สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 155 คุณนายจางยอมขอโทษ
บทที่ 155 คุณนายจางยอมขอโทษ
แต่ครั้งนี้ ลู่ฉิวเยว่ได้เรียนรู้จากครั้งที่แล้ว เธอไม่ได้นำโต๊ะและเก้าอี้ออกไป เธอไม่ได้ขึ้นป้ายประกาศ แต่เธอแค่เดินหิ้วกระเป๋าใส่แผ่นพลาสเตอร์แก้ปวดออกไปพร้อมกับหวังเซวียนเซวียนเท่านั้น
ลู่ฉิวเยว่คิดว่าตนเองออกมาตอนเช้ามากแล้ว แต่เธอก็นึกไม่ถึงเลยว่าบรรดาคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นลูกค้าเมื่อวานนี้ได้มารอคอยอยู่ล่วงหน้าแล้วเรียบร้อย
เมื่อพวกเขาเห็นกระเป๋าในมือของหญิงสาว ดวงตาก็เป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที กลุ่มผู้สูงวัยรีบเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “คุณหนูลู่มาแล้วสินะ”
หลังจากทักทายกันเสร็จเรียบร้อย บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ก็นำเงินออกมาจากกระเป๋าโดยทันที
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มรับอย่างอบอุ่น ส่งมอบแผ่นพลาสเตอร์และรับเงิน
และเธอก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าลูกค้าทุกคนซื้อแผ่นพลาสเตอร์ของเธอไปในจำนวนที่มากกว่าเมื่อวานนี้ มิหนำซ้ำ ลูกค้ายังมีจำนวนมากกว่าเดิมอีกด้วย เพียงไม่ถึงสองชั่วโมง พลาสเตอร์แก้ปวด 500 แผ่นก็ขายหมดเกลี้ยง
“สาวน้อย วันพรุ่งนี้เธอจะมาขายอีกไหม?” ใครคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล วันนี้เขาเอาเงินติดตัวมาไม่มากและอยากจะกลับมาซื้ออีกในวันพรุ่งนี้จริง ๆ
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า “หลังจากนี้ฉันคงไม่ได้มาอีกหลายวันเลยค่ะ ฉันคงมาเปิดขายบ่อย ๆ ไม่ได้ ถ้าพวกเทศกิจมาเจออีกคงแย่แน่ และฉันก็เหลือแผ่นแปะอีกไม่มากแล้ว ยังไม่ได้ทำชุดใหม่เอาไว้ขายเลยค่ะ”
“หา?” เมื่อกลุ่มผู้สูงอายุได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา ถ้าเธอไม่มา งั้นพวกเขาก็ต้องกลับไปซื้อแผ่นแปะแก้ปวดราคาแพงจากร้านขายยาบนถนนชางหนิงอีกแล้วน่ะสิ?
อย่างไรก็ตาม ลู่ฉิวเยว่ก็ได้ประกาศข่าวดีหลังจากนั้นว่า “แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ อีกไม่นาน ฉันจะมาเปิดร้านขายแผ่นแปะแก้ปวดเล็ก ๆ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ร้านเปิดเมื่อไหร่ ฉันจะรีบมาแจ้งข่าวโดยเร็ว ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมมาอุดหนุนกันบ้างนะคะ”
หญิงสาวสังเกตเห็นว่าในยุคสมัยนี้ที่เมืองหลวงขาดแคลนร้านขายยาและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเธอเป็นผู้ที่บุกเบิกตลาดสินค้าเหล่านี้ได้สำเร็จ รับรองว่าจะต้องขายดีอย่างแน่นอน
อีกอย่าง เธอไม่จำเป็นต้องมีร้านใหญ่โต ขอเป็นแค่ห้องแถวเล็ก ๆ ลู่ฉิวเยว่ก็เปิดขายได้แล้ว
“พวกเราจะต้องอุดหนุนเธอแน่นอน!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ ความกังวลใจก็หายไปไม่น้อยและพวกเขาก็ยังประหลาดใจมากอีกด้วย
“แม่หนูฉิวเยว่ช่วยทิ้งที่อยู่ไว้ให้พวกเราหน่อยได้ไหมจ๊ะ?” หญิงชราคนหนึ่งหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับแผ่นกระดาษยื่นส่งมาให้
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย “ได้เลยค่ะ” หลังจากพูดจบ เธอก็ยัดกระเป๋าในมือใส่อ้อมแขนของหวังเซวียนเซวียน ก่อนที่จะเอากระดาษไปทาบกับกำแพงและเขียนที่อยู่ร้านของเธอลงไป เรียบร้อยดีแล้วจึงแยกย้ายจากกัน
เมื่อรู้ว่ามีกลุ่มลูกค้าประจำรอซื้อแผ่นพลาสเตอร์ของเธอ ลู่ฉิวเยว่ก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างทางกลับบ้าน ลู่ฉิวเยว่พาหวังเซวียนเซวียนแวะไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร เธอตัดสินใจว่าวันนี้จะทำอาหารดี ๆ รับประทานเพื่อเป็นการฉลองซักมื้อหนึ่ง
ลู่ฉิวเยว่กำลังยิ้มแย้มด้วยความสุขล้น แต่อีกฝั่งหนึ่งของฟากถนน คุณนายจางก็เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้รับทราบข่าวว่าลู่ฉิวเยว่กำลังคิดที่จะเปิดร้านขายยาแข่งกับเธอ
คุณนายจางคิดไม่ถึงเลยว่านอกจากลู่ฉิวเยว่จะรอดพ้นการจับกุมจากเทศกิจแล้ว ตอนนี้ เธอยังคิดที่จะเปิดร้านขายยาแข่งกับตนเองอีกด้วย
ในช่วงนี้ ธุรกิจร้านของคุณนายจางกำลังไปได้ดี เหตุผลหลักก็เป็นเพราะแผ่นแปะแก้ปวดของลู่ฉิวเยว่ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ยอมส่งแผ่นแปะแก้ปวดมาขายให้ร้านของเธออีกแล้ว ยอดขายในร้านของเธอก็จะต้องตกลงไม่ใช่เหรอ?
ในที่สุด คุณนายจางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาจริง ๆ
“ดูเอาเถอะว่าเธอทำเรื่องโง่ ๆ อะไรลงไป!”
เสียงคำรามที่ดังขึ้นทำให้คุณนายจางสะดุ้ง ผู้ที่เดินเข้ามาด้วยความงุ่นง่านก็คือจางซิน สามีของเธอเอง
เขากำลังโกรธสุดขีดเมื่อได้รับฟังสิ่งที่เสมียนพูด เขาแค่เดินทางไปเจรจาธุรกิจไม่กี่วัน ภรรยาของเขาก็ได้ทำลายความร่วมมือระหว่างเขากับลู่ฉิวเยว่ลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี
คุณนายจางก้มหน้าต่ำด้วยความรู้สึกผิด พลางพูดเสียงอ่อยว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ฉันแค่อยากกดราคาเพื่อให้ร้านของเราได้กำไรมากขึ้น ใครจะไปคิดล่ะว่า…”
“โง่ที่สุด!” เมื่อเห็นสีหน้าไม่ยอมรับผิดของภรรยา จางซินก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม เขากัดฟันกรอด ยังไม่มีเวลาได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านด้วยซ้ำ เขาทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้ที่ร้านขายยาและลากตัวภรรยาออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไปถึงที่บ้านพักของลู่ฉิวเยว่ไม่นานหลังจากนั้น
หวังเซวียนเซวียนเป็นคนเดินมาเปิดประตู เขาไม่รู้จักสองคนนี้จึงถามด้วยความสงสัยว่า “มาหาใครครับ?”
“สวัสดีน้องชาย ฉันมาหาคุณลู่น่ะ”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้า รีบเปิดประตูให้ผู้มาเยือนเข้าบ้านพร้อมกับตะโกนเข้าไปในบ้านว่า “พี่ครับ มีคนมาหา!”
“รู้แล้วจ้า” ลู่ฉิวเยว่รีบเดินออกมาจากห้องครัว นึกว่าจะเป็นบรรดาคนเฒ่าคนแก่มาขอซื้อพลาสเตอร์แก้ปวด แต่เธอก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอกับจางซินและคุณนายจาง
รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปอย่างรวดเร็ว แต่หญิงสาวก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “เถ้าแก่จางมาทำอะไรที่นี่คะ? เชิญนั่งก่อนค่ะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ยกมือส่งสัญญาณให้หวังเซวียนเซวียนช่วยเทน้ำอุ่นมารับแขกทั้งสองคน
จางซินรู้ว่าภรรยาของเขาสร้างปัญหายุ่งยากให้กับเธอ ดังนั้นเขาจึงยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจและวางของขวัญที่เตรียมเอาไว้ลงบนโต๊ะ เขาไม่ได้นั่งลงด้วยซ้ำขณะผลักให้คุณนายจางออกมาข้างหน้าพร้อมกับขยิบตาส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
คุณนายจางรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมก้มหัวลง “คุณลู่ ฉันขอโทษ ฉันทำผิดสัญญาเอง ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเถอะนะ”
“อ้อ” ลู่ฉิวเยว่ได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ แต่การรับคำของเธอนั้นบอกไม่ได้เลยว่าลู่ฉิวเยว่ให้อภัยอีกฝ่ายหรือไม่
“คุณลู่ การร่วมธุรกิจของพวกเรา…” จางซินไอขึ้นมาเบา ๆ พูดเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้ง
ลู่ฉิวเยว่โบกมือปฏิเสธ “เถ้าแก่จางคะ ฉันว่าพวกเราไม่เหมาะทำธุรกิจด้วยกันเลย อีกอย่าง ฉันกำลังจะเปิดร้านขายยาเป็นของตัวเองแล้ว แค่ผลิตแผ่นแปะแก้ปวดขายในร้านของฉันเองก็ยังทำไม่ทัน แล้วฉันจะไปผลิตส่งขายร้านอื่นได้ยังไง?”
หญิงสาวบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย แต่จางซินก็พยายามจะร้องขอความเห็นใจ เขาไม่อยากปล่อยให้หุ้นส่วนธุรกิจดี ๆ แบบนี้หลุดมือไป แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ยอมเจรจาด้วยอีกแล้ว “อีกหน่อย ฉันคงกลายเป็นคู่แข่งของคุณ พวกเราคงมานั่งดื่มน้ำชาด้วยกันไม่ได้หรอกค่ะ”
สุดท้าย จางซินก็ต้องพาภรรยากลับไป
ลู่ฉิวเยว่หันกลับมาเห็นของขวัญที่วางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะ เธอจึงขยิบตาส่งสัญญาณให้กับหวังเซวียนเซวียน น้องชายเข้าใจโดยทันที เขาหยิบของขวัญชิ้นนั้นและเดินเอาไปคืนให้แก่สองสามีภรรยา
…
“คุณจะไปเลยไหม?” เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฉินซือก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอย่างช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนในที่สุด
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ที่เธอบอกจางซินว่าตนเองกำลังจะเปิดร้านขายยานั้นไม่ใช่แค่ข้ออ้าง แต่เป็นเพราะว่าเธอคิดกำลังจะเปิดจริง ๆ ต่างหาก
ขั้นตอนในการขอใบอนุญาตเปิดร้านขายยาจีนในเมืองหลวงค่อนข้างยุ่งยาก เมื่อวานนี้ ฉินซือบอกเองว่าเขาจะช่วยพาเธอไปเดินเรื่อง
แต่ในจังหวะนั้น โทรศัพท์บ้านก็ส่งเสียงขึ้น ฉินซือขมวดคิ้ว เดินกลับไปรับโทรศัพท์ ไม่ทราบเลยว่าอีกฝ่ายพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มจึงได้มีสีหน้าลำบากใจไม่น้อย
เมื่อเขาวางสาย ลู่ฉิวเยว่ก็ถามว่า “มีอะไรเหรอคะ?”
ฉินซือยิ้มด้วยความฝืดฝืนเล็กน้อย “เกิดเรื่องที่โรงงานน่ะ ผมต้องรีบกลับไปดู คุณไปทำเรื่องขอใบอนุญาตพรุ่งนี้แทนได้ไหม?”
สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด วันนี้เขาไปกับเธอไม่ได้จริง ๆ เพราะว่ามีเรื่องด่วนเข้ามา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปคนเดียวได้” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอและส่ายหน้าเล็กน้อย
ฉินซือลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ยอมปล่อยให้เธอไปคนเดียว เขาขับรถไปส่งเธอที่สำนักงานใหญ่ของกรมอุตสาหกรรมและการค้าประจำเมืองปักกิ่ง ก่อนจะขับรถไปทำธุระของตนเอง
เมื่อเห็นรถยนต์ของชายหนุ่มแล่นห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ลู่ฉิวเยว่ก็หันกลับมาเดินเข้าสู่ด้านในสำนักงานและยื่นเอกสารในมือให้แก่พนักงานที่อยู่ด้านใน
พนักงานหนุ่มดูเอกสารแล้วก็ส่ายหน้า “ใช้ไม่ได้ เอกสารไม่ครบ คุณต้องเอาสัญญาเช่ามาด้วย”
ลู่ฉิวเยว่เพิ่งจะนั่งลงตอนที่ได้ยินคำพูดนั้น หญิงสาวทำได้เพียงพยักหน้ารับทราบและรับเอกสารเดินกลับออกมาจากสำนักงาน
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง เธอกลับมาที่สำนักงานแห่งนี้อีกครั้ง “สวัสดีค่ะ ฉันเอาสัญญาเช่ามาแล้ว ช่วยทำเรื่องขอใบอนุญาตให้ฉันด้วยนะคะ”
คราวนี้คนที่มารับเรื่องเธอเป็นหญิงวัยกลางคน หญิงคนนั้นรับเอกสารไปพลิกดูผ่าน ๆ อย่างไม่สนใจ ก่อนจะโยนคืนกลับมาให้ตรงหน้าลู่ฉิวเยว่