สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 197 ม่อป๋อซงจู่โจมลู่ฉิวเยว่
บทที่ 197 ม่อป๋อซงจู่โจมลู่ฉิวเยว่
เมื่อหญิงชราเปิดแขนเสื้อขึ้นก็เผยให้เห็นจุดสีแดงขึ้นอยู่เต็มแขนไปหมด
กลุ่มชาวบ้านที่มุงดูอยู่โดยรอบล้วนเชื่อโดยทันที พวกเขาพร้อมใจกันชี้มาที่ร้านขายยาของลู่ฉิวเยว่
ลู่ฉิวเยว่รู้ดีว่านี่เป็นอาการแพ้ตั้งแต่แรกเห็น เธอจึงเดินขมวดคิ้วเข้าไปในร้านขายยา
นี่เป็นครั้งแรกที่ถังเยว่ต้องพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้ เขาทั้งหงุดหงิดและมึนงง เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา จึงไม่ต่างจากเห็นผู้พิทักษ์ของตนเอง
ลู่ฉิวเยว่เดินตรงเข้าไปหาเขา “ป้าคนนั้นมีใบสั่งยามายืนยันหรือเปล่าว่ามาจากร้านของเราจริง ๆ?”
“ผมถามดูแล้วครับ แต่ป้าแกบอกว่าไม่มี แกแค่พูดปากเปล่าว่ารับใบสั่งยาไปจากร้านของเราเท่านั้น” ถังเยว่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ หญิงชราไม่มีหลักฐานมายืนยัน ไม่มีแม้กระทั่งใบสั่งยาจากร้านของเธอ แสดงว่าคงต้องการมาทำลายภาพลักษณ์ร้านของเธออย่างแน่นอน
“คุณป้าคะ อย่ามาใส่ร้ายร้านขายยาของพวกเราเลย ถ้าไม่เอาใบสั่งยามาพิสูจน์ ฉันจะแจ้งตำรวจจับป้าจริง ๆ ด้วย โทษฐานพยายามทำลายชื่อเสียงของพวกเรา!”
หญิงชราเคยทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง ในอดีตร้านขายยาร้านอื่น ๆ จะรีบให้เงินเธอทันทีเพื่อปกป้องชื่อเสียงและภาพลักษณ์ หญิงชราจึงคิดไม่ถึงเลยว่าร้านขายยาร้านนี้จะจ่ายเงินยากเย็นเหลือเกิน ถ้ารู้อย่างนี้เธอคงไม่มาตั้งแต่แรก
หญิงชรารู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อแสดงละครมาจนถึงตอนนี้แล้ว เธอก็จะไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่าเด็ดขาด
ลู่ฉิวเยว่เดินเข้าไปในร้านและโทรศัพท์แจ้งตำรวจ เห็นได้ชัดว่าบุคคลประเภทนี้ทำจนเคยชินและเป็นตัวปัญหาที่ทำให้เสียเวลายิ่งนัก ปล่อยให้ตำรวจจัดการดีกว่า
ไม่กี่นาทีให้หลัง หญิงชราก็ถูกตำรวจจับตัวไป ลู่ฉิวเยว่ใช้โอกาสนี้อธิบายให้กลุ่มชาวบ้านฟังว่า “ป้าคนนั้นตั้งใจมาหลอกเอาเงินพวกเราค่ะ ร้านขายยาของเรามีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ได้โปรดอย่าเข้าใจเราผิดเลยนะคะ”
ชาวบ้านส่ายศีรษะก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านกันไปหลังไม่มีอะไรให้รับชมต่อ
และเนื่องจากต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ วันนี้ร้านขายยาจึงปิดช้ากว่ากำหนด ท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้วตอนที่ลู่ฉิวเยว่เดินกลับออกมา
ก่อนออกจากร้าน เธอได้รับโทรศัพท์จากฉินซือ “ฉิวเยว่ คุณอยู่ที่ไหน? ผมจะไปรับ”
“รอฉันอยู่ที่บ้านนั่นแหละค่ะ เดี๋ยวฉันก็กลับไปแล้ว” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มกว้างให้กับโทรศัพท์ในร้านขายยา
“ได้ครับ งั้นผมจะรอคุณกลับมากินอาหารค่ำด้วยกันนะ”
ลู่ฉิวเยว่ว่างโทรศัพท์และรีบกลับบ้านอย่างรวดเร็ว แต่เดินมาได้ครึ่งทาง เธอก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกับว่ามีใครบางคนติดตามเธอมาตลอด ถ้าเธอรู้สึกอย่างนี้เพียงไม่กี่ครั้ง เธอก็คงคิดไปเอง แต่ลู่ฉิวเยว่รู้สึกอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว
หญิงสาวเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นและเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังเธอก็เร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน
เมื่อรู้ว่ามีคนแอบเดินตาม ลู่ฉิวเยว่จึงเปลี่ยนทิศทางเดินมุ่งหน้าไปที่สถานีตำรวจ
เมื่อเดินมาถึงจุดที่ท้องถนนปราศจากผู้คน มือของใครบางคนก็เอื้อมมาจับแขนเธอจากทางด้านหลังและลากเธอเข้าไปในซอยเล็กแคบด้านข้าง อีกมือหนึ่งก็พยายามปลดกระดุมเสื้อเธอ
ลู่ฉิวเยว่มีสีหน้าเย็นชา กระแทกข้อศอกกลับไปข้างหลัง ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เป็นเสียงที่เธอค่อนข้างคุ้นหู
เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นม่อป๋อซง
ลู่ฉิวเยว่กำหมัดและจ้องมองเขาด้วยความเย็นชา เตรียมตัวพร้อมที่จะวิ่งหนี
เมื่อม่อป๋อซงเห็นว่าเธอหลุดมือไปแล้ว เขาก็พุ่งเข้ามาพยายามจะคว้าจับเธอเอาไว้อีกรอบ
ลู่ฉิวเยว่สะบัดข้อมือและยิ้มอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเหวี่ยงเขาข้ามหัวไหล่ทุ่มลงไปบนพื้นดินและเตะเขาอย่างแรงอีกหลายครั้ง ก่อนที่ม่อป๋อซงจะมีโอกาสได้ลุกขึ้นยืน
ม่อป๋อซงไม่คิดเลยว่าลู่ฉิวเยว่จะเตะเขาแรงขนาดนี้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ส่งเสียงร้องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อลู่ฉิวเยว่กำลังลังเลว่าจะเตะต่อไปดีหรือไม่ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอกว่า “หยุดนะ!”
แสงไฟฉายสว่างวูบ ลู่ฉิวเยว่หันกลับไปมอง ในที่สุดก็เห็นว่าคนที่กำลังวิ่งเข้ามาเป็นกลุ่มตำรวจ
เธอยิ้มกว้างรีบวิ่งเข้าไปหาและชี้มือกลับมาที่ม่อป๋อซงซึ่งกำลังนอนตัวงออยู่บนพื้น “สหายตำรวจคะ ผู้ชายคนนี้พยายามจะลวนลามฉันค่ะ!”
“งั้นพวกคุณตามผมไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้ดีกว่า” นายตำรวจหนุ่มหันไปมองม่อป๋อซงที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะหันกลับมามองลู่ฉิวเยว่
ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็ไปนั่งอยู่ในสถานีตำรวจและได้รับการสอบปากคำแยก
ตำรวจเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบว่าฝ่ายชายถูกทำร้ายอย่างหนักหน่วง เมื่อจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำของม่อป๋อซง ทุกคนก็รู้สึกตลกขบขันเหลือเกิน
เพียงไม่นาน ฉินซือก็มาถึงสถานีตำรวจและรีบวิ่งเข้ามาหาลู่ฉิวเยว่ เขาตื่นกลัวจนแทบลืมหายใจ
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” เขาจ้องมองลู่ฉิวเยว่ด้วยความวิตกกังวล
ลู่ฉิวเยว่โบกมือบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะเปิดแขนเสื้อให้เขาดู “ปลอดภัยดีค่ะ แค่รอยขีดข่วนนิดหน่อย”
บนข้อมือที่ขาวผ่องปรากฏรอยจ้ำสีแดงอย่างชัดเจน หัวใจของฉินซือกระตุกวูบ เขาเป่าข้อมือของเธอเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “รอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อม่อป๋อซงและกำลังจะต่อยหน้า
ลู่ฉิวเยว่ตื่นตกใจ รีบวิ่งเข้าไปคว้าแขนเขาเอาไว้ทันที “ฉินซือ ใจเย็นก่อนสิ!”
“คุณฉิน ใจเย็น ๆ ก่อนครับ” ฝ่ายนายตำรวจก็เข้ามาระงับเหตุอย่างรวดเร็วและแยกชายหนุ่มทั้งสองคนออกจากกัน
“สหายตำรวจ แบบนี้มันพยายามข่มขืนกันแล้ว ผมจะเอามันเข้าคุก!” ดวงตาดุดันของฉินซือจ้องมองไปที่ม่อป๋อซงด้วยความเย็นชา ทำให้ผู้ถูกจ้องมองรู้สึกหนาวเย็นลงไปถึงกระดูกดำและอดตัวสั่นไม่ได้
ม่อป๋อซงกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว อยากจะร้องขอความเมตตา แต่ในตอนนี้ ลำคอของเขาแห้งผาก ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ลู่ฉิวเยว่กระตุกแขนเสื้อของฉินซือ “ฉันหิวแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ ปล่อยให้คุณตำรวจจัดการเรื่องที่เหลือไปเถอะนะ”
คุณตำรวจพยักหน้า “เดี๋ยวพวกเราจัดการเองครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ฉินซือพยักหน้า คิดว่าลู่ฉิวเยว่อาจจะกำลังหวาดกลัว เขาจึงพาเธอออกไปข้างนอก เมื่อได้เข้ามาอยู่ในรถยนต์ของเขา ลู่ฉิวเยว่ก็กลัวว่ารูปลักษณ์ของเธอจะทำให้พ่อแม่ตนเองตกใจกลัว เธอจึงขอกลับไปนั่งพักที่บ้านของเขาก่อน ลู่ฉิวเยว่อยากจะจัดการหวีผมให้เรียบร้อยและไม่ลืมติดกระดุมกลับคืนที่เดิมเช่นกัน
“ได้สิ” ฉินซือตกลงโดยไม่ลังเล
หลังจากลงจากรถยนต์ เขาก็จับมือลู่ฉิวเยว่ไม่ยอมปล่อยและจ้องมองด้วยความห่วงใยตลอดเวลา
“คุณคงกลัวมากเลยสินะ ผมขอโทษ จากนี้ไปผมจะไปรับคุณเอง ตกลงไหม?”
ลู่ฉิวเยว่ตบมือของเขาเบา ๆ “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่เห็นหน้าของม่อป๋อซงหรือไง ฉันต่อยจนหน้าเขายับเลยนะ”
ม่อป๋อซงมีอาการตัวสั่นเทาไม่หาย ลู่ฉิวเยว่คิดไปแล้วด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายโดนเธอรังแก
“สมน้ำหน้า!” ฉินซือพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา นึกเสียใจที่ไม่ได้ต่อยหน้าสั่งสอนคนสารเลวอย่างนั้น
เมื่อบอกให้ลู่ฉิวเยว่นั่งบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็นำกล่องยาออกมาจากตู้เก็บของและพับแขนเสื้อของลู่ฉิวเยว่ขึ้น ก่อนจะจัดการทายาให้เธอด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เธอหัวเราะร่า ซึ่งดึงดูดสายตาของฉินซือได้เป็นอย่างดี
ฉินซือโทรศัพท์กลับไปบอกเล่าให้พ่อแม่ของตนเองรับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้ และผู้อาวุโสทั้งสองท่านก็รีบบึ่งรถยนต์มาที่บ้านของเขาทันที
พวกท่านปลอบโยนลู่ฉิวเยว่เป็นอย่างแรก แต่เมื่อพูดถึงม่อป๋อซง ทั้งสองคนก็โกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
คุณแม่ฉินที่ปกติเป็นคนอ่อนโยนเสมอมาอดตะโกนออกมาไม่ได้ว่า “สารเลว! ม่อป๋อซง แกมันไม่ใช่คน!”
คุณพ่อฉินก็กัดฟันกรอดเช่นกัน โกรธจนควันออกหู ปรารถนาที่จะลากตัวม่อป๋อซงมาสั่งสอนด้วยมือของตนเองจริง ๆ