สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 34 คุยกับตัวเอง
เอาจริงดิ? ไอ้หมอนี่มันตรงมาทางนี้แบบไม่ลังเลเลยแฮะ
ทั้งที่มีนางเอกหลักอย่างเอเทอร์น่า นางเอกที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่างแมรี่ ซันเดเระทวินเทลอย่างไอน่า หรือพี่สาวหัวแข็งอย่างเลย์ล่าอยู่แท้ๆ แกยังจะตรงมาหาชั้นเนี่ยนะ…แกนี่มันมีตาหามีแววไม่จริงๆ
ตามที่เห็นใน”ฝัน”นั้น โลกนี้คือรูทเอลริสที่ไม่มีอยู่ในเกมชาติก่อน
แต่…คิดดีๆสิ ไอนี่มันรูทเอาฮาไม่ใช่เหรอ?
ก็เข้าใจแหละ ไม่ว่าภายในชั้นจะเป็นยังไง ภายนอกชั้นก็ยังถือว่าเป็นซุปเปอร์สาวงามได้อยู่ เน้นตรงคำว่าซุปเปอร์
เป็นเพราะว่าภายในเป็นผู้ชายที่นิสัยอย่างกับขยะเปียก ชั้นถึงต้องทำให้รูปลักษ์ภายนอกดูเพอร์เฟ็กต์ด้วยเวทมนตร์
การที่มีคนหลงเชื่อมากขนาดนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกแล้วว่าชั้นน่ะงานดีแค่ไหน
แต่การเล่นโรลเพลย์เป็นเซนต์ของชั้นก็บอกอยู่ มันเป็นแค่การแสดง เอาไปเทียบกับเซนต์ตัวจริงที่ดีงามทั้งภายนอกและภายในไม่ได้เลย
ถ้าเป็นตัวเอกก็ต้องแบบ…สามารถมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของชาวบ้านเค้าได้ไม่ใช่เหรอ นิสัยใจคอจริงๆไรเงี้ย?
ในเรื่องแต่งก็มีให้เห็นบ่อยออกนี่ ที่จะมีตัวละครที่รูปลักษ์ภายนอกดี ชื่อเสียงดีเป็นที่รักของทุกคน กิริยาอะไรก็ดีไปหมด แต่จะมีแค่ตัวเอกคนเดียวที่ไม่ถูกหลอกเหมือนกับคนอื่นๆ เรื่องแบบนี้เห็นบ่อยออกนะ
แค่จะซื้อบุหรี่แท้ๆทำไมถึงใช้ธนบัตรล่ะ…แบบนี้น่าสงสัย[ล้อโคนัน]
เวอร์เนลเอ๊ย เชิญชั้นไปเต้นด้วยนี่มันเป็นการปักธงที่อันตรายมากเลยนะ
นี่โอกาสสุดท้ายที่จะเปลี่ยนรูทได้แล้วนะเฟ้ย
งานเต้นรำในเกมเป็นเหมือนกับรถขบวนสุดท้ายที่จะสามารถใช้เปลี่ยนรูทได้
สำหรับแกแล้ว นี่ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหักธงนี้แล้วนะ
แน่ใจนะ? นายจะได้เสียใจภายหลังแน่!
ชั้นรู้ดีว่านายจะเสียใจภายหลังแน่นอน ฉะนั้นก็จะให้โอกาสกลับไปคิดดีๆซะนะ
“ท่านเอลริสกำลังถูกชวนให้ไปเต้นน่ะขอรับ” ลุงฟ็อกซ์พูดอย่างร่าเริง
ดูเหมือนว่าการที่เวอร์เนลกล้าพอที่จะเข้ามาทักชั้นทำให้เขาถูกประเมินไว้สูงพอสมควร
คุ…ดูท่าทำเมินไปต่อหน้าคนอื่นคงจะไม่ได้แฮะ…เฮ้อ
จะปฏิเสธดีมั้ยนะ?
ถึงการเชิญผู้หญิงให้ไปเต้นด้วยสักเพลงจะนับเป็นมารยาทที่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะปฏิเสธไม่ได้เลย
บอกไปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ขาเจ็บ หรือวันนี้รู้สึกไม่ค่อยดี — หรือตอนที่คิดว่าคู่เต้นเมาเกินไปแล้ว ตอนที่คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นอันตราย มีหลายสาเหตุเลยที่สามารถใช้ปฏิเสธคำเชิญได้
แต่ชั้นในตอนนี้ยังสบายดี เวอร์เนลเองก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรด้วย
อีกอย่าง…ถ้าชั้นปฏิเสธไปตรงนี้ เวอร์เนลคงขายขี้หน้าประชาชีแย่…
ช่วยไม่ได้ ให้เพลงเดียวนะ
ชั้นจะโชว์สเต็ปเท้าไฟที่ขัดเกลามาจากบงโดริกับงานเทศกาลฤดูร้อนให้ดู
เออ แต่โลกนี้ไม่มีบงโดรินี่หว่า
หลังจากที่ชั้นเต้นกับเวอร์เนลเสร็จ เลย์ล่าก็ชวนชั้นไปเต้นต่อ
เพราะอะไรบางอย่าง เลย์ล่าดูจะสามารถเต้นในส่วนของผู้ชายได้อย่างคล่องแคล่ว ไปเรียนมาจากไหนเนี่ย?
หลังจากที่เต้นกับเลย์ล่าเสร็จ ชั้นก็ใช้ข้ออ้างว่าเหนื่อยเพื่อกลับไปนั่งที่ พร้อมปลดปล่อยออร่า”ไม่เต้นแล้วโว้ย”ออกมา
พองานปาร์ตี้ใกล้จบลง พวกคู่รักทั้งหลายก็พากันไปชมท้องฟ้ายามค่ำคืน
ใช้ชีวิตวัยรุ่นกันเต็มที่ดีนะพวกแก ระเบิดไปซะ!
ชั้นก็ออกมาข้างนอกเพื่อชมท้องฟ้าเหมือนกัน
อากาศในโลกนี้ไม่สกปรกเหมือนชาติก่อน จึงเห็นดาวได้ชัดแจ๋วเลย สวยไม่เลว
ถ้าสังเกตดีๆก็จะเห็นว่ากลุ่มดาวของโลกนี้เองก็ต่างออกไปด้วย
จากนั้นไม่นาน เวอร์เนลก็พาเอเทอร์น่าออกมาด้วยกัน
โอ๋? นี่แหละ นี่แหละ ต้องแบบนี้สิ
ที่เกิดเรื่องแบบนี้ได้ แสดงว่าธงของเอเทร์น่าก็ยังไม่หักไปสินะ
ถ้าอย่างนั้น ก็จะเซอร์วิสให้เป็นพิเศษแล้วกัน
ใช้เวทมนตร์ควบคุมแสง…แล้วก็ไปเลย เมเทโอ ชาวเวอร์!
“อุหวา…”
“ดูนั่น ดูนั่นสิ!”
“ฝนดาวตกมีอยู่จริงๆด้วย!”
“สวยจัง!”
พวกนักเรียนที่เห็นฝนดาวตกก็ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น
นั่นไม่ใช่ฝนดาวตกของจริงหรอก ชั้นแค่ทำให้ดูเหมือนเป็นแบบนั้นด้วยเวทย์แสง
ตราบเท่าที่ชั้นไม่ถูกจับได้ นี่ก็จะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆของทุกคน
แต่ดูเหมือนเวอร์เนลจะรู้ตัวแฮะ เพราะเค้ามองมาที่ชั้น
สงสัยจะมองออกง่ายเกินไป
อย่าคิดมากน่าเวอร์เนล เงียบๆไว้ก็พอแล้ว
อย่างน้อยมันก็สวยใช่มั้ยล่ะ?
“ครับ…สวยมาก…จริงๆ…”
เข้าใจก็ดีแล้ว
นานๆทีแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
อย่าคิดมากแล้วก็สนุกกับมันไปก็พอแล้ว มายากลก็เป็นอะไรแบบนั้นนั่นแหละ
.
หลังงานเลี้ยงจบลง ชั้นก็กลับมานอนที่ห้อง
ก็น่าจะหลับไปแล้วแท้ๆ แต่ที่อยู่ต่อหน้าชั้นในตอนนี้คือห้องในอพาร์ตเมนต์เก่าของชั้น
พอชั้นตื่นเต็มตา ก็เห็นฟุโดว นิอิโตะ(ชั้นฝั่งผู้ชาย)นั่งจ้องชั้นอยู่
“เฮ้ มาแล้วสินะเอลริส รออยู่เลย”
“ตัวชั้นเหรอ ว่าไงดีล่ะ…ฝันมันต่อกันจริงๆด้วยนะเนี่ย”
“ก็บอกแล้วว่านี่ไม่ใช่แค่ความฝัน”
ฝันที่ไม่ใช่แค่ฝัน
นั่นเป็นสิ่งที่ฟุโดว(ตัวชั้น)พูดไว้ก่อนจะจากกันครั้งที่แล้ว
การที่ฝันจะต่อกันหลายต่อหลายครั้งมันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ
มันไม่ใช่ฝันเดิมวนซ้ำ แต่เป็นการต่อกัน
“ต่อจากครั้งที่แล้ว เราไม่รู้หรอกว่านายจะมาที่นี่ตอนไหน หรือมาที่นี่ได้อีกกี่ครั้ง”
“หมายความว่าไง…”
“ใจเย็นก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ตอนนี้ก็ตั้งใจฟังให้ดีๆซะ…แต่ก่อนหน้านั้น วิธีการพูดของนายมันทำให้ชั้นรู้สึกแปลกๆว่ะ ช่วยพูดแบบตอนอยู่ฝั่งโน้นได้ป่ะ”
ไอ้เวรเอาแต่ใจเอ๊ย…
เออ ก็ตัวชั้นนี่นา ก็คงแหงอยู่แล้วล่ะเนอะ
คนสองคนที่วิธีพูดแบบเดียวกันเป๊ะนี่มันก็คงประหลาดนั่นแหละนะ แถมถ้าพูดหยาบทางฝั่งนี้จนชิน พอกลับไปแล้วเผลอหลุดปากชั้นจะแย่เอา
“ช่วยไม่ได้น้า…เท่านี้พอไหมคะ?”
“โอ้ ต้องงี้สิ รู้สึกเหมือนกำลังพูดกับเอลริสอยู่เลย ถ้าข้างในไม่ใช่ตัวชั้นนี่อาจจะตกหลุมรักไปแล้วก็ได้นะ”
“หุบปาก น่าขยะแขยงว่ะ ใครเค้าจะอยากมีความรักระหว่างตัวเองกัน”
“แน่นอน ไม่ต้องห่วงหรอก สำหรับสาวสวยแล้ว ภายในเองก็สำคัญสำหรับชั้นเหมือนกัน”
ชั้นหัวเราะเบาๆในขณะที่พูดกับตัวเอง รู้สึกงี่เง่านิดๆแฮะ
เพราะต้องโรลเพลย์ตลอดเวลาตอนอยู่ฝั่งนั้น ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงแบบนี้ก็แปลกใหม่ดีเหมือนกัน
“เอาล่ะ คราวก่อนเราพูดถึงไหนนะ เรื่องที่นายเป็นใครใช่มั้ย… ชั้นคิดว่านายไปเกิดใหม่ที่ฝั่งนั้น ในเกมบอกไว้ว่าจู่ๆเอลริสก็มีบุคลิกเปลี่ยนไปตอนอายุครบห้าขวบ และเอลริสก่อนอายุห้าขวบนั้นก็ไม่เหมือนกันที่พวกเราจำได้เลย ทั้งคู่อาจจะเอาแต่ใจเหมือนกัน แต่ประเภทของความเอาแต่ใจน่ะมันต่างกัน มันเป็นความเอาแต่ใจประเภทเดียวกับที่ถ้าชั้นไปเกิดใหม่ในโลกนั้นโดยไม่มีความทรงจำจากโลกเดิมอยู่ เป็นความเอาแต่ใจที่มาจากการที่เคยใช้ชีวิตในสมัยใหม่มาก่อน”
“อย่างที่คิดเลยค่ะ…ตอนที่ได้ยินฟ็อกซ์พูดแบบนั้น ชั้นเองก็คิดแบบเดียวกันค่ะ”
“ถ้าเราไปลึกกว่านี้อีก…มันน่าจะเกิดขึ้นตอนที่ชั้นหลับไปหลังเล่นจบรูทเอเทอร์น่า ชั้นอยู่ในสภาพที่กึ่งตายเลยล่ะ อธิบายไม่ถูกเ้หมือนกัน แต่มันเป็นความรู้สึกที่ว่า ‘อ๊ะ เรากำลังจะตาย’ …ว่าไงดี เหมือนกับตกลงไปในบ่อลึก ประมาณว่า’แบบนี้ตายแหง’ แต่เพราะชั้นคืนสติมาได้ ทำให้วิญญาณของชั้นลอยไปฝั่งนู้นไม่เรียบร้อยล่ะมั้ง พวกเราก็เลยเป็นสองคนที่ถือครองจิตวิญญาณเดียวกันคนละครึ่ง”
ฟุโดวขยับแว่นกรอบสีฟ้าด้วยความมั่นใจ
ก็นะ ที่ชั้นมีตัวตนอยู่ได้ ฉะนั้นชั้นก็คงมาเกิดใหม่จริงๆ
ถ้าไม่ก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แต่แรกแล้ว
“หรือก็คือนายยังไม่ได้ไปเกิดใหม่โดยสมบูรณ์ไงล่ะ ทุกครั้งที่มาที่นี่ก็จะได้วิญญาณติดคืนไปด้วยทีละน้อย”
“ชั้นกลับมาเพื่อเอาวิญญาณคืนเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นคุณก็…”
“ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตชั้นจะค่อยๆสั้นลงทุกครั้งที่นายมาที่นี่ จะรู้สึกแบบว่าความตายคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆอะไรประมาณนั้น เพราะงี้ถึ’บอกว่าเรามีเวลาไม่มากแล้วไงล่ะ อีกไม่กี่ครั้งวิญญาณของพวกเราก็จะถูกรวมเข้าด้วยกัน ทิ้งให้ร่างกายนี้กลายเป็นศพ”
พอพูดแบบนั้น ฟุโดวก็ตบลงบนตัวแหน่งที่อยู่ของหัวใจ
ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะไม่ได้รักชีวิตอะไรเลยนะ ก็คงอย่างนั้นนั่นแหละ
ชั้นรู้ดี ก็เป็นตัวเองนี่นา
ฟุโดวยอมรับความตายมาตั้งแต่แรกแล้ว
ถ้าถามว่าเพราะอะไร…
“ก็ไม่อะไรมากหรอก ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ ร่างกายนี้ก็คงอยู่ได้อีกไม่ถึงปี อีกอย่างถ้าเรารวมกันก็คงไม่แย่มากนัก รู้สึกเหมือนมีการันตีว่าจะได้ไปเกิดใหม่ต่างโลกหลังตายเลย ชั้นตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะ ยกเว้นเรื่องที่ต้องกลายเป็นผู้หญิงน่ะนะ”
ยังไงเจ้านี่ก็ใกล้ตายมาตั้งแต่แรกแล้ว
ฟุโดว นิอิโตะ เป็นคนประเภทที่มีชีวิตเพื่อรอคอยความตาย
หมอเองก็บอกแล้วว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงปี ต่างกันก็แค่ตายตอนอยู่โรงพยาบาลหรือตายที่บ้าน
ถ้าอย่างนั้น ชั้นฏ้จะใช้ชีวิตให้เต็มที่จนใกล้ถึงเวลา แล้วค่อยไปตายที่โรงพยาบาล นั่นคือชีวิตที่เหลือของชั้น
เพราะงี้ชั้นถึงยึดติดกับแฮปปี้เอนดิ้งขนาดนั้นไงล่ะ
ความจริงน่ะมันโหดร้าย เพราะแบบนั้น อย่างน้อยขอแค่โลกในฝันก็ยังดี
เพราะงี้ชั้น…ถึงไม่กลัวความตาย
ชั้นแค่เกลียดที่จะต้องจากไปทั้งที่ยังเก็บกวาดเรื่องไม่เรียบร้อยน่ะ
“แล้ว…ความต่างของเวลาเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ? ที่โลกนั้นชั้นอยู่มาหลายปีแล้วนะคะ”
“ก็คงต่างกันพอตัวนั่นแหละ ตอนที่นายเป็นเอลริสมาแล้วเป็นสิบปี เวลาทางนี้เพิ่งจะผ่านไปเดือนเดียวเอง”
“ถ้าเกมเปลี่ยนไปแล้วทำไมถึงไม่มีใครคิดว่ามันแปลกเลยล่ะคะ”
“ไมรู้ทำไม คนอื่นๆนอกจากชั้นคิดว่า มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีใครรู้ถึงเอลริสที่นิสัยเลวทราม หรือเวอร์ชั่นดั้งเดิมของบุปผานิรันดร์ร่วงโรย”
ก็คิดถึงคำตอบพวกนี้ไว้บ้างแล้วล่ะนะ
ถ้าเวลาเดินไปเท่ากัน ฟุโดวก็คงจะตายไปแล้ว ส่วนถ้ามีคนอื่นรู้อยู่ล่ะก็ ป่านนี้คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วล่ะ
เพราะไม่มีเรื่องอย่างนั้น คำตอบเช่นนี้ก็ไม่น่าตกใจอะไร
“ชั้นจะมาเจอคุณได้อีกกี่ครั้งหรือคะ?”
“ไม่รู้สิ…อย่างมากก็ซักห้าครั้งล่ะมั้ง ตอนแรกๆชั้นก็ฝันเห็นถึงเรื่องของนายเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มจะมีฝันที่ทำให้ชั้นรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเอลริสอยู่บ้าง ตื่นมามันเลยแยกยากระหว่างความฝันและความจริง…ประมาณนั้นน่ะ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
“เรื่องนั้นก็ส่วนของเรื่องนั้น มาคุยเรื่องสำคัญกันต่อ”
ฟุโดวเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คขึ้นมา
“ตั้งแต่ตอนนั้น ชั้นก็ลองเสิร์ชกระทู้ที่คุยเกี่ยวกับว่าจะป้องกันไม่ให้แม่มดหนีได้ยังไงอยู่ กระทู้นี้มีมาตั้งแต่ก่อนที่รูทเอลริสจะถูกค้นพบอีกนะ ชั้นเจอความคิดเห็นน่าสนใจอยู่พอสมควรเลย”
เขาคลิกเข้าไปยังเพจเพจหนึ่ง
ชั้นมองสิ่งที่อยู่บนหน้าจอแล้วร้องด้วยความทึ่ง
…
[602 อัศวินไม่ระบุตัวตน 2017/10/25(วันอาทิตย์) 0:20:14]
ชั้นลองคิดดูแล้ว แต่เทเลพอร์ตนี่มันก็เวทมนตร์ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าอย่างนั้นแค่ดึงพลังเวทย์ออกจากรอบๆให้หมดก็พอแล้วนี่ ให้เอลซามะสร้างบาเรียกั้นพลังเวทย์คลุมทั้งโรงเรียน แล้วก็ดูดเอาพลังเวทย์ทั้งหมดในนั้นออก ว่าไงบ้าง?
[603 อัศวินไม่ระบุตัวตน 2017/10/25(วันอาทิตย์) 0:21:06]
เป็นไปไม่ได้หรอก ต่อให้รอบๆจะไม่มีพลังเวทย์เหลือ แม่มดก็ยังมีพลังเวทย์ภายในตัวให้ใช้เทเลพอร์ตได้อยู่ดี ต่อให้กันไม่ให้แม่มดฟื้นฟูพลังเวทย์ได้ แต่ก็ยังจัดการกับพลังในตัวเธอไม่ได้”
[604 อัศวินไม่ระบุตัวตน 2017/10/25(วันอาทิตย์) 0:22:22]
ถ้าแบบนั้นก็ให้เอลซามะสู้กับแม่มดจนพลังเวทย์เธอหมด แล้วค่อยใช้วิธีแบบ >>602 เพื่อทำให้เทเลพอร์ตไม่ได้
…
การจะใช้เวทมนตร์จะต้องมาจากพลังเวทย์ในร่างกาย
ร่างกายคนเราสามารถบรรจุพลังเวทย์ได้แค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น พลังของเวทมนตร์เองก็ขึ้นอยู่กับปริมาณพลังเวทย์ที่ใช้
จุดสำคัญอยู่ที่ว่าแต่ละคนสามารถบรรจุพลังเวทย์ได้ขนาดไหน
ต่อให้เป็นเวทมนตร์บทเดียวกัน ความรุนแรงของเวทย์นั้นก็จะต่างกันไปตามพลังเวทย์ที่ใช้
ถ้าคนปกติสามารถบรรจุพลังเวทย์ได้แค่ 1 อัศวินปกติก็จะสามารถใช้ได้สัก 100 ส่วนองครักษ์ก็ใช้ได้ 200 ส่วนชั้นจะบรรจุได้ประมาณ 500,000
พลังของชั้นมีอยู่ถึงห้าแสนสามหมี่น แต่ก็ไม่คิดจะสู้เต็มที่หรอกนะ[*ล้อฟรีเซอร์จากดราก้อนบอล]
ถ้าชั้นใช้เวทย์พลัง 1,000 ใครก็ตามที่มีพลังเวทย์ต่ำกว่า 1,000 ก็จะไม่สามารถกันด้วยเวทมนตร์ได้เลย
ถ้าเป็นแม่มด…ก็น่าจะบรรจุพลังเวทย์ได้ซัก 1,000-3,000 ล่ะมั้ง
แต่แม่มดมีวงจรพลังเวทย์ที่ยอดเยี่ยมจึงสามารถดูดซับพลังเวทย์จากรอบข้างมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
เพราะแบบนั้นถึงเธอจะถือครองได้แค่ทีละ 1,000-3,000 แต่พลังเวทย์จริงๆของเธอนั้นไร้ขีดจำกัด
ชั้นเองก็มีวงจรพลังเวทย์ขั้นเทพเหมือนกัน พลังเวทย์ของชั้นก็เลยเรียกได้ว่าไร้ขีดจำหัดพอๆกัน
แต่ถ้าใช้วิธีนี้ ชั้นน่าจะสามารถป้องกันไม่ให้แม่มดฟื้นฟูพลังเวทย์ได้
ถึงเธอจะพยายามฟื้นฟู แต่รอบข้างก็จะไม่มีพลังเวทย์เหลือให้ดูดซับ
แต่แบบนั้นก็ต้องมีจังหวะที่ดีพอ และเธอก็ต้องสู้จนเธอไม่เหลือพลังเวทย์พอจะใช้เทเลพอร์ตได้ซะก่อน
พอถึงจุดนั้น ชั้นก็จะดูดซับพลังเวทย์ทั้งหมดในบาเรีย ปิดกั้นการเทเลพอร์ดของเธอไว้ได้
ด้วยปริมาณพลังเวทย์ทั้งหมดที่ชั้นสามารถบรรจุได้ การจะดูดจนไม่มีมานาเหลือในบาเรียก็คงไม่ยากมาก
แบบนี้… น่าจะไปไหว
ใช่แล้ว แผนนี้น่าจะเป็นไปได้นะ