สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค - ตอนที่ 110 After Story: รูปนั้นอยู่ที่ไหน
ชั้นใช้บาเรียกันน้ำเพื่อสำรวจเศษซากของอารยธรรมโบราณ
ชั้นเดินผ่านซากที่เคยเป็นจักรวรรดิไซโตะนารุตะ ไม่สิ ไซต์นัลตา มองไปรอบๆเพื่อหาอะไรที่น่าสนใจ
ยังไงซะที่นี่ก็จมอยู่ใต้ก้นทะเลมากว่าพันปี อะไรที่ทำจากโลหะก็ขึ้นสนิมไปหมดแล้ว พวกอาคารบ้านเรือนก็พังพินาศเกินกว่าจะดูออกว่าเคยเป็นอะไร ทำให้นึกถึงพวกหนังวันสิ้นโลกเลย
เป็นเพราะว่าตอนนี้พวกปีศาจมันสูญพันธ์กันไปหมดแล้ว ชั้นในตอนนี้เลยไม่มีงานอดิเรกอะไรให้ทำ เลยมาตระเวนสำรวจซากโบราณสถานเป็นงานอดิเรกใหม่แทน
ก็คิดว่าอาจจะเจออะไรที่ตกค้างจากอารยธรรมเก่าแก่บ้างล่ะนะ
ชั้นเดินเข้ามายังอาคารแห่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจชั้น คิดว่าที่นี่น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ล่ะมั้ง มีโมเดลรถอยู่ในตู้กระจกด้วย
ถึงจะบอกว่าเป็นตู้กระจกก็เถอะ แต่มันก็แตกยับเยินจนไม่เหลือโครงเดิมแล้วน่ะนะ ยังดีที่โมเดลด้านในยังคงสภาพพอดูออกว่ามันเคยเป็นอะไร ถ้าเอาสนิมออกแล้วก็ซ่อมหน่อยนี่ก็น่าจะเอาไว้ประดับบ้านได้
ด้านในของพิพิธภัณฑ์นั้นมีกล่องเหล็กอยู่กล่องนึง มันปิดแน่นแถมยังสนิมเขรอะจนเปิดด้วยวิธีปกติไม่ออกแฮะ
เอาเถอะ แค่ใช้เวทมนตร์นิดหน่อยก็คงเอาของด้านในออกมาได้ง่ายๆล่ะนะ เดี๋ยวเอากลับไปด้วยดีกว่า
จริงๆด้านในอาจจะเป็นของไร้ค่าสุดๆไปเลยก็ได้ แต่สำหรับชั้นนี่ ความรู้สึกของการค้นพบอะไรบางอย่างนี่สำคัญกว่ารางวัลที่จะได้มาซะอีก
เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ว่าแล้วชั้นก็กลับขึ้นมาบนบกอีกครั้ง จากนั้นจึงใช้ดาบแสงเพื่อตัดเปิดกล่องออก
ชั้นเอาวัตถุด้านในออกมาสำรวจดู และก็พบว่ามันคือ…
“…กล้องเหรอ?”
ด้านในของกล่องนั้นคือกล้องไม่ผิดแน่นอน สภาพยังดีอยู่ซะด้วย สงสัยว่าด้านในกล้องจะมีการลงเวทมนตร์อะไรสักอย่างเอาไว้เพื่อรักษาสภาพล่ะมั้ง
ยังไงจักรวรรดิไซต์นัลตาก็เป็นตัวตั้งต้นที่เริ่มศึกษาเวทย์ความมืด(มิติ)นี่นา คิดว่าที่กล้องยังสภาพดีอยู่ก็เพราะเวทย์มิติที่คอยเก็บรักษาเอาไว้ไม่ให้มันผุพัง
คิดว่าที่โดนจับผนึกเอาไว้แบบนี้ ก็เป็นหลักฐานว่าเจ้ากล้องนี่น่าจะเป็นของมีคุณค่าพอสมควร
แต่ก็ยังมีโอกาสที่เจ้านี่จะเป็นอุปกรณ์ไร้นามที่แค่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกล้องเฉยๆก็ได้ ต้องทดสอบก่อนว่ามันไม่เป็นอันตราย
ชั้นเปิดบาเรียกางเอาไว้ตลอดเวลา ถึงมันจะระเบิดใส่ก็คงไม่เจ็บไม่คัน
หลังจากที่ทดสอบอยู่สักพักนึง…เออ มันก็กล้องธรรมดานั่นแหละ
ไม่มีอะไรแปลกๆโผล่ออกมา ไม่มีการปล่อยสารอันตรายอะไร มันก็แค่กล้องแบบปกติเลย
ชั้นถ่ายรูปชายหาด นกแถวๆนั้น แล้วก็สร้างโกเลมมาถ่ายรูปตัวชั้นเอง แต่หลังจากที่ผ่านไปสักพักหนึ่ง ชั้นก็คิดได้ว่าตัวเองไม่รู้วิธีสร้างฟิล์ม
ที่เคยเห็นมามันจะต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย ต้องมีห้องมืดอะไรด้วย ชั้นแค่เคยดูคลิปในเน็ตแบบผ่านๆน่ะนะ ไม่ได้เจาะลึกไปถึงวิธีการทำฟิล์มหรอก
ฉิบเป๋งล่ะ แล้วตูดันใช้ฟิล์มที่มีเหลือจนหมดแล้วนะเนี่ย
เอาไงดีล่ะ…? ดันใช้ฟิล์มอันล้ำค่าที่มีอยู่น้อยนิดไปจนหมดแล้ว แถมยังไม่รู้วิธีสร้างมาใช้แทนด้วย มันต้องใช้ซิลเวอร์แฮไลด์อะไรงี้ป่ะ นี่ตูบ้าป่าวเนี่ย
ถ้ามีอินเตอร์เน็ตก็คงเสิร์ชหาวิธีทำได้ไปแล้ว แต่นี่ไม่รู้นี่สิ
ชั้นแค่รู้แบบตื้นๆนาเหวย เอาจริงๆถ้าสุ่มถามคนตามถนนแบบไม่ให้เปิร์ดเน็ตว่าฟิล์มกล้องถ่ายรูปนี่สร้างยังไง ก็คงไม่มีใครตอบได้หรอก
จริงๆควรจะส่งให้ผู้เชี่ยวชาญเอาไปตรวจสอบตั้งแต่แรกแล้ว ไม่น่าเอามาเล่นเองเลยเหรอ? …ก็ใช่แหละ!
แต่ตอนนี้มันไม่ทันแล้วไง ก็ได้แต่ปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านไปใช่มั้ยล่ะ
“…..เอาเถอะ”
ถึงจุดนี้แล้ว คร่ำครวญไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ตัวกล้องเองก็มีอายุตั้งพันปีเชียวนา ถือว่าเป็นของมีค่าในตัวมันเองพอแล้วล่ะ
-หลังจากนั้น ชั้นก็ได้ความช่วยเหลือจากฝั่งที่คาดไม่ถึง
พอชั้นกลับไปที่บ้าน พวกผู้พิทักษ์ทั้งหลายก็ดูจะสนใจกล้องเอามากๆเลย หลังจากให้ยืมไปเล่นอยู่พักนึง ก็ดันล้างรูปออกมาได้ด้วย
รูปที่หลงเหลือจากยุคสมัยนั้นเป็นรูปของจักวรรดิไซต์นัลตาก่อนการรุกรานของแม่มด รวมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้น
ไม่นึกเลยว่าผู้พิทักษ์ที่รูปร่างภายนอกนี่คือยุคหินจ๋าเลย จะหาวิธีล้างรูปออกมาได้ด้วย
เออ แต่พวกมันก็เป็นคนขับกับคนซ่อมรถจักรนี่นะ…เอาเป็นว่าอย่าคิดมากดีกว่า
ก็นะ รูปพวกนี้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าน่าดูเลย จะให้ชั้นเก็บไว้กับตัวเองก็คงจะไม่ได้
ชั้นส่งรูปภาพพวกนั้นให้กับทหารที่มาส่งสาร ฝากให้เอาไปส่งลุงไอส์
…ไม่กี่วันต่อมา ก็ได้ข่าวว่ารูปภาพพวกนั้นถูกโจรปล้นชิงไปในระหว่างการขนส่ง
เอ๊า? เอาจริงดิ?
.
ชั้นมาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรบิลเบอรี่ พวกบุคคงสำคัญทั้งหลายก็มารวมตัวรอกันอยู่แล้ว
มีลุงไอส์ อาร์คบิชอปของโบสถ์ พวกผู้นำประเทศทั้งหลาย พวกอัศวิน ไอ้แว่นโรคจิตมาได้ไงเนี่ย โอ๊ะ เวอร์เนลเองก็อยู่ด้วยแฮะ กลับมาจากการฝึกฝนแล้วเรอะ
นายนี่กล้ามใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกป่ะเนี่ย? จะบึ้กไปไหนเฮ้ย
“ท่านเอลริสขอรับ พวกเราต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง… ทั้งๆที่ท่านอุตส่าห์ส่งเอกสารทางประวัติศาสตร์สำคัญของเมื่อหนึ่งพันปีก่อนมาให้…”
ลุงไอส์แกดูหดหู่น่าดูเลย…แต่กล้องก็อยู่บนโต๊ะนั้นนี่นา ไม่เสียหายอะไรด้วย
อ้าว? ถ้ากล้องยังอยู่นี่ แสดงว่าที่โดนขโมยไปมีแค่รูปภาพเหรอ?
แต่ก็มีรูปอยู่ข้างๆกล้องด้วยนี่นา
“โชคดีที่เจ้า…สิ่งที่เรียกว่ากล้องถ่ายรูปนี้ยังคงปลอดภัยดี แต่จากปากคำของทหารผู้รับหน้าที่ขนส่ง รูปภาพบางรูปถูกขโมยไปขอรับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอชั้นตรวจสอบสักครู่นะคะ”
จากนั้นชั้นก็หยิบรูปพวกนั้นมาตรวจดู
รูปไหนโดนขโมยไปนะ? ถ้าเป็นรูปจากเมื่อพันปีก่อนก็คงน่าเสียดายน่าดู
รูปพวกนั้นมันหาอะไรมาแทนที่ไม่ได้นี่นะ
แต่หลังจากดูแล้ว พวกรูปจากพันปีก่อนก็ยังคงอยู่ดี
อะไรล่ะนั่น? ของสำคัญก็ยังอยู่ดีนี่นา พวกทหารที่ทำหน้าที่ขนส่งนี่เก่งชะมัดเลยแฮะ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ รูปภาพที่สำคัญยังคงอยู่ดี”
“จะ-จริงหรือขอรับ?”
“ค่ะ ทั้งตัวกล้องและรูปภาพที่ถูกถ่ายเมื่อหนึ่งพันปีก่อนยังอยู่ที่นี่และไม่ได้รับความเสียหายอะไรค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ค่อยยังชั่ว…แบบนั้นแล้ว ที่พวกโจรขโมยไปนี่คืออะไรหรือขอรับ?”
“อา เป็นรูปที่ตัวชั้นเป็นคนถ่ายในระหว่างที่กำลังทดสอบตัวกล้องน่ะค่ะ คิดว่ารูปภาพพวกนั้นน่าจะถูกขโมยไป”
พอบอกแบบนั้น คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็พากันโล่งอก
ต้องบอกว่าพวกเราโชคดีมากเลยนะเนี่ย
พวกรูปภาพที่สำคัญนี่บยังอยู่ดีทั้งหมด มีแต่พวกภาพวิวทิวทัศน์ที่โดนขโมยไป
“โชคเข้าข้างเราจริงๆขอรับ รูปภาพพวกนั้นออกจะน่าเสียกายก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไป จะว่าไปแล้ว รูปภาพแบบใดที่ท่านเอลริสเป็นผู้ถ่ายหรือขอรับ?”
“เอ ถ้าจำไม่ผิดนะคะ… มีรูปทะเล ชายหาด… นกที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้น…”
ในระหว่างที่คุยกันอยู่นี้ บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มผ่อนคลายลง
ทุกคนยินดีที่ไม่มีภาพสำคัญใดที่ถูกขโมยไป
ชั้นถ่ายอะไรอีกนะ? ตอนท้ายนี่…อ๊ะ ใช่แล้ว ที่ชั้นให้โกเลมเป็นคนถือกล้อง…
“อ๊ะ แล้วก็ภาพถ่ายของตัวชั้นเองน่ะค่ะ”
–ในตอนนั้นเอง ชั้นก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบด้านถูกเปลี่ยนไปในฉับพลัน
.
ในถ้ำที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองหลวงในระยะหนึ่ง ชายคนนึงนั่งถือกระดาษสามแผ่นเอาไว้ในมือ
ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด ล้วนมีอาชญากรด้วยกันทั้งนั้น
ผู้คนต้องการอาหาร เงินตรา หรือกระทั่งที่ดิน
ความริษยาที่ผู้ยากจนมีต่อผู้มั่งมี นำไปสู่การก่ออาชญากรรม
ถึงแม้ว่าสภานการณ์จะดีขึ้นมากเพียงใดในยุคสมัยของเกรทเซนต์เอลริส อาณาจักรบิลเบอรี่ก็ยังเป็นสถานที่ที่สามัญชนและขุนนาง ยาจกและเศรษฐีมีความห่างชั้นกันเป็นอย่างมากอยู่ดี
ผู้คนเหล่านั้นมารวมตัวกัน เพื่อที่จะปล้นสะดมสินทรัพย์จากผู้มั่งมี
ผู้คนในถ้ำแห่งนี้คือสมาชิกของกลุ่มโจรที่มีชื่อว่า “ค้างคาวสีฟ้า”
เป็นกลุ่มโจรที่มีมาตั้งแต่ก่อนที่เอลริสจะเริ่มทำหน้าที่ของเซนต์เสียอีก
พวกเขาเกลียดผู้มีอำนาจที่อยู่ดีกินดี ในขณะที่คนยากจนล้มตายจากความหิวโหย
พวกเขายอมรับไม่ได้ที่ผลผลิตทั้งหลายที่พวกตนเสียเลือด เหงื่อ และน้ำตาในการเพาะปลูกจะต้องถูกขโมยไปอย่างหน้าด้านๆในนามของภาษี
และแล้วผู้คนที่มีความคิดเดียวกันนี้ก็มารวมตัวกันเพื่อต่อต้านคนร่ำรวย ปล้นเสบียงจากผู้มีอันจะกินไปแจกจ่ายให้เหล่าคนยากจน
อย่างน้อยนั่นก็เป็นความตั้งใจแรกเริ่ม จนกระทั่งหนึ่งในนั้นออกความเห็นมาว่า
“พวกเราเป็นคนที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะนำอาหารพวกนี้กลับคืนมานะ ทำไมเราต้องเอาไปแบ่งให้พวกที่ไม่ทำอะไรด้วยล่ะ?”
จากนั้นอีกคนก็เออออตาม
“นี่เป้นสิ่งที่พวกเราได้มาจากความพยายามของเราเองนะ เราควรเก็บไว้เองสิถึงจะถูกต้อง”
พวกเขาได้รับอาหารมาโดยไม่ต้องเพาะปลูก และไม่ต้องกลัวที่จะอดตาย
พวกเขาได้ลิ้มรสความสุขเช่นนั้น
ความตั้งใจที่จะส่งอาหารเหล่านั้นให้แก่คนยากจนถูกล้มเลิก และเลือกที่จะเก็บไว้กินเอง
เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มมองว่าพวกคนรวยทั้งหลายนั้นมีการป้องกันที่แน่นหนา ทำให้การจู่โจมสุ่มเสี่ยงเกินไป พวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาโจมตีเหล่าชาวบ้านที่ยากจนแทน
ปณิธานที่เคยมีได้หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงความโลภที่เห็นแก่ตนเองแต่เพียงผู้เดียว
พวกเขาใช้ชีวิตเช่นนั้นมาเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าเอลริสจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสภานการณ์ในที่สุด ก็ยังไม่สามารถที่จะล้มเลิกได้
ถึงแม้จะมีมันฝรั่ง มันเทศ ถั่วเหลือง… ผืนดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก น้ำสะอาดเพียงพอสำหรับทุกคนใช้กินใช้ดื่ม… ถึงแม้โลกจะกลายเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยน
พวกเขาเปลี่ยนไม่ได้ มาจนถึงจุดที่ไม่สามารถหันหลังและกลับไปเป็นเพียงเกษตกรได้อีกแล้ว
เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นคุ้นชินกับเส้นทางชีวิตที่ง่ายดาย คุ้นชินกับการไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการมาได้โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเข้าปล้นชายคนหนึ่งที่แต่งกายดูดีมีระดับในวันนั้น
แต่พวกเขาคำนวณพลาดไป
ความผิดพลาดอย่างแรก พวกเขาไม่ถึงเลยว่าชายคนนั้นจะเป็นทหารที่มีประสบการณ์
ถึงแม้กลุ่มโจร “ค้างคาวสีฟ้า” จะใช้ชีวิตในฐานะโจรมาแล้วหลายสิบปี แต่ดั้งเดิมแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นเพียงอดีตชาวไร่ธรรมดา
จะให้จัดการทหารเท้าธรรมดาคนหนึ่งยังยาก ยิ่งเป็นอัศวินที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขารู้เรื่องนั้นดี และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะอยู่ตลอด
แต่ว่าทหารคนนั้นกลับแต่งชุดเหมือนกับเป็นพ่อค้า
กลุ่มโจรไม่รู้ในเรื่องนี้…แต่ทหารคนนั้นรับหน้าที่เป็นผู้ส่งสารให้แก่เกรทเซนต์เอลริส
สถานที่อยู่ของเกรทเซนต์นั้นเป็นความลับระดับสูง เพราะหากหลุดรั่วออกไป จะเป็นการดึงดูดผู้คนไปหาเธอและส่งผลกระทบต่อชีวิตที่สงบสุขของท่านผู้นั้นได้
ทหารคนนั้นจึงต้องปลอมตัวเป็นคนธรรมดา ไม่ให้ใครรู้ว่าตนเป็นทหารภายใต้คำสั่งของราชวงศ์
ความผิดพลาดอย่างที่สอง พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ขโมยมานี้ดี
สิ่งนี้เป็นผลลัพท์จากการปล้นสะดมที่ทำให้พวกพ้องในกลุ่มโจรหลายคนต้องเสียชีวิตไป แต่มันก็เป็นเพียงกระดาษสามใบเท่านั้น
รูปภาพบนกระดาษเหล่านั้นเป็นภาพวาดที่สมจริงราวกับใครสักคนบันทึกภาพที่ตาเห็นเอาไว้ในสภาพของกระดาษ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นงานศิลปะที่มีค่าพอสมควรเป็นแน่แท้
แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับภาพเหล่านี้ดี หากเป็นของมีค่าที่สามารถเข้าใจได้ง่ายอย่างเช่นทองคำหรือเพชรพลายก็ว่าไปอย่าง พวกเขาไม่รู้ว่าของอย่างนี้จะเอาไปขายให้ใครได้
และความผิดพลาดข้อที่สาม ความผิดพลากที่ใหญ่ที่สุด คือการที่พวกเขาเผลอเหยียบกับระเบิดโดยไม่รู้สึกตัว
“…หืม? แผ่นดินไหวรึไงนะ?”
หัวหน้ากลุ่มโจรที่มองดูรูปถ่ายนั้นอยู่เงยหน้าขึ้น และรู้สึกได้ว่าพื้นดินกำลังสั่นไหว
เป็นแผ่นดินไหวอย่างที่ไม่เป็นธรรมชาติ พวกเขาไม่เคยเจออะไรเช่นนี้มาก่อน
แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จากนั้นก็หยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะสั่นไหวอีกครั้งรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“หะ-หัวหน้า! ข้างนอก! ข้างนอกกกกก!”
“หะ? อะไรวะ?”
ลูกน้องของเขาที่อยู่ด้านนอกถ้ำรีบวิ่งมาด้านในเพื่อเรียกหัวหน้าออกไปดู
มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นด้านนอกแน่นอน เขาจึงออกไปเพื่อดูสาเหตุ
ที่นั่นเอง เขาเห็นร่างขนาดใหญ่มุ่งตรงมาทางนี้…ร่างของโกเลมขนาดมหึมา
“…หา?”
เสียงที่น่าสมเพชหลุดออกมาจากปากของหัวหน้า
เขาเข้าใจได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถยอมรับได้ว่านั่นเป็นความจริงในเวลาเดียวกัน
สูงประมาณยี่สิบ ไม่สิ สามสิบเมตรได้
นั่นไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่เป็นแรงสะเทือนจากการเดินของโกเลมตัวนั้น
“นั่นมัน…ปีศาจเหรอ?”
“หนีกันเถอะครับหัวหน้า! ที่นี่มันอันตรายเกินไป!”
“ชะ-ใช่แล้ว…”
พวกเขาไม่รู้ว่ายักษ์ดินตัวนั้นคือออะไรกันแน่
แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำอะไร พวกเขาต้องถูกมันเหยียบจนแบนเป็นแน่แท้
แต่ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มทำการหลบหนี ความสิ้นหวังก็มาถึง
ทางด้านขวาของพวกเขา คือกำแพง
ไม่ใช่แค่กำแพงธรรมดา แต่เป็นกำแพงเหล็กกล้าที่สร้างขึ้นจากโล่ของทหารนับร้อยพัน
เหล่าทหารปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันเข้มข้น ราวกับสภาวะก่อนสงคราม
“กะ-กองทัพของอาณาจักรนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ! ตรงนั้นมีธรงของอาณาจักรบิลเบอรี่ อาณาจักรลูติน และสหพันธรัฐฟีนอลรวมอยู่ด้วย!”
“หาาาาา?!”
ทหารเหล่านั้นไม่ใช่กองกำลังที่พบเห็นได้ทั่วไป
แต่เป็นการผนึกกำลังของหลากหลายชาติพันธุ์รวมกัน
ชุดเกราะต่างกัน อาวุธต่างกัน กษัตริย์ต่างกัน เชื้อชาติต่างกัน…แต่พวกเขากลับหลอมรวมเป็นใจเดียวกัน และยกทัพตรงมายังถ้ำแห่งนี้ เป็นกองกำลังที่สร้างความอุ่นใจให้แก่มิตรสหาย และนำความสิ้นหวังมาสู่ศัตรู
“หัวหน้าครับ…”
“คราวนี้อะไรอีก?!”
“ทะ-ทางนั้นก็มีอีกพวกนึงด้วย…”
ทางขวามีกำแพงเหล็กกล้า ส่วนทางซ้ายก็มีอีกกำแพงนึง
คราวนี้เป็นกำแพงผ้าของเหล่านักบวชในชุดคลุม
-หน่วยลงทัณฑ์ของโบสถ์แห่งเซนต์
โบสถ์แห่งเซนต์นั้นไม่ได้มีไว้เพียงรับฟังคำอธิษฐานและการสารภาพบาปอย่างเดียว
มันยังมีหน้าที่ในการรักษาสถานภาพความเป็นใหญ่ของตำแหน่งเซนต์อีกด้วย ใครก็ตามที่คิดต่อต้านอำนาจของเซนต์ ต้องถูกกำจัด
สมาชิกทั้งหมดของหน่วยลงทัณฑ์ล้วนเป็นนักเวทย์มือฉมังทั้งสิ้น
ยิ่งอำนาจของเซนต์เอลริสเผยแพร่ออกไป สมาชิกและความแข็งแกร่งของทางโบสถ์ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็ไม่ลังเลที่จบทำให้ใครก็ตามที่ลบหลู่เซนต์หายไปจากโลกนี้
“อะ วา วา วาวาวา…”
“หะ-หัวหน้า…นี่พวกเรากำลังจะตายกันใช่มั้ยครับ…?”
“นี่พวกเรา…ไปทำอาชญากรรมอะไรที่เลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ…?”
พวกเขาทุกคนคืออาชญากร
ถ้าจะถามว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือคนเลว ใครๆก็คงตอบว่าพวกเขานั้นเลว ไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ว่า พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายถึงขนาดต้องมาเจอกับอะไรระดับนี้เลย
จริงอยู่ที่ถึงแม้คนอื่นจะทำผิด ก็ไม่ได้แปลว่าความผิดของพวกเขาจะหายไป…แต่กลุ่มโจรที่ขนาดใหญ่กว่าพวกเขา ทำเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าพวกเขาก็มีอยู่ไม่น้อย
ถ้าแค่จะปราบปรามกลุ่มโจรค้างคาวสีฟ้า ทำไมต้องส่งกำลังพลมาถึงขนาดนี้ด้วย?
ยักษ์ดินตนนั้นย่างก้าวเข้ามาใกล้ถึงระดับที่พวกเขาสามารถเห็นเท้าของมันได้
ด้านหน้ายักษ์ตนนั้นคืออัศวินกลุ่มหนึ่ง
นำโดยอดีตองครักษ์ส่วนตัวของเซนต์ เลย์ล่า สก็อตต์ และเหล่าอัศวินที่แข็งแกร่งถึงขนาดเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับแม่มด
ข้างๆนั้นคือเวอร์เนล หลังจากการฝึกอย่างทรหด เขาในตอนนี้ได้แข็งแกร่งขึ้นในระดับที่สามารถก้าวข้ามเลย์ล่าไปได้แล้ว
แต่ละย่างก้าวของพวกเขาทำให้เหล่าโจรรู้สึกได้ถึงอายุของตนที่ค่อยๆลดลง
ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้?
เป็นเพราะว่าหนึ่งในสิ่งที่ถูกกลุ่มโจรนี้ขโมยไปนั้นมี”รูปถ่ายของเอลริส”ปะปนอยู่ด้วยยังไงล่ะ
แค่รูปถ่ายก็ถือเป็นของมีค่ามากแล้วในโลกนี้ เนื่องจากกล้องถ่ายรูปนั้นเป็นวิทยาการที่สูญหายไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อน และการที่เอลริสใช้ฟิล์มจนหมด ทำให้ไม่สามารถผลิตรูปถ่ายเหล่านี้ออกมาได้อีก
สิ่งสำคัญตรงนี้ คือการที่รูปนั้นเป็นภาพถ่ายของเอลริส
นี่คือโอกาสที่พวกเขาจะสามารถบันทึกรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเกรทเซนต์เอลริส ผู้กอบกู้โลกจากโศกนาฏกรรมที่ต่อเนื่องยาวนานกว่าพันปี และสามารถส่งรูปภาพนี้สืบทอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน จะปล่อยให้โจรด้อยการศึกษาได้มันไปนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ในความคิดของซัปเปิ้ล รูปถ่ายนั้นจะต้องถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ถ้าจำเป็นก็จะให้อัลเฟรียผนึกมันเอาไว้ไม่ให้สึกหรอ แน่นอนว่าจะต้องเก็บมันไว้ให้ห่างจากผู้คนให้มากที่สุด แค่เขาได้เห็นคนเดียวก็พอแล้ว
เลย์ล่ายอมรับไม่ได้ที่รูปของเซนต์สุดที่รักของเธอจะต้องตกอยู่ในมือของโจรโสมมที่คงคิดจะใช้รูปภาพนั้นเพื่อสนองความใคร่ของตนเอง น่ารังเกียจเป็นที่สุด
อาร์คบิชอปหวังที่จะถ่ายทอดรูปลักษณ์ของเกรทเซนต์ไปยังชนรุ่นหลัง และเขาจะไม่ยอมให้รูปนี้ตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นเป็นอันขาด
เหล่าทหารไม่สนใจหรอกว่าพวกเบื้องบนจะคิดอะไร แต่เอลริสนั้นเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเขาทุกคน เธอเป็นผู้ที่ช่วยโลกใบนี้ไว้ และพวกเขาไม่ยอมให้โจรสารเลวพวกนี้ได้รูปถ่ายหนึ่งเดียวของเธอไปเป็นอันขาด
แต่ละคนนั้นมีความคิดที่ต่างกัน จุดประสงค์ที่ต่างกัน แต่กลับมีความเห็นตรงกัน
-โจรพวกนี้ต้องถูกขยี้
เมื่อไม่มีทางหนีใดอีก กลุ่ม”ค้างคาวสีฟ้า”จึงเลือกตัวเลือกเดียวที่มีอยู่
ยอมจำนนแต่โดยดี…! พวกเขาทิ้งอาวุธในทันทีและนอนราบไปกับพื้น แสดงให้เห็นว่าไม่คิดจะต่อต้านใดๆทั้งสิ้น
ขัดขืน? พูดเป็นเล่น ในจุดๆนี้ แค่หายใจแรงเกินก็เพียงพอที่จะทำให้หัวของพวกเขาหลุดจากบ่าแล้ว
เลย์ล่าชี้ดาบไปยังโจรที่สั่นกลัว
“วันก่อนพวกเจ้าได้ทำการขโมยบางสิ่งบางอย่าง…นำมันออกมาเดี๋ยวนี้”
“ข-ขอรับ!”
พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธได้ ไม่อย่างนั้นก็จะตายก่อนที่จะพูดจบเสียอีก
หัวหน้าโจรยื่นรูปถ่ายทั้งสามให้แก่เลย์ล่า
เลย์ล่ารับรูปนั้นมาตรวจสอบ…ก่อนที่สายตาของเธอจะเย็นเยือกยิ่งกว่าเดิม
“เข้าใจล่ะ เจ้าคงต้องการที่จะตายสินะ”
“อิหี๊!”
“มันควรจะมีรูปอื่นอยู่อีก นำมันออกมา”
“ต-แต่…เอ่อ…ไม่มี…”
หัวหน้าโจรไม่ได้ปิดบังอะไรอยู่ทั้งสิ้น
ในวันนั้นพวกเขาขโมยรูปภาพออกมาเพียงสามรูปจริงๆ
เป็นรูปของทะเล ชายหาด และนก เพียงเท่านั้น
ไม่มีรูปของเอลริสรวมอยู่ในนั้นด้วย
ไม่ว่ากลุ่มโจรจะโง่เง่าแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมองว่ารูปของเอลริสเป็นเพียง “รูปที่ไม่สำคัญ” ไปได้ ถ้าพวกเขามีรูปนั้นอยู่จริงๆก็คงจะรู้เหตุผลได้ทันทีว่าทำไมถึงโดนทั้งกองทัพตามไล่ล่า
แต่พวกเขาไม่รู้…ก็พวกเขาไม่ได้ขโมยรูปของเอลริสมาตั้งแต่แรกแล้ว…!
“เข้าใจล่ะ ถึงแม้เจ้าจะเป็นเพียงโจรต้อยต่ำ ก็ยังทำใจที่จะแยกจากกับภาพของท่านเอลริสไม่ได้สินะ ก็ใช่ว่ากระผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกหรอก แต่นั่นน่ะเป็นทางเลือกที่โง่เขลานัก”
“หา…เอ๊ะ…ตะ-แต่ว่า เราไม่ได้…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซัปเปิ้ล ในที่สุดหัวหน้าโจรก็เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้ได้
มีรูปภาพอีกหนึ่งที่สูญหายไป…! ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นรูปของเกรทเซนต์ มีอยู่หนึ่งเดียวในโลก!
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะให้สิ่งที่ตนไม่มีไปได้
ทั้งเหล่าทหารและนักบวชทั้งหลายบุกค้นรังโจรเพื่อหารูปนั้น แต่ก็ไม่มีใครเจอรูปของเอลริสนั้นเลย
“ไม่อยู่ที่นี่ขอรับ…”
“เอาไปซ่อนไว้รึเปล่านะ…? น่าจะไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ไปอยู่ที่ไหนกันแน่…?”
หลังจากที่เค้นทุกสิ่งทุกอย่างจากกลุ่มโจรอยู่เป็นเวลานาน ก็สรูปได้ว่าเจ้าพวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับภาพของเอลริสที่หายไปเลย
ดูจากความหวาดกลัวแล้ว คิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก
ถ้าเช่นนั้น รูปถ่ายสุดท้ายที่มีค่าที่สุด…มันอยู่ที่ไหนกัน
กลุ่มโจรค้างคาวสีฟ้าถูกโยนเข้าคุก และการสืบเสาะหาเบาะแสของรูปนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป
.
ด้านในของป่าอันเป็นสถานที่พักพิงเก่าของโปรเฟตะ และที่อยู่ปัจจุบันของเอลริส
ในที่พักของเหล่าผู้พิทักษ์ ได้มีการจัดงานสรรเสริญขึ้น
“อุกี๊ กี๊ กี๊!”(ท่านเซนต์จงเจริญ!)
“อุกี๊ กี๊ กี๊! อุกี๊ กี๊ กี๊!”(ท่านเซนต์จงเจริญ! ท่านเซนต์จงเจริญ!)
ผู้พิทักษ์ที่เป็นหัวหน้าสวดอะไรบางอย่าง ในขณะที่ตัวอื่นๆก็พูดตาม
นี่เป็นการขอบคุณต่อผลผลิตที่งอกงามและขนมปังที่ท่านเซนต์แบ่งให้
บนแท่นบูชานั้น…คือรูปถ่ายของเซนต์เอลริส โหรรุ่นปัจจุบัน
ในตอนที่เอลริสมาขอให้พวกมันช่วยล้างรูปให้ พวกมันก็ยินดีเป็นอย่างมากที่พบรูปของตัวเอลริสอยู่ในจำนวนนั้นด้วย
ผู้พิทักษ์คือเผ่าที่นับถือและรับใช้โหร นอกจากนี้พวกเขายังรักเอลริสที่เป็นผู้นำความสงบสุขมาสู่โลก
การที่เอลริสกลายมาเป็นโหร จึงทำให้เธอเป็นดั่งเทพธิดาของพวกเขา
การที่จะแอบเก็บรูปของเอลริสเอาไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดมากเลย สมกับเป็นสมองวานรจริงๆ
…อย่างน้อยก็ไปขออนุญาตเอลริสมาแล้วนะเออ
พอเอารูปไปให้เจ้าตัวที่เพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงดู ก็โดนบอกมาว่า “อ๊ะ อยู่กับพวกเธอนี่เอง ถ้าอยากได้ล่ะก็เอาไปก็ได้นะ”
ผู้พิทักษ์จึงนำรูปนั้นมาวางไว้เป็นสิ่งบูชาในทันที
เสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าผู้พิทักษ์ก็ดังก้องไปทั่วป่าอีกครั้งหนึ่ง