอ มีขนาดกว้างขวาง เดินทางสะดวก เรียกได้ว่าตรงตามความต้องการของเธอทุกอย่าง
แต่น่าเสียดายที่เจ้าของบ้านตั้งราคาเอาไว้สูงมากเกินไป ต่อให้ลดราคาลงมาแล้ว เธอก็ยังคิดว่ามันแพงเกินไป เธอจึงตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี
เมื่อกลับมาบ้านแล้วเริ่มทำอาหาร ในตอนที่ไม่ต้องทำอาหารเลี้ยงลูกค้า เธอก็มักจะให้ตนเองได้รับประทานสิ่งดี ๆ เสมอ
ในคืนนั้น ลู่ฉิวเยว่ทำเนื้อแกะตุ๋น เนื้อแกะสดใหม่ใส่หัวหอมและขิงเพื่อดับกลิ่นลงไปลวกด้วยน้ำเดือดก่อนรอบนึง ก่อนจะใส่ลงไปในน้ำเดือดรอบที่สอง เพิ่มขิงเข้าไปอีก และใส่เหล้าจีนตามไป รวมไปถึงเครื่องปรุงอื่น ๆ อีกพอประมาณ ใช้เวลาตุ๋นประมาณ 1 ชั่วโมง แต่สิ่งสำคัญในการทำเนื้อแกะตุ๋นนั้นไม่ใช่เนื้อแกะ แต่เป็นเห็ดหลินจือ
ในเมื่ออาหารที่เธอทำจะถูกเปลี่ยนเป็นค่าความสุขของระบบ เธอก็อยากจะให้ทุกคนได้รับประทานด้วยเช่นกัน
“เห็ดหลินจือใช่ไหมเนี่ย?” ที่โต๊ะอาหารค่ำ ฉินซือลองซดน้ำซุปแล้วก็ต้องเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ จากรสชาติที่เขาได้ลองชิม นี่ต้องเป็นเห็ดหลินจือที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ต่อให้เป็นครอบครัวของเขาเองก็แทบจะหามารับประทานไม่ได้ นี่เป็นยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ แต่เธอเอามาใส่น้ำซุปเล่น ๆ เนี่ยนะ?
ลู่ฉิวเยว่อธิบายว่า “ฉันซื้อมาจากข้างทางเมื่อวันก่อนค่ะ ราคาไม่แพงเลยนะ ถ้าสิ่งที่คุณฉินพูดเป็นความจริง งั้นฉันก็คงโชคดีมาก”
ฉินซือยังคงสงสัยอยู่ไม่หาย ของดีแบบนี้จะไปขายอยู่ข้างทางได้อย่างไร?
แต่เมื่อเห็นว่าลู่ฉิวเยว่ไม่อยากบอก เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ ลู่ฉิวเยว่ก็พูดขึ้นมาว่าเธอกำลังมองหาบ้านใหม่และรู้สึกว่าบ้านใหม่มีราคาแพงมากเกินไป
ฉินซือไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่จดจำเรื่องนี้อยู่ในใจเงียบ ๆ
หลังอาหารค่ำ เขาสั่งให้เลขาหวังไปสืบว่าลู่ฉิวเยว่ต้องการอะไร
ฉินซือรู้นิสัยของลู่ฉิวเยว่ดี ถ้าเขาเสนอตัวจะช่วยเธอ เธออาจจะสงสัยเอาได้ และเธอจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือของเขา แต่ถ้าเลขาหวังเป็นคนพูด เธอจะไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย
เมื่อรู้ว่าเลขาหวังยินดีจะช่วยเธอหาบ้าน ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกขอบคุณและทำเมนูปลาทอดให้เขารับประทานเป็นพิเศษ
เลขาหวังรีบรับประทานอย่างรวดเร็ว
เพราะกลัวว่าถ้าคุณชายรู้อาจจะเป็นเรื่องเอาได้
ในไม่ช้า เลขาหวังก็รายงานเรื่องบ้านหลังใหม่ให้เธอทราบ
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งมีบ้านขนาด 4 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นและ 2 ห้องน้ำคล้ายกับที่คุณลู่บอกผมเมื่อวานนี้เลย เว้นแต่ว่าสภาพบ้านค่อนข้างเก่า อีกไม่นานเขาก็จะย้ายเข้าไปอยู่ใจกลางเมืองแล้ว เขาก็เลยอยากจะรีบขายบ้านให้ได้เร็ว ๆ ราคาก็เลยสามารถต่อรองกันได้ครับ”
ลู่ฉิวเยว่กำลังเก็บโต๊ะและทำความสะอาดคราบสกปรกด้วยผ้าขี้ริ้วในมือ “จริงหรอคะ? เลขาหวังช่วยแนะนำให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิครับ เดี๋ยวผมติดต่อให้นะ”
เธอไปดูบ้านในตอนบ่าย สภาพแวดล้อมค่อนข้างดี ตัวบ้านก็ไม่ได้เก่าเกินไป แม้ว่าการตกแต่งในบ้านจะดูโบราณไปบ้าง แต่ก็สามารถเข้าพักได้อย่างไม่มีปัญหา
สิ่งที่ลู่ฉิวเยว่พอใจมากที่สุดก็คือหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านกระจกเข้ามา ทำให้ทั้งห้องสว่างไสว
“คุณถัง เรามาคุยเรื่องราคากันดีไหมคะ?” เธอยิ้มและหันกลับมามองเจ้าของบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ชายคนนี้มีอายุประมาณ 50 ปี แววตาอ่อนโยน เขาจ้องมองมาที่เธออย่างตรวจสอบ
“ดีเลยครับ” เขาพูดยิ้ม ๆ “ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนกับหวังเซียน และผมก็อยากจะรีบขายบ้าน งั้นผมลดราคาให้เป็นพิเศษเลยแล้วกัน ผมขาย 7,000 หยวนแล้วกัน”
7,000 หยวนอย่างนั้นเหรอ? ต่อให้บอกว่าบ้านหลังนี้มีราคา 10,000 หยวนก็ยังถือว่าเป็นราคาที่ถูกมากอยู่ดี
เธอหันไปมองเลขาหวังสลับกับเจ้าของบ้าน แต่พวกเขาก็ดูไม่เหมือนเพื่อนกันเลยสักนิด
เว้นแต่ว่า…
ลู่ฉิวเยว่ก้มหน้าลง เธอรู้คำตอบในใจแล้ว
เธอพอใจกับบ้านหลังนี้จริง ๆ เธอจึงไม่ได้ปฏิเสธ
หลังจากลังเลอยู่ ลู่ฉิวเยว่ก็พูดว่า “งั้นก็เป็นอันตกลงค่ะ คุณถังใจดีมาก ฉันรู้สึกเกรงใจมากเลย”
คุณถังส่ายหน้าและยิ้มด้วยความจริงใจ “ผมอยากจะรีบขายบ้านครับ ถ้าผมไม่ได้รีบย้ายบ้าน ผมคงไม่ขายถูก ๆ แบบนี้แน่ แล้วผมก็เห็นว่าคุณลู่อยากจะได้บ้านหลังนี้จริง ๆ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เรามาเซ็นสัญญากันเถอะครับ”
เลขาหวังได้ยินดังนั้นก็แอบมองบน เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้ชายคนนี้เพิ่งจะใช้บ้านหลังนี้มาสูบเงินไปจากคุณชายของเขาก้อนโต แล้วตอนนี้ยังแกล้งมาทำตัวเป็นคนดีอีกได้อย่างไร