สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 176 ย้ายของออกจากร้านขายยา
บทที่ 176 ย้ายของออกจากร้านขายยา
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย ลู่ฉิวเยว่ก็ได้เรียกรถสามล้อปั่นจากหน้าศาลโดยสารกลับไปที่ร้านอาหารของตนเอง เมื่อเธอลงจากรถสามล้อ เธอก็ได้พบเจอกับหลี่ซูหล่านอีกครั้ง
“ลู่ฉิวเยว่! ฝากไว้ก่อนเถอะ!” หลี่ซูหล่านรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เธอจึงเดินมาขวางหน้าลู่ฉิวเยว่ด้วยความอาฆาต
ลู่ฉิวเยว่ยกมือกอดอก จ้องตอบกลับไปด้วยสายตาเย็นชา “ฝากอะไร? ป้าหลี่จะแก้แค้นฉันงั้นเหรอคะ?”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เธอก็หัวเราะเยาะ “แต่ฉันแนะนำว่าอย่าทำอะไรวู่วามเลยดีกว่า… ไม่งั้นฉันอาจจะแจ้งตำรวจจับคุณก็ได้ อ้อ ฉันขอเตือนคุณด้วยก็แล้วกัน โทษของการลักทรัพย์ต้องจำคุกไม่ต่ำกว่าสามปีนะคะ”
ลู่ฉิวเยว่ทำท่ายกมือเป่าไล่เศษฝุ่นบนนิ้วมือที่ไม่มีจริง และนั่นก็ยิ่งทำให้หลี่ซูหล่านโกรธจนควันออกหูมากขึ้น
หลี่ซูหล่านขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศาลเมื่อเช้านี้ เธอจึงจ้างคนมาขนย้ายข้าวของออกมาจากร้านในตอนบ่าย และเธอยังได้มาควบคุมการย้ายของด้วยตนเองอีกด้วย
หวังเซวียนเซวียนวิ่งมาสังเกตการณ์ ก่อนจะกลับไปรายงานลู่ฉิวเยว่ว่า “พี่ครับ เจ้าของเก่าย้ายของออกมาจากร้านเรียบร้อยแล้วครับ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า เดินกลับเข้าไปในร้านอาหารและใช้โทรศัพท์ในร้าน โทรไปติดต่อให้ช่างทำกุญแจมาเปลี่ยนล็อกประตูโดยเร็วที่สุด
หลังจากนั้น ลู่ฉิวเยว่และพรรคพวกก็เดินตรงไปยังร้านใหม่ของตนเอง แต่ยังเดินไปไม่ถึง เธอก็เห็นแล้วว่ามีชาวบ้านมายืนรวมตัวกันอยู่หน้าร้านใหม่ของเธอ
“สะใจเธอแล้วใช่ไหม?” หลี่ซูหล่านยืนเอามือเท้าเอว เมื่อเห็นว่าใครเพิ่งเดินมาถึง ดวงตาของเธอก็มีประกายโกรธแค้น
ลู่ฉิวเยว่ยกมือกอดอกจ้องมองกลุ่มชาวบ้าน หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ช่างทำกุญแจเปลี่ยนล็อกประตูโดยทันที
“ลู่ฉิวเยว่ แบบนี้มันหมายความว่ายังไง?” นี่คือการกระทำที่ถือว่าเป็นการตบหน้าหลี่ซูหล่าน นี่คือการกระทำที่ทำให้หลี่ซูหล่านขายหน้าชาวบ้าน หลี่ซูหล่านจึงอยากจะกระโดดเข้าไปขยุ้มคอลู่ฉิวเยว่เหลือเกิน
ลู่ฉิวเยว่หันกลับมามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะพูดยิ้ม ๆ ว่า “ฉันจะเปลี่ยนล็อกประตูร้านใหม่ ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรเหรอคะ?”
หลี่ซูหล่านไม่มีทางมีปัญหาได้อยู่แล้ว เธอกัดฟันกรอด เตะเก้าอี้ที่ถูกขนย้ายออกมากองอยู่หน้าร้านล้มลงเสียงดังโครมคราม ทำให้ชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่ตื่นตกใจ แม้แต่เด็กเล็กก็ยังร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว…
“คุณจะมาอาละวาดอะไรแถวนี้ น่ารังเกียจชะมัด!” ชายคนหนึ่งตะโกนด่าก่อนจะอุ้มลูกเดินหนีไป
ส่วนกลุ่มชาวบ้านที่เหลืออยู่ก็จ้องมองหลี่ซูหล่านด้วยความเหยียดหยาม พวกเขาชี้ชวนกันจ้องมองมาที่เธอพร้อมกับกระซิบกระชาบด้วยท่าทางรังเกียจ หลี่ซูหล่านโมโหสุดขีดจนต้องหยิบเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างตัวมาโยนใส่กลุ่มชาวบ้านเหล่านั้น
แม้จะเกิดเหตุวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เธอเดินเข้าไปภายในร้านอย่างช้า ๆ ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับใครอีกแล้ว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉิงตงอวี้ก็มาถึงพร้อมกับช่างตกแต่งภายใน ลู่ฉิวเยว่จ้างเขามาตกแต่งภายในร้านอาหารเมื่อครั้งที่แล้ว พบว่าเฉิงตงอวี้มีฝีมือค่อนข้างดี ครั้งนี้เธอจึงจ้างเขามาให้ช่วยตกแต่งร้านขายยาจีนด้วยความคุ้นเคยอีกเช่นกัน
“คุณลู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เรื่องการตกแต่งร้านปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมได้เลย คุณค่อยกลับมาตรวจดูเมื่อถึงกำหนดก็ได้” เฉิงตงอวี้ยกมือตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและยิ้มกว้าง “ได้เลยค่ะ ฉันเชื่อมั่นในฝีมือของพี่เฉิงอยู่แล้ว” หลังจากยืนสรุปงานอยู่อีกไม่นาน เธอก็เดินกลับออกมาพร้อมหวังเซวียนเซวียน
…
“พวกเรามาทำอะไรที่นี่กันเหรอครับ?” หวังเซวียนเซวียนจ้องมองป้ายตัวอักษร ‘สำนักงานจดสิทธิบัตรแห่งรัฐ’ ขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่เบื้องหน้า
ลู่ฉิวเยว่เดินตรงเข้าไปในสำนักงานหลังใหญ่ “มายื่นเรื่องจดสิทธิบัตรแผ่นแปะแก้ปวดไง”
“คุณผู้หญิง ต้องการมาจดสิทธิบัตรเรื่องอะไรคะ?” ในไม่ช้า ก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับด้วยความเป็นมิตร
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลว่า “มาจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ในร้านขายยาค่ะ”
“งั้นก็เชิญทางนี้เลยค่ะ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับว่าเข้าใจ ก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่หญิงเข้าไปภายในห้องทำงานแห่งหนึ่ง เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปแล้ว เจ้าหน้าที่หญิงก็พูดกับชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านในห้องว่า “เหล่าหลินคะ คุณผู้หญิงคนนี้มาขอทำเรื่องจดสิทธิบัตรค่ะ”
คนที่ถูกเรียกว่าเหล่าหลินหยุดชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น ต้อนรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันอยากจะมาจดสิทธิบัตรการทำแผ่นแปะแก้ปวด มันเป็นสูตรที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของฉัน ก็เลยอยากจะมาจดสิทธิบัตรเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางดึงให้หวังเซวียนเซวียนนั่งลงข้าง ๆ กัน
เหล่าหลินมองเธอด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันไปรินน้ำใส่แก้วมาให้เธอและน้องชาย “ดูคุณมีความรู้มากเลยนะครับ” ผู้คนในยุคสมัยนี้ไม่ค่อยตื่นตัวเรื่องการจดสิทธิบัตรสักเท่าไหร่ มีน้อยคนมากที่จะมาทำเรื่องขอจดสิทธิบัตร นับว่าหญิงสาวคนนี้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลจริง ๆ
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะพร้อมกับรับแก้วน้ำมาด้วยความขอบคุณ หลังจากนั้นเธอก็นำสำเนาเอกสารที่เตรียมเอาไว้ออกมาจากกระเป๋า “ฉันเตรียมเอกสารมาเรียบร้อยแล้วค่ะ นี่เป็นสำเนาใบอนุญาตการเปิดร้านขายยาจีน ส่วนที่เป็นสำเนาบัตรประชาชนของฉัน และนี่ก็เป็นใบรับรองการทดสอบแผ่นแปะแก้ปวดของฉัน…” เธอพลิกหน้ากระดาษให้เขาดูทีละแผ่น
หลังจากนั้นลู่ฉิวเยว่ก็ถามว่า “ยังต้องใช้อะไรเพิ่มอีกไหมคะ?”
“ครบหมดแล้วครับ” เหล่าหลินรับเอกสารปึกนั้นไปด้วยสองมือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนหญิงสาวคนนี้จะคุ้นเคยกับขั้นตอนการติดต่องานราชการอยู่พอสมควร “แค่ไปจ่ายค่าธรรมเนียมก็พอครับ เดี๋ยวทางผมจะจัดการขั้นตอนทุกอย่างให้เอง เมื่อได้รับการจดสิทธิบัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะติดต่อไปนะครับ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ก่อนจะเดินไปทำตามคำแนะนำของเขา เรียบร้อยแล้วก็จ่ายค่าธรรมเนียมในการจดสิทธิบัตรเป็นเงิน 110 หยวน ซึ่งทำให้หวังเซวียนเซวียนต้องพิศวงเป็นอย่างยิ่ง “พี่ครับ ทำไมเราต้องจ่ายเงินเยอะขนาดนี้ด้วยล่ะ?” เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยินเรื่องการจดสิทธิบัตรมาก่อน
“ในอนาคต ร้านขายยาของเราคงใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจะต้องผลิตสินค้าในจำนวนมาก อีกไม่นานคงไม่สามารถปิดปังสูตรได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีใครเอาสูตรการทำแผ่นแปะแก้ปวดของพวกเราไปทำขายต่อ สิทธิบัตรที่ฉันจดในวันนี้ก็จะสามารถเอาผิดพวกเขาได้ตามกฎหมายโดยทันที” หญิงสาวอธิบาย
เมื่อหวังเซวียนเซวียนได้รับทราบคำตอบ เขาก็ยิ่งมองเธอด้วยความชื่นชมมากกว่าเดิม “พี่นี่สุดยอดเลยนะครับ รอบรู้หมดทุกเรื่องเลย”
“ฉันเป็นคนรู้อนาคตน่ะ” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มกว้าง ทันทีที่พูดจบก็โบกรถสามล้อปั่นบริเวณหน้าสำนักงานเพื่อเดินทางกลับไปที่ร้านอาหารของตนเอง
การทำงานของสำนักจดสิทธิบัตรเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงสามวันเท่านั้น ลู่ฉิวเยว่ก็ได้รับสิทธิบัตรแผ่นแปะแก้ปวดมาครอบครอง ในเวลาเดียวกันนี้ การตกแต่งร้านขายยาก็เสร็จเรียบร้อยเช่นกัน
ลู่ฉิวเยว่จึงรีบแจ้งเตือนไปที่ถังเยว่
เขามารับโทรศัพท์อย่างมีความสุข หลังจากวางสายไปได้ไม่นาน ถังเยว่ก็มาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าลู่ฉิวเยว่ด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก “ให้ผมเริ่มทำงานวันนี้ได้เลยใช่ไหมครับ?”
ลู่ฉิวเยว่ถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นชายหนุ่มที่มาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า “ฉันยังไม่ได้ซื้อยาเข้าร้านเลยค่ะ” เธอแค่โทรไปบอกเขาเฉย ๆ เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะรีบร้อนถึงขนาดนี้
“งั้นนั่งพักกินอะไรสักหน่อยดีไหมคะ” หญิงสาวยิ้มรับ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว และอาหารก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วเช่นกัน “พวกเราคุยกันไปด้วยกินข้าวกันไปด้วยดีกว่าเนอะ”
หวังเซวียนเซวียนส่งยิ้มมาให้ด้วยความอบอุ่น ถังเยว่ยิ้มรับอย่างเขินอาย ก่อนจะนั่งลงด้วยความเชื่อฟัง
“อันนี้สมุดอะไรเหรอครับ?” คุณหมอหนุ่มสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสมุดเล่มเล็ก ๆ วางอยู่บนโต๊ะ ในสมุดเล่มนั้นมีแต่รายชื่อตัวยาเต็มไปหมด
“รายชื่อยาที่ฉันต้องซื้อเข้าร้านค่ะ” ลู่ฉิวเยว่ยื่นส่งสมุดไปให้เขาดู “ฉันกำลังนั่งนึกอยู่ว่าต้องซื้ออะไรบ้าง คุณเองก็ควรดูเหมือนกันนะคะ”
“ผมว่าเราควรเพิ่มไป๋เสา ตังกุย และดอกหอมหมื่นลี้อีกสักหน่อย…” ถังเยว่ยกมือขึ้นดันแว่นตากรอบดำของตนเอง เมื่ออ่านรายชื่อยาในสมุดด้วยความเคร่งขรึม เขาก็เอ่ยชื่อตัวยาออกมาอีกหลายชนิด “สมุนไพรเหล่านี้เป็นเหมือนยาสามัญประจำบ้าน ตุนเอาไว้หน่อยก็ไม่เสียหายครับ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ดวงตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ “ดูเหมือนคุณถังจะมีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนเหมือนกันนะคะ?” สิ่งที่เขาพูดออกมาค่อนข้างแม่นยำมากทีเดียว
ถังเยว่พยักหน้าด้วยความเขินอาย “ก็พอมีความรู้อยู่บ้างครับ” แต่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือแพทย์แผนตะวันตกต่างหาก
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะด้วยความชอบใจ ก่อนจะผายมือบอกให้เขารับประทานอาหาร ในขณะที่เธอเขียนสิ่งที่เขาบอกลงไปในสมุดจด หลังจากนั้นก็เพิ่มสมุนไพรอีกหลายชนิดเท่าที่ตนเองจะนึกได้