สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 160 กุ้งผัดชาหลงจิ่ง
บทที่ 160 กุ้งผัดชาหลงจิ่ง
หญิงสาวนำกุ้งแม่น้ำสดใหม่ 15 ตัวมาปอกเปลือกและนำไปแช่น้ำ หมักกับเครื่องปรุง จากนั้นจึงเติมขิงและกระเทียมลงไปเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มกลิ่นหอมชวนรับประทาน หลังจากนั้นก็เติมน้ำร้อนลงไปต้มให้เดือดจนน้ำเริ่มงวดกลายเป็นน้ำซอสที่เข้มข้น
เมื่อกุ้งสุกดีแล้วและคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงจนเข้าเนื้อ ก็ค่อยเทน้ำชาหลงจิ่งที่เตรียมเอาไว้ตามลงไป…
ลู่ฉิวเยว่มีสีหน้าเยือกเย็น การเคลื่อนไหวของเธอราบรื่นธรรมดา แต่มีความสวยงามยิ่งกว่าเทพธิดาร่ายรำ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหลียงซิงก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นมีความชำนาญ แต่ในใจจริงเธอคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากุ้งผัดชาหลงจิ่งคืออะไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหลียงซิงก็ก้มหน้าก้มตาทำเมนูของตนเองเช่นกัน ลู่ฉิวเยว่ตั้งโจทย์ให้เขาทำหมูตุ๋น ซึ่งขั้นตอนในการเตรียมการนั้นซับซ้อนมากกว่ากุ้งผัดชาหลงจิ่ง เขาต้องรีบลงมือแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น…
กลิ่นหอมหวลก็ลอยมาตามลม เหลียงซิงยืนตกตะลึงอยู่กับที่ ก่อนจะหันไปมองทางคู่แข่งของตัวเอง ดวงตาไม่สามารถปิดบังความตกตะลึงได้อีกแล้ว
หญิงบ้านนอกอย่างลู่ฉิวเยว่จะรู้จักวิธีทำกุ้งผัดชาหลงจิ่งได้อย่างไร กลิ่นที่เธอทำออกมาหอมน่ารับประทานมากกว่าที่อาจารย์ของเขาทำเสียอีก!
เป็นไปได้อย่างไร? ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในขณะนี้ทำให้เหลียงซิงเริ่มรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“กลิ่นหอมจังเลย!” กลิ่นกุ้งที่หอมลอยไปทั่วหอประชุม ทำให้ผู้ที่มารับชมต้องอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“นี่คือกลิ่นของน้ำชาหลงจิ่งผสมกับกลิ่นของกุ้งที่หมักเครื่องปรุงจนเข้าเนื้อ สุดยอดเหลือเกิน!”
เสียงอุทานแห่งความตื่นเต้นที่ดังขึ้นรอบตัวยิ่งทำให้เหลียงซิงรู้สึกตื่นตระหนกมากไปกว่าเดิม เขากัดฟันกรอด ถ้ามีใครสักคนเดินเข้ามาดูหน้าเขาใกล้ ๆ ในเวลานี้ ก็คงจะต้องตื่นตกใจกับความอาฆาตแค้นบนสีหน้าของเหลียงซิงเป็นอย่างยิ่งแน่
เมื่อกลุ่มนักข่าวเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สนใจอีกแล้วว่าเหลียงซิงเป็นคนเชิญตนเองมา พวกเขารีบเอากล้องถ่ายภาพวิ่งไปถ่ายลู่ฉิวเยว่เพราะอยากจะบันทึกขั้นตอนการทำอาหารของเธอเอาไว้ให้ได้อย่างครบถ้วนมากที่สุด
แสงแฟลชสว่างขึ้นไม่หยุดยั้ง เหลียงซิงรู้สึกตาลายขึ้นมาในทันใด จึงต้องตะโกนออกไปว่า “พวกคุณจะขึ้นมาถ่ายรูปหาหอกอะไร! ไม่รู้หรือไงว่ามันส่งผลต่อการแข่งขัน!”
ความอับอายเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ทำให้กลุ่มนักข่าวสะดุ้งโหยง และบรรดาผู้รับชมที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ยิ้มเย้ยหยันออกมาเช่นกัน แต่เพื่อความสงบสุขของการประชันฝีมือ พวกเขาก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบและจ้องมองไปที่ลู่ฉิวเยว่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะมีคำสั่งห้ามเอาไว้ พวกเขาคงเดินขึ้นเวทีไปดูใกล้ๆ แล้ว
เหลียงซิงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป แต่หลังจากที่ขึ้นเสียงใส่นักข่าวไปแล้ว เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าสายตาคนรอบตัวมีความผิดปกติ เหลียงซิงจึงได้สติกลับคืนมา แล้วก็อดเสียใจไม่ได้ เมื่อสักครู่นี้เขาไม่น่าขึ้นเสียงใส่นักข่าวเลย
ด้วยเหตุนี้เอง เหอสยงอิ๋งก็มีสีหน้าขุ่นเคืองใจยิ่งนัก พฤติกรรมของเหลียงซิงในวันนี้ทำให้สมาคมนักทำอาหารต้องขายหน้าผู้คนจริง ๆ
“เหลียงซิง ช่วยระวังคำพูดด้วย” ชายชราเตือนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
คำเตือนของเหอสยงอิ๋งยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เดิมทีเหลียงซิงก็อับอายผู้คนอยู่แล้ว ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาดท่ามกลางคนอื่น ๆ และชายหนุ่มก็รู้สึกอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป
กุ้งผัดชาหลงจิ่งของลู่ฉิวเยว่ถูกนำลงจากเตาอย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมที่ชวนให้ผู้คนน้ำลายสอก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น มันเป็นกลิ่นที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วหอประชุมในไม่ช้า
กลิ่นหอมน่าลิ้มรสเสียจนได้ยินเสียงกลุ่มคนดูกลืนน้ำลายอย่างต่อเนื่อง
และในเวลาเดียวกันนี้ หมูตุ๋นของเหลียงซิงก็เสร็จเรียบร้อยเช่นกัน
แต่ถ้าจะกล่าวโดยตรง หมูตุ๋นจะมีรสชาติเข้มข้นกว่ากุ้งผัดชาหลงจิ่ง มันสมควรมีกลิ่นหอมกว่ากุ้งผัดชาหลงจิ่ง แต่ในตอนนี้ กลิ่นของกุ้งผัดชาหลงจิ่งกลับกลบกลิ่นหอมของหมูตุ๋นได้หมดสิ้น
เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครทำอาหารเก่งมากกว่ากัน
ตามกฎของการประชันฝีมือ อาหารทั้งสองจานนี้จะถูกนำไปเสิร์ฟให้แก่คณะกรรมการและกลุ่มคนดูได้ช่วยกันตัดสิน
“กุ้งผัดชาหลงจิ่งของเชฟลู่มีสีสันน่ารับประทาน กุ้งมีลายสีส้มสดใส แต่มีเนื้อขาวอร่อย มีกลิ่นหอมดึงดูดใจ ผมให้สิบคะแนนเต็ม” เมื่อกรรมการได้ลองชิมอาหารทั้งสองชนิดที่ถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปรารถนาที่จะได้รับประทานกุ้งผัดชาหลงจิ่งให้หมดจานไปเลย
หลังจากนั้น เขาก็ชี้ไปที่ชามหมูตุ๋นบนโต๊ะ “หมูตุ๋นชามนี้ก็ทำได้ดีเหมือนกัน สีสันน่ารับประทาน เนื้อหมูนุ่มได้ที่ แต่ก็ยังสู้กุ้งผัดชาหลงจิ่งของเชฟลู่ไม่ได้”
บรรดากรรมการต่างก็แสดงความคิดเห็นต่อกุ้งผัดชาหลงจิ่งของลู่ฉิวเยว่ด้วยความตื่นเต้นและพูดถึงหมูตุ๋นด้วยความเย็นชา ถ้าไม่ติดว่าที่นี่มีนักข่าวอยู่ด้วย พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์จะมาพูดถึงหมูตุ๋นอีกต่อไป ในสายตาของพวกเขามีแต่กุ้งผัดชาหลงจิ่งเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหลียงซิงเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เขาไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีตัวอักษรคำว่า ‘ไอ้ขี้แพ้’ สลักอยู่บนใบหน้า เขาไม่สามารถยิ้มออกมาได้อีกแล้ว
แต่ในเวลานี้ กลุ่มนักข่าวย่อมไม่อยากพลาดช็อตเด็ด พวกเขารีบวิ่งเอากล้องมาถ่ายภาพใบหน้าของเหลียงซิงในระยะใกล้
เหลียงซิงยิ่งรำคาญใจมากไปกว่าเดิม เขาหันไปมองทางลู่ฉิวเยว่แล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงชี้ไปที่เธอและพูดว่า “เธอเตรียมเครื่องปรุงมาจากบ้าน มีใครแน่ใจได้บ้างว่าเธอจะไม่ใส่ของแปลก ๆ ลงไป!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในหอประชุมก็สะดุ้งเฮือก พวกเขาหันไปมองที่ลู่ฉิวเยว่ด้วยความประหลาดใจ ต่างคนต่างก็ยกมือชี้ไปที่เธอบนเวทีและส่งเสียงกระซิบกระซาบกัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ลู่ฉิวเยว่ก็หัวเราะในลำคอและพูดออกมาอย่างฉะฉานว่า “ฉันพิสูจน์ได้ด้วยการนำส่วนผสมของเครื่องปรุงออกมาให้ทุกคนดูค่ะ!”
นำส่วนผสมของเครื่องปรุงออกมาให้ทุกคนดูเนี่ยนะ?
ผู้ชมยิ่งตื่นเต้นกับคำพูดของเธอ พวกเขาแอบเฝ้าดูด้วยความพิจารณา เพราะต้องการจะแอบจดจำสูตรทำเครื่องปรุงของเธอเอาไว้
ลู่ฉิวเยว่ไม่รู้หรอกว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เธอหันกลับไปนำส่วนผสมของเครื่องปรุงออกมาวางอยู่บนเคาน์เตอร์ด้วยกันเจ็ดชนิด ซึ่งรวมไปถึงสมุนไพรอย่างโป๊ยกั๊กและสุราสำหรับปรุงอาหารเช่นกัน
ความจริง เครื่องปรุงที่เธอใช้มีแค่ห้าอย่างเท่านั้น แต่เธอนำออกมาเจ็ดอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้มีการขโมยสูตรจากกลุ่มคนดู
“เดี๋ยวฉันจะให้ทีมงานไปช่วยทำเครื่องปรุงหลังเวทีด้วยค่ะ” เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย
เหลียงซิงเชิดคางขึ้น “แล้วทำไมคุณไม่ทำตรงนี้เลยให้คนอื่นได้เห็นกันทั้งหมด? ผมว่าคุณต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ ๆ คุณบอกว่าคุณจะเอาเครื่องปรุงทั้งหมดออกมาแสดงให้ดู แต่ความจริง คุณยังแอบซ่อนบางอย่างอยู่ต่างหาก!”
คนดูบางส่วนส่งเสียงอุทานออกมา แต่คนดูส่วนใหญ่ล้วนเงียบไปแล้ว
ลู่ฉิวเยว่เดินเข้าไปหากลุ่มคนดู และเปิดกระเป๋าของเธอให้ทุกคนได้เห็น “ฉันไม่มีอะไรอยู่ในกระเป๋าอีกแล้วนะคะ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หันไปโค้งคำนับให้แก่คณะกรรมการ “ถ้าอาจารย์ทุกท่านไม่เชื่อ ให้ทีมงานตามเข้าไปดูก็ได้ค่ะ”
“เธอสองคนเข้าไปช่วยปรุง” เหอสยงอิ๋งเรียกชื่อเจ้าหน้าที่หญิงสองคนและออกคำสั่ง เขาชื่นชมในความกล้าหาญของลู่ฉิวเยว่เป็นอย่างยิ่ง ในแววตาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
เมื่อทุกอย่างจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อย อุปกรณ์ทั้งหมดก็ถูกเคลื่อนย้ายไปหลังเวทีด้วยความช่วยเหลือของทีมงาน ในเวลานี้ หวังเซวียนเซวียนก็คอยยืนกันไว้ไม่ให้มีคนที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปใกล้พื้นที่การทำเครื่องปรุงได้สำเร็จ
20 นาทีต่อมา เมื่อหมดเวลาที่กำหนดเอาไว้ ลู่ฉิวเยว่ก็กลับออกมาจากหลังเวทีพร้อมกับเครื่องปรุงที่ถูกทำสำเร็จอยู่ในชามเรียบร้อยแล้ว
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เดินไปยังโต๊ะที่เธอใช้ทำอาหาร ก่อนจะนำเครื่องปรุงทั้งหมดลงไปคั่วในหม้อ หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลก็ตลบอบอวลไปทั่วหอประชุมอีกครั้ง
มีการจัดทำกุ้งผัดชาหลงจิ่งจานที่สอง ทีมงานเป็นคนยกจานไปให้คณะกรรมการและกลุ่มคนดูได้ลองชิมด้วยตัวเอง ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้ายืนยันว่ารสชาติเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน