สุดยอดรัชทายาท - ตอนที่ 24 ความสันโดษของเล้งหยูเฟิง
สุดยอดรัชทายาท บทที่ 24 ความสันโดษของเล้งหยูเฟิง
บทที่ 24 ความสันโดษของเล้งหยูเฟิง
ในค่ําคืนที่เงียบสงัด บนเนินเขานอกเมืองหลวง ชางอู๋ซินนั่งนิ่งอยู่บนม้าขาวราวหิมะ โดยตามมาด้วยทหารนับพันและรถม้าซึ่งบรรทุกธัญพืช พวกเขารอมาเป็นเวลานานแล้วขณะทุกคนสวมชุดสีดํา ซึ่งอยู่ภายใต้คําสั่งของนางและธงแสดงฐานะถูกปลดลง
“องค์รัชทายาท เสบียงถูกจัดเรียงและนับแล้ว และทหารทั้งหมดพร้อมที่จะเดินทาง!” เล้งหยูเฟิงมาถึงด้านข้างขององค์รัชทายาท
ภายใต้แสงจันทร์ยังสามารถแยกแยะได้ว่าทั้งร่างของเล้งหยูเฟิง สวมชุดสีดํารวมถึงเสื้อคลุมด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ทว่ามีแววตาที่ไร้อารมณ์ ไร้หรือรอยยิ้ม และริมฝีปากอันเรียวบางนั้นแสดงถึงเคร่งขรึมขณะเผยความมั่นใจอันเย็นยะเยือกราวกับหิมะ
ชางอู๋ซินพยักหน้าและในขณะนั้นมีขุนนางเข้ามาหานางพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย “องค์รัชทายาท เหตุใดเราต้องลงเรือตอนกลางคืนด้วยพ่ะย่ะค่ะ? แล้วทําไมเราไม่ได้รับอนุญาตให้สวมชุดทหาร” ขุนนางท่านนี้ไม่ใช่คนเดียวที่สับสน ทว่าพวกทหารก็เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเงี่ยหูฟัง
ผู้ที่ถามคําถามนี้อายุประมาณสามสิบปี และตําแหน่งของเขาคือรองรัฐมนตรี และบุรุษผู้นี้คือบุตรชายของไปซางซู มีนามว่า ไปเส้าหลิน แม้หน้าตาของเขาจะไม่โดดเด่นนักแต่เขาสืบทอดนิสัยอันชอบธรรมจากบิดา
ภายใต้คําสั่งของบิดา เขาต้องเดินทางลงใต้ไปกับรัชทายาทในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตามมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทําให้ไปเส้าหลินปฏิบัติตาม… มันเป็นเพราะเขาต้องการเห็นองค์ชายที่บิดาของตนยกย่องอย่างหลงใหลเสียเหลือเกิน
สังเกตเห็นว่าทหารจํานวนมากดูเหมือนจะมองไปที่ธัญพืชในรถของพวกเขา แต่ในความเป็นจริงหูของพวกเขากําลังใส่ใจกับคํากล่าวขององค์รัชทายาท
ชางอู๋ซินที่มีท่าที่โผงผางกล่าวว่า “เวลานี้เราจะมุ่งหน้าไปส่งมอบธัญพืชซึ่งคนทั่วไปไม่ได้ชอบใจนัก ตัวข้าเองไม่ต้องการให้เป็นที่เอิกเกริก และการจากไปในตอนกลางคืนทําให้เราสามารถจับคนมีเจตนาร้ายโดยไม่รู้ตัวได้เช่นกัน สําหรับเรื่องเสื้อผ้า เครื่องแบบของทหารนั้นชัดเจนมาก ถ้าเราสวมมัน… จะไม่เป็นเหมือนการเชื้อเชิญให้พวกโจรมาโจมตีเราหรอกหรือ?”
บางพื้นที่บนภูเขามีโจรอาศัยอยู่ซึ่งเกลียดชังผู้ที่มาจากเมืองหลวงมากเป็นพิเศษ โดยใช้ข้ออ้างเรื่องความไร้ความสามารถของราชสํานัก ทว่าเหตุผลหลักที่อยู่เบื้องหลังคือการปราบปรามเหล่าโจรร้าย
คนจากราชสํานักมักถูกโจรปล้นจนหมดซ้ําแล้วซ้ําเล่า แต่หากพวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้พวกโจรจะโจมตี การโจมตีก็จะไม่รุนแรง เท่ากับการโจมตีที่ขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชัง
เมื่อไปเส้าหลินเข้าใจแรงจูงใจขององค์รัชทายาทและคุกเข่าต่อหน้าชางอู๋ซินทันที “องค์รัชทายาททรงพระปรีชา! กระหม่อมช่างโง่เขลานัก!”
เวลานั้นทหารคนอื่นๆต่างมองไปยังองค์รัชทายาทด้วยความชื่นชม ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทนั้นฉลาดมาก แต่ข่าวลือจะน่าเชื่อถือเท่าความเป็นจริงได้อย่างไร? ปรากฏว่าข่าวลือเป็นจริง!
เล้งหยูเฟิงเหลือบมองที่องค์รัชทายาทในขณะที่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความยินดี เพราะถ้าเป็นเขาก็คงจะทําเช่นเดียวกัน แต่เขาได้พัฒนาความคิดแบบนี้หลังจากผ่านประสบการณ์ที่หนักหน่วงในสนามรบเท่านั้น
ปรากฏว่าองค์รัชทายาทที่เติบโตในวังหลวงกลับาทองค์นี้ไม่ใช่ผู้ที่องค์ชายท่านอื่นสามารถเปรียบเทียบได้มีความสามารถในการคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยที่เล้งหยูเฟิงต้องกล่าวว่ารัชทาย
เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองที่ค่อนข้างศรัทธาของเหล่าทหารชางอู๋ซินกลับรู้สึกไม่พอใจและเร่งม้าของนางไปข้างหน้า ในที่สุดก็เริ่มการเดินทางพร้อมกับทหารที่แข็งแรงลากจูงขบวนรถม้า
“ช้าก่อน!” ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากข้างหลังพวกเขา นางจึงกําสายบังเหียนในมือไว้แน่นและหันศีรษะไปเห็น ฮวนมอเฉอในชุดคลุมสีน้ําเงินขณะที่เขาควบม้าเข้าหานางอย่างรวดเร็ว
ด้วยรูปลักษณ์ของบุรุษที่ห้าวหาญและความงามสง่าที่หายาก เขามองนางด้วยสายตาที่เป็นห่วงเป็นใยบนใบหน้าที่มีรอยยิ้มอันอบอุ่นใจ และรอยยิ้มนั้นทําให้เกิดความรู้สึกถึงการกอดรัดด้วยสายลมฤดูในใบไม้ผลิ
“รัชทายาท ข้าก็อยากไปเช่นกัน!”
ชางอู่ซินเหลือบมองเล้งหยูเฟิงในทันที เนื่องจากเวลาในการออกเดินทางของพวกเขาเป็นความลับซึ่งมีเพียงผู้ที่ร่วมเดินทางเท่านั้นที่รู้ ทว่าฮวนมอเฉอกลับได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นไป ได้ที่เล้งหยูเฟิงคือผู้ที่บอกเขา ยิ่งไปกว่านั้นนางยังทราบดีถึงความสนิทสนมที่ทั้งสองมีต่อกัน
เมื่อสังเกตเห็นการแสดงออกขององค์รัชทายาท เล้งหยูเฟิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงรู้สึกอยากหลบสายตาทันที เขายังไม่ลืมว่าเพื่อนสนิทของเขาสนใจในองค์รัชทายาท ดังนั้นเมื่อฮวนมอเฉอสอบถามเกี่ยวกับการเดินทางไม่หยุดหย่อน เขาจึงเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว โดยเล้งหยูเฟิงทําไปโดยสุจริตใจและไม่คิดว่าเขาทําอะไรผิด
แม้จะไม่ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ทว่าเขาไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น แต่วันนี้เมื่อเขาสบตากับองค์รัชทายาท เขาเริ่มสงสัยว่าตนทําผิดอย่างใด
ตอนนี้ชางอู่ซินรู้ว่ามันสายเกินไปที่จะเข้าไปแทรกแซง อีกทั้งฮวนมอเฉอก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นคนชั้นสูงของเมืองหลวงที่แม้แต่เหล่าองค์ชายและจักรพรรดิยังปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพ ยิ่งไปกว่านั้นนางสังเกตเห็นว่าฮวนมอเฉอได้นําความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรของฝ่าบาทมาด้วย
นางตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาหันหลังกลับและเร่งม้าของตนต่อไป ส่งผลให้ดวงตาของฮวนมอเฉอเปล่งประกายด้วยความสุขก่อนที่จะตามหลังอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เล้งหยูเฟิงถอนหายใจและติดตามทั้งสองไป
อย่างไรเสียทุกคนมีความเชื่อว่าองค์รัชทายาทนั้นบอบบางมาก เนื่องจากแม้เขาจะเป็นผู้ชาย แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงเป็นเพียงหนุ่มน้อยและได้รับการปรนเปรอเสมอมา ดังนั้นเมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์เดินทางข้ามภูเขาไปกับพวกเขาทําให้คนเหล่านี้รู้สึกเคารพบูชาอีกครั้ง
เมื่อพวกเขาเจอปา ชางอู๋ซินและพี่เลี้ยงสองคนของนางได้หยุดม้า แม้พวกเขากําลังเร่งรีบแต่ก็ยังต้องรักษาพลังงานไว้ เนื่องจากเกรงว่าจะได้พบกับภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง
“เราจะพักผ่อนที่นี่!” ชางอู๋ซินลงจากหลังม้าและทุกคนเดินตาม
ส่วนเล้งหยูเฟิงไปตรวจสอบธัญพืชก่อนที่จะกลับมานั่งด้านข้างชางอู๋ซิน โดยมีฮวนมอเฉอยืนอยู่ตรงที่ว่างข้างนาง
ไปเส้าหลินเข้ามาพร้อมอาหารสองสามห่อและพูดกับพวกเขาด้วยความเขินอาย “องค์รัชทายาท แม่ทัพเล้ง ท่านฮวน… ดูเหมือน จะไม่มีสัตว์ในป่านี้ ดังนั้นเราจึงสามารถพึ่งพาอาหารเหล่านี้เพื่อ บรรเทาความหิวของเราเท่านั้น”
ไปเส้าหลินตําหนิตัวเองว่าไม่ได้เตรียมการให้พร้อมเรื่องอาหาร สําหรับแม่ทัพเล้งย่อมไม่เป็นไร เนื่องจากแม่ทัพเล้งมีประสบการณ์ ในสงครามและไม่ต้องสงสัยเลยว่าเคยเห็นอาหารแห้งเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว
ทว่าองค์รัชทายาทและฮวนมอเฉอ…
ไปเส้าหลินแอบมององค์รัชทายาทอย่างประหม่า โดยองค์รัชทายาทเป็นคนที่ไปเส้าหลินชื่นชมอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงกลัวที่จะล่วงเกินอีกฝ่าย
ฮวนมอเฉอมองไปยังอาหารที่แห้งแข็งและคิดว่าแม้ชีวิตในตําหนักไท่จี้จะไม่ฟุ่มเฟือยนัก แต่อาหารที่นั่นยังคงหรูหรา ที่สําคัญยิ่งกว่าคือร่างกายขององค์รัชทายาทนั้นผอมและบอบบาง แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทําให้ฮวนมอเฉอรู้สึกปวดใจ แต่แล้วเขาก็เห็นองค์รัชทายาทกําลังหยิบห่ออาหารแห้งมาและเริ่มเสวยมันอย่างใจเย็น
มารยาทในการรับประทานอาหารขององค์รัชทายาทนั้นงดงามมาก และทุกท่วงท่าของเขามีเสน่ห์ราวกับเขากําลังเสวยอาหารอันโอชะที่หายาก ซึ่งทําให้ผู้ที่ดูมีนงงได้โดยมิต้องสงสัย
หลังจากหายจากอาการมึนงง พวกเขาต่างรู้สึกดีกับองค์ชายท่านนี้มากเป็นพิเศษ ขณะฮวนมอเฉอเห็นว่าองค์รัชทายาทดูเหมือนจะไม่ได้เอ่ยคําข้อตําหนิใดๆ ดังนั้นหัวใจของเขาพลันสงบลงเล็กน้อยและหยิบห่ออาหารขึ้นมาและเริ่มกินเช่นกัน โดยที่เขาอดไม่ได้ที่จะแอบมององค์รัชทายาทเป็นครั้งคราว
ฮวนมอเฉอพบว่าไม่ว่าองค์รัชทายาทจะทําสิ่งใด การกระทํานั้นช่างน่าพึงพอใจและ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจใครสักคนมากถึง เพียงนี้
สําหรับเล้งหยูเฟิง เขาสังเกตวิธีที่องค์รัชทายาทเสวยอาหารอย่างสงบ ในขณะที่เขาเริ่มชื่นชมมากขึ้น เมื่อคิดว่าผู้ที่ดูเหมือนอ่อนแออย่างรัชทายาทไม่ควรมีท่าทีเช่นนี้ มันทําให้เล้งหยูเฟิงรู้สึกว่าการเป็นที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทก็ไม่ได้เลวร้ายนัก
ครั้นไปเส้าหลินเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่รังเกียจอาหารหยาบของพวกเขาแม้แต่น้อย จึงเข้าใจทันที่ว่าเหตุใดการประเมินขององค์ชายโดยบิดาของตนถึงสูงส่งนัก โดยไปเส้าหลินตัดสินใจว่าต่อจากนี้ไป ความจงรักภักดีของเขาจะเป็นของฝ่ายองค์รัชทายาท
เป็นเวลาหลายปีที่เขาละเว้นจากการเข้าร่วมกลุ่มใดๆ ด้วยเหตุผลหลายประการหรืออาจเป็นเพราะไม่มีองค์ชายท่านใดทําให้เขาประทับใจ แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทสามารถให้ไปเส้าหลินเต็มใจที่จะให้คํามั่นว่าจะจงรักภักดีต่อพระองค์
เมื่อทุกคนรีบเอาอาหารแห้งใส่ท้องแล้วจึงพักผ่อน โดยมีส่วนหนึ่งอยู่เบื้องหลังในหน้าที่เวรยาม จากนั้นชางอู๋ซินยืนขึ้นเพื่อจากไป แต่ถูกหยุดโดยคําถามของฮวนมอเฉอ “องค์รัชทายาทท่านจะไปที่ใด?”
“แค่เดินเล่น หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ดังนั้นพวกท่านทั้งสองควรพักผ่อนเสีย!” ชางอู๋ซินมองไปที่เล้งหยูเฟิงซึ่งกําลังเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น “มั่นใจได้ กระหม่อมรู้ดีว่าจะต้องไปอีกไกลแค่ไหนและเมื่อใดควรหยุด”