สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 140 หวงฉีฉีชวนหวังเซวียนเซวียนไปกินข้าว
บทที่ 140 หวงฉีฉีชวนหวังเซวียนเซวียนไปกินข้าว
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองหวังเซวียนเซวียนผู้เป็นคนใสซื่อไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน เมื่อเห็นว่าพวกเขาพูดคุยกันเสร็จแล้ว เธอจึงพยักหน้าส่งสัญญาณ
“นี่ก็สายแล้ว พวกเรากลับกันเลยดีไหม?” เธอถาม
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าและรีบเดินตามมา
ทั้งสองคนเดินหายลับไปจากมุมถนน หวงฉีฉีมองพวกเขาเดินจากไปด้วยความเศร้าโศก เธอกำกระดาษในมือแน่น แล้วริมฝีปากก็บิดตัวเป็นรอยยิ้ม พวกเขาจะต้องได้พบเจอกันอีกในอนาคตอย่างแน่นอน
“มีอะไร? ไม่อยากกลับบ้านแล้วหรือไง?” แม่ของเธอเดินเข้ามาหยอกเย้า
คำพูดนั้นทำให้หวงฉีฉีหน้าแดงมากยิ่งขึ้น เธอได้แต่กัดริมฝีปากตัวเอง ไม่พูดอะไรออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนเป็นแม่ก็ต้องกลอกตามองบนและหัวเราะเยาะใส่ว่า “ในเมื่อเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตของแก วันหลังแกก็โทรไปชวนเขามากินข้าวหรือพาไปซื้อของก็ได้ บอกว่าแกต้องการจะขอบคุณเขา แค่นั้นเอง”
ในจิตใจของหวงฉีฉีตอนนี้เต็มไปด้วยภาพที่หวังเซวียนเซวียนเข้ามาช่วยเหลือเธอจากเงื้อมมือของกลุ่มอันธพาล เธอไม่ได้คิดอะไรอีกเลยเมื่อได้ยินคำแนะนำจากผู้เป็นแม่ เด็กสาวพยักหน้าด้วยความเชื่อฟังและมีสีหน้าที่แดงระเรื่อมากขึ้น
แล้วคืนนั้น หวังเซวียนเซวียนก็ได้รับโทรศัพท์จากเด็กสาวจริง ๆ
พวกเขานัดพบกันที่ร้านอาหารเปิดใหม่ในวันต่อมา
“ฉันอยู่ตรงนี้!” หวงฉีฉีจ้องมองไปข้างหน้า สุดท้ายก็ได้เห็นร่างที่คุ้นเคย จึงรีบลุกขึ้นยืนและโบกมือเรียก
หวังเซวียนเซวียนปิดประตูและเดินเข้ามาหา พูดด้วยความเกรงใจว่า “ฉันหาทางมาไม่เจอ ก็เลยมาสายน่ะ”
หวงฉีฉีจะไปโกรธเคืองผู้ช่วยชีวิตของตนเองได้อย่างไร เธอโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่เป็นไร”
หวังเซวียนเซวียนนั่งลงและสั่งอาหาร อาจเป็นเพราะว่าหวงฉีฉีคือคนที่ช่างพูดช่างเจรจา ถึงเขาจะรู้สึกเบื่อ แต่อย่างน้อยโต๊ะอาหารก็ไม่เงียบ และอาหารมื้อนี้ก็ผ่านไปอย่างมีความสุข
พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน
“แม่ของเธอ…” หวังเซวียนเซวียนถามด้วยความลังเลใจ จ้องมองเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง
หวงฉีฉีเห็นเขาเป็นห่วงก็ต้องยกมือปิดปากหัวเราะและอธิบายว่า “เธอไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของฉันหรอกค่ะ เธอเป็นภรรยาใหม่ของพ่อฉัน ถึงเธอจะดูเหมือนคนร้ายกาจ แต่ความจริงเธอก็ดีกับฉันมากเลยนะคะ”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ “งั้นก็ดีแล้ว”
พวกเขาพูดคุยกันจนท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง นี่ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว เขาเดินทางไปส่งหวงฉีฉีที่บ้าน ก่อนจะเดินทางกลับบ้านตัวเองหลังจากนั้นทันที
“นี่! นายไปเด9กับสาวน้อยคนนั้นไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงได้กลับมาเร็วจัง?” ลู่ฉิวเยว่กำลังวางถ้วยใส่แกงปลาต้มกระทิลงบนโต๊ะอาหารค่ำ เมื่อหันมาเห็นหวังเซวียนเซวียนเปิดประตูกลับเข้าบ้าน เธอก็ต้องถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ยินคำถามนั้น สายตาของทุกคนที่โต๊ะอาหารค่ำก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว ทำให้หวังเซวียนเซวียนรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก จ้องมองลู่ฉิวเยว่ด้วยความขัดใจ และพูดออกไปว่า “เหลวไหลน่า เธอแค่ชวนผมไปเลี้ยงอาหารค่ำขอบคุณที่ช่วยเธอเอาไว้แค่นั้นเอง”
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าและหัวเราะในลำคอ
เด็กตระกูลหวงคนนั้นหน้าแดงทุกทีที่มองหน้าหวังเซวียนเซวียน ถึงกับโทรศัพท์มาคุยกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจะบอกว่าเธอไม่ได้ชอบเขาได้อย่างไร?
ทุกคนต่างก็ดูออก มีแค่หวังเซวียนเซวียนคนเดียวเท่านั้นที่ดูไม่ออก
“ก็ได้ งั้นมากินมื้อค่ำกันเถอะ” แม่ของลู่ฉิวเยว่พูดกับหวังเซวียนเซวียน
เขาพยักหน้าและนั่งลงอย่างรวดเร็ว ถึงเขาจะรับประทานอาหารจากข้างนอกมาแล้ว แต่เขาก็ยังเหลือกระเพาะเอาไว้สำหรับอาหารที่ลู่ฉิวเยว่ทำอยู่ดี
แกงปลาต้มกะทิมีน้ำซุปเข้มข้น ทำให้ผู้คนอยากจะซดน้ำซุปให้หมดถ้วย เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาโดยทันที
หวังเซวียนเซวียนเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ถึงเขาจะรับประทานอาหารฝีมือของลู่ฉิวเยว่เป็นประจำ จนเรียกได้ว่าชินกับรสชาติที่เอร็ดอร่อยเรียบร้อยแล้ว แต่แกงปลาต้มกะทิในครั้งนี้ก็ทำให้เขาพิศวงได้จริง ๆ
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง ยิ้มถามว่า “เป็นยังไง?”
ในการแข่งขันทำอาหารสองด่านแรก เธอได้พบเจอกับเชฟยอดฝีมือมากมาย และเมื่อผ่านเข้ารอบต่อไป ทุกคนก็ต้องงัดเมนูเด็ดของตัวเองออกมาใช้ในการแข่งขันอย่างแน่นอน
ลู่ฉิวเยว่นำค่าความสุขที่ได้ตลอดสองเดือนก่อนหน้านี้มาแลกกับสูตรทำแกงปลาต้มกะทิในครั้งนี้ หลังผ่านการดัดแปลงอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเธอก็มั่นใจแล้วว่าการแข่งขันรอบต่อไป เธอจะใช้เมนูนี้เป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ
หวังเซวียนเซวียนยกนิ้วโป้งชื่นชม “อร่อยมากเลยครับ!”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
หลังรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็ช่วยกันเก็บโต๊ะและล้างจาน ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้วและดึงหวังเซวียนเซวียนออกไปถามเบา ๆ นอกระเบียงว่า “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ เด็กคนนั้นหลอกอะไรนายหรือเปล่า?”
แม่ของหวงฉีฉีดูท่าทางไม่น่าจะใช่คนธรรมดา เธอกังวลว่าพวกเขาอาจจะใช้ข้ออ้างของหวังเซวียนเซวียนในการสร้างเรื่องอะไรบางอย่าง
หวังเซวียนเซวียนยกมือเกาหัว ได้แต่ส่ายหน้าและทบทวนให้ฟังว่าวันนี้พูดคุยอะไรกับเด็กสาวคนนั้นบ้าง
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโต แต่เธอก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เธอไม่เชื่อว่าแม่ของหวงฉีฉีที่มีสายตาเจ้าเล่ห์ขนาดนั้นจะไม่คิดแผนร้ายอะไร แต่เธอก็ไม่กล้าพูดออกมา เพราะนั่นอาจจะทำให้หวังเซวียนเซวียนตกใจได้
“อ้อ! จริงด้วยสิ!” หวังเซวียนเซวียนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ “พ่อของเด็กคนนั้นทำธุรกิจครับ ผมได้ยินว่าพ่อเธออยากให้เธอเข้าไปช่วยงานที่เมืองหลวง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าพวกเราเข้าเมืองหลวงอีกในอนาคตจะได้เจอกันหรือเปล่า….”
ถ้าพวกเขาเข้าไปแข่งขันในเมืองหลวงอีกและได้พบเจอกับพวกของหวงฉีฉี ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็คงต้องเป็นเพื่อนบ้านกันแล้วล่ะ
ลู่ฉิวเยว่พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “งั้นพ่อเธอก็ต้องมีเส้นสายเยอะพอสมควร”
การจะไปเปิดร้านในเมืองหลวงได้ ต่อให้เป็นร้านค้าเล็ก ๆ ก็ตาม นั่นก็ยังต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูง
“ว่าแต่พี่จัดการกับนักบัญชีครั้งที่แล้วยังไงบ้างครับ?” หวังเซวียนเซวียนถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ลู่ฉิวเยว่กลับมาได้สติทันที ยิ้มตอบกลับไปอย่างเจ้าเล่ห์ “เดี๋ยวเขาก็มาหาเราเองแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก”
เด็กหนุ่มเบิกตาโตด้วยความสงสัย พี่สาวของเขารู้ได้อย่างไร?
ลู่ฉิวเยว่เพียงแค่ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
วันต่อมา นักบัญชีชายคนนั้นก็มาหาที่บ้านตามคาด แต่เขามาพร้อมกับหญิงชราอีกคนหนึ่ง
ลู่ฉิวเยว่ยืนกอดอกพิงประตู จ้องมองผู้มาเยือนด้วยความเหยียดหยาม “พวกคุณมาทำอะไรที่บ้านของฉันคะ?”
นักบัญชีกัดฟัน โกรธจนหน้าดำหน้าแดงหลังจากถูกเธอเหยียดหยาม
“นี่ พวกเราเป็นญาติกันทั้งนั้น มายืนขวางประตูแบบนี้ได้ยังไง?” หญิงชราทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ รอยย่นบนใบหน้ายิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้น
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ยังคงยืนขวางประตูอยู่อย่างเดิม
“ครั้งนี้พวกคุณมาทำอะไรอีก?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงชราก็รีบยิ้มประจบ “ฉันอยากให้เธอช่วยไปอธิบายกับตำรวจหน่อยว่าสวีซูของพวกเราไม่ได้ขโมยเงินจากร้านเธอสักหน่อย”
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้หญิงชราพูดไปเหมือนกำลังรับชมละคร
“ใช่แล้ว ฉิวเยว่ พวกเราเป็นญาติกันทั้งนั้น เธอไปแจ้งตำรวจจับฉันได้ยังไง?” ชายวัยกลางคนพูดด้วยความไม่พอใจ
ลู่ฉิวเยว่มองเขาด้วยความเรียบเฉย ก่อนจะหมุนตัวไปกำลังจะปิดประตู “ก็คุณไม่อยากคืนเงินไม่ใช่เหรอคะ? งั้นก็รอตำรวจมาหาอีกแล้วกัน”
หญิงชราตื่นตกใจ รีบดันประตูไว้ไม่ให้ปิดและร้องตะโกนด้วยความโกรธว่า “เธอมันคนใจดำ บ้านเธอรวยแล้ว เงินแค่ไม่กี่สิบหยวน ทำไมต้องขี้งกขนาดนี้ กับอีแค่เงินเท่านี้ เธอถึงกับจะส่งลูกชายฉันเข้าคุกเข้าตะรางเชียวเหรอ? เธอมันไม่ใช่คน!”
“ในเมื่อมันเป็นเงินแค่ไม่กี่สิบหยวน งั้นก็คืนมาสิคะ!” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มด้วยความโกรธเช่นกัน เธอปัดมือหญิงชราออกไป “ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ออกไปซะ!”