สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 436 จบลงและเริ่มต้น
ตอนที่ 436 จบลงและเริ่มต้น
……….
สองอาชางามพาเจ้านายของตนวิ่งทะยานไปบนเส้นทางหลวงกว้างใหญ่ ไม่นานก็จากไปไกล
เชียนเฟิงกับผิงอันก็ราวกับเงาติดตามไม่ห่าง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองตามไปเป็นนานก็มิได้ขยับ สายตาของเขาว่างเปล่านานแล้ว
ยังคงเป็นองค์หญิงเจาหยางเอ่ยขึ้นก่อน “เสด็จพี่ กลับเถอะเพคะ”
ระหว่างเส้นทางกลับวัง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามองค์หญิงเจาหยาง “น้องพี่ อาโย่วจะไม่กลับมาเมืองหลวงอีกแล้วใช่ไหม”
องค์หญิงเจาหยางโมโหพี่ชายที่เลอะเลือน แต่เห็นสภาพพี่ชายตอนนี้แล้วก็รู้สึกสงสาร เงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เสด็จพี่กับอาโย่วเป็นพ่อลูกกัน สายโลหิตอย่างไรก็ตัดไม่ขาด วันหน้าเสด็จพี่ก็ปกครองแผ่นดินเมตตาราษฎรให้ดี ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ นำของล้ำค่าจากดินแดนโพ้นทะเลเข้ามาให้มาก ไม่ว่าอาโย่วอยู่ที่ใด ย่อมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ นานวันเข้าก็คงคิดมาพบพวกเราเอง เสด็จพี่ก็ทรงรู้ อาโย่วจิตใจดีเพียงใดก็ยังเป็นเด็กน้อย”
“เรารู้ เรารู้…”
ฮ่องเต้ทรงขี่ม้าออกจากเมืองหลวงกะทันหัน ทำให้บรรดาขุนนางต่างตกใจ ยามนี้มีขุนนางใหญ่มากมายมาออกันอยู่หน้าประตูวัง คาดเดาและวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนใจเป็นกังวล
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์คิดตรัสอันใด แสดงท่าทีให้ซุนเหยียนอธิบายแทน ตรงกลับตำหนักเฉียนชิงกง
ไทเฮากับฮองเฮาโจวกำลังรออยู่ที่ตำหนักเฉียนชิงกง พอเห็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กับองค์หญิงเจาหยางกลับมาพร้อมกัน ก็โล่งอก
“ฝ่าบาท” ฮองเฮาโจวเข้ามารับเสด็จ
ไทเฮามองประเมินบุตรชายอย่างละเอียด มองตั้งแต่บนลงล่าง จึงได้วางใจ “ฮ่องเต้ ข้าได้ยินว่าพลันทรงอาชาออกจากวังไป เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถอดเสื้อคลุมกันลมส่งให้ขันทีแล้วก็เช็ดพระหัตถ์ด้วยผ้าอุ่นแล้วจึงได้ตรัสว่า “อาโย่วไปจากเมืองหลวงแล้ว”
แววพระเนตรฮองเฮาโจวแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ก็เงียบอย่างรู้ความ
ไทเฮาสีพระพักตร์ตกพระทัย “นางไปทำไม”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้สึกอ่อนล้าจนแทบไม่อยากตรัสอันใด ความอ่อนล้านี้ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ
องค์หญิงเจาหยางตอบแทนว่า “อาโย่วออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วทิศเพคะ”
“ท่องเที่ยวทั่วทิศ?” ไทเฮายิ่งตกพระทัย “นางเป็นสาวน้อยเที่ยวคนเดียวไปทั่วได้หรือ”
“ไม่ใช่คนเดียว แต่มีฉางเล่อโหวอารักขา”
ยังพาผู้ชายไปด้วย?
ไทเฮาตกพระทัยอ้าพระโอษฐ์ค้าง พระเนตรมองบุตรชายหญิงอย่างไม่อยากเชื่อ
ไม่แต่งงาน ไม่ต้องการครอบครัว หนีไปกับผู้ชายแล้วหรือ
ไม่มีผู้ใดรู้จักมารดาไปกว่าบุตรสาว องค์หญิงเจาหยางกระตุกมุมปาก ก่อนที่มารดาจะสบถวาจาหยาบคายออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “อาโย่วรักอิสระ เช่นนี้ไม่ดีหรือ”
“ดีอันใดกัน เหลวไหลสิ้น…”
“เสด็จแม่” องค์หญิงเจาหยางกวาดสายพระเนตรไปทางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ เตือนสติไทเฮาว่าบุตรชายที่รักอยู่ในอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
ไทเฮารักบุตรชายที่สุด พอถูกเตือนสติเช่นนี้ ก็หันไปปลอบฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “ฮ่องเต้อย่าได้อาลัยอาวรณ์เด็กนั่น ฮ่องเต้ลองคิดดู นางไม่ต้องต้อนรับแขกเหรื่อตามมารยาท ไม่ต้องดูแลบ้าน คิดอยากไปไหนก็ไป ข้าจำได้ว่าฉางเล่อโหวรูปหล่อมาก มีหนุ่มน้อยรูปงามเพียงนี้ติดตามไปด้วย มีความสุขเพียงใด…”
องค์หญิงเจาหยางยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง “เสด็จแม่!”
นางรู้สึกได้ถึงความอิจฉาจากน้ำเสียงของมารดาตนอย่างไม่รู้ตัว
“แค็กๆ ความหมายของข้า เป็นบิดามารดาไม่ใช่หวังให้บุตรมีชีวิตที่ดีหรือ”
คำพูดนี้ปลอบประโลมพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้จริง “ข้าเข้าใจแล้ว เสด็จแม่ ฮองเฮา น้องพี่ พวกเรากลับกันเถอะ”
ไทเฮาพยักหน้า ยื่นพระหัตถ์ให้องค์หญิงเจาหยาง
องค์หญิงเจาหยางจำต้องประคองแขนไทเฮา ส่งนางกลับตำหนักฉือหนิงกง
มาถึงตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮารีบสอบถามรายละเอียด
องค์หญิงเจาหยางเองก็มิคิดปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด
ไทเฮาฟังจนอ้าพระโอษฐ์ค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ตรัสว่า “เด็กนี่ดื้อรั้นเหมือนมารดานางไม่มีผิด!”
“เสด็จแม่ วันหน้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าเสด็จพี่นะเพคะ”
“ยังต้องให้เจ้าบอกหรือ” ไทเฮาค้อนใส่บุตรสาวทีหนึ่ง แต่ก็อดบ่นไม่ได้ “เด็กนี่โง่หรือ เป็นองค์หญิงดีๆ ไม่เป็น…”
แน่นอนองค์หญิงเจาหยางมิได้ว่างมาโต้เถียงกับมารดา ฟังไทเฮาบ่นพอแล้ว ก็ปล่อยนางไป
“ตามคุณชายใหญ่กลับมาหาข้า!” องค์หญิงเจาหยางกลับถึงจวนองค์หญิงใหญ่ก็ตบโต๊ะสั่งการ
ข่งรุ่ยกำลังศึกษาของเล่นใหม่ ไม่รู้เรื่องที่เกิดเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ท่านแม่ตามลูกกลับด้วยเรื่องอันใดหรือ”
“เจ้าคุกเข่า!”
ข่งรุ่ยตกตะลึง มองดูมารดาสีหน้าดำทะมึน ก็รีบคุกเข่าลงทันที
“เดี๋ยวก่อน” องค์หญิงเจาหยางห้ามไว้ สั่งนางกำนัลว่า “เอาลูกคิดนั่นมา”
นางข้าหลวงมองข่งรุ่ยอย่างเห็นใจทีหนึ่ง ไม่นานก็หยิบลูกคิดที่ใหญ่กว่าปกติออกมาวางตรงหน้าข่งรุ่ย
“คุกเข่าบนนี้”
ข่งรุ่ยคุกเข่าลงไปแต่โดยดี ถามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่รู้ว่าข้าทำอันใดผิด ทำให้ท่านแม่โกรธเพียงนี้”
ลูกคิดนี้ไม่ได้นำออกมาใช้นานแล้ว ถึงกับเก็บรักษาไว้อย่างดี
“วันนี้อาโย่วไปแล้ว เพราะพลุควันที่เจ้าคิดค้นขึ้นมา ถูกฮ่องเต้ไล่ตามทัน…” องค์หญิงเจาหยางเล่าจบก็ด่าบุตรชาย “หากมิใช่ฮ่องเต้รู้พระองค์ทัน เกรงว่าอาโย่วก็คงเกิดเรื่องแล้ว!”
ข่งรุ่ยได้ยินก็ตกใจ “ยังดีที่น้องอาโย่วไม่เป็นอันใด”
“นั่นเพราะฮ่องเต้ยังมิได้ขาดพระสติ แต่ความคิดคนเรา ผู้ใดจะแน่ใจได้ทั้งหมด หากไม่มีพลุควันของเจ้า อาโย่วก็คงหนีไปได้อย่างราบรื่นแล้ว ไม่ต้องผ่านเรื่องราวน่าตกใจเช่นวันนี้…”
ข่งรุ่ยรู้ว่ามารดาโมโหเพราะรู้สึกกลัวเหตุการณ์ตอนนั้นขึ้นมา เอ่ยเบาๆ ว่า “ก็มิใช่ความผิดของพลุควัน…”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
ข่งรุ่ยรีบก้มศีรษะ “ข้าผิดไปแล้ว”
ณ เส้นทางชานเมืองหลวง ซินโย่วขี่ม้าวิ่งทะยานไป วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่หยุด จนกระทั่งม้าวิ่งไม่ไหวจึงได้หยุดลง
ผืนฟ้าผืนแผ่นดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา พลันไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
ซินโย่วลงจากหลังม้า เฮ่อชิงเซียวเองก็ลงจากหลังม้า
เชียนเฟิงกับผิงอันมาจูงม้าไปดื่มน้ำ ให้เวลาส่วนตัวกับทั้งสอง
ซินโย่วซุกใบหน้าลงในอ้อมกอดเฮ่อชิงเซียว ออกแรงทุบเขาเต็มแรง
ร่างกายนางสั่นเทารุนแรง ไม่ได้ ‘เห็นภาพ’ เขาปลิดชีวิตตนเองอีกแล้ว ค่อยๆ คลายความกลัวลง ‘
เฮ่อชิงเซียวโอบกอดนางไว้ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน
เขาไม่กล้านึกภาพ และไม่อาจทนเห็นอาโย่วตายลงตรงหน้าเขาได้
เขาจะต้องกลายเป็นคนเสียสติที่รู้จักแต่ยกดาบสังหารคนเป็นแน่ สังหารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลั่งโลหิตหยดสุดท้าย ก็ไม่อาจสลายความเจ็บปวดและคับแค้นในใจเขาได้
และเพราะเป็นเช่นนี้ เขาจึงได้เข้าใจว่าหากอาโย่วเห็นเขาตายด้วยตาตนเอง ก็คงเจ็บปวดไม่แพ้กัน
เขารู้สึกนึกหวาดกลัวขึ้นมายามนึกว่าเกือบสูญเสียอาโย่วไป และหากเขาตายไป ก็จะนำความเจ็บปวดมาให้อาโย่วเช่นกัน
“เฮ่อชิงเซียว เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเจ้าปลิดชีวิตตนเองเพื่อข้า ข้าจะทำเช่นไร” ซินโย่วคว้าแขนเฮ่อชิงเซียวไว้แน่นเอ่ยถามอย่างโมโห
“อาโย่ว ขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว”
“ข้าผิดไปแล้ว! เจ้าจะให้ข้าต้องทนเจ็บปวดเพราะสูญเสียคนรักไปอีกครั้งหรือ ไม่ เจ็บปวดยิ่งกว่า! เพราะเจ้าตายเพราะข้า หากข้าแก้แค้น ก็ได้แต่แก้แค้นตัวข้าเอง!” ซินโย่วน้ำตาไหลพรากอย่างหยุดไม่อยู่ “เจ้าจะให้ข้าเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ แล้วก็ชดใช้ชีวิตให้เจ้า ไม่มีผู้ใดโหดเหี้ยมยิ่งไปกว่าเจ้าอีกแล้ว…”
ซินโย่วได้กอดเขาที่ยังมีชีวิต ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นของร่างกายเขา ในห้วงเวลานี้นางรู้สึกขอบคุณดวงตาพิเศษคู่นี้ของนาง
“ข้ารู้แล้ว อาโย่ว ข้าขอรับรองกับเจ้า วันหน้าข้าจะทะนุถนอมชีวิตอย่างที่สุด…” เฮ่อชิงเซียวยกมือเช็ดน้ำตาให้นาง แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหลทะลัก ได้แต่ประคองใบหน้านางเอาไว้ จุมพิตดวงตานาง สองแก้มของนางและริมฝีปากนาง
…
หลายวันผ่านไป ตอนเจี้ยงซวงจัดห้องหนังสือ ก็พบจดหมายสองสามฉบับ ฉบับบนสุดเขียนให้นาง
ก่อนเปิดจดหมาย เจี้ยงซวงตั้งใจไปล้างมือก่อนแกะซองออกอ่านอย่างระมัดระวัง
อักษรงดงามตวัดเบาบางปรากฏสู่ม่านตา “เจี้ยงซวง จากไปโดยมิได้อำลา ขออภัยอย่างยิ่ง เรื่องทุกอย่างก็ขอฝากเจ้าดำเนินการด้วย…”
เจี้ยงซวงอ่านจบ ก็ปาดน้ำตา ยังคงไม่อาจระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ ซบตัวลงบนโต๊ะร่ำไห้เสียงดัง ก่อนจะไปจัดการตามคำสั่งมอบหมายของซินโย่ว
จดหมายมีหลายฉบับ ฉบับหนึ่งเขียนให้เจ้าแปด ฉบับหนึ่งเขียนให้เสี่ยวเหลียน ฉบับหนึ่งเขียนให้หัวหน้าหก ฉบับหนึ่งเขียนให้ผู้จัดการร้านหู ฉบับหนึ่งเขียนให้องค์หญิงเจาหยาง
เจี้ยงซวงส่งคนนำจดหมายไปให้เสี่ยวเหลียนกับหัวหน้าหกก่อน แล้วค่อยส่งคนไปตามเจ้าแปดมา
ตอนเจ้าแปดรู้ว่าซินโย่วจากไปก็มารอบหนึ่งแล้ว ตอนได้รับจดหมายก็รีบมาทันที ถามอย่างกังวลว่า “เจี้ยงซวง มีเรื่องอันใด รบกวนพี่บอกข้าด้วย…”
“นี่คือจดหมายที่คุณหนูทิ้งไว้ให้เจ้า”
เจ้าแปดหน้าแดงเล็กน้อย “ข้าไม่รู้หนังสือ”
เขาแอบไปเรียนกับอาจารย์ น่าเสียดายก้าวหน้าช้ามาก อาจารย์บอกว่าเขามีพรสวรรค์ในการเรียนหนังสือน้อยอยู่สักหน่อย
“เช่นนั้นข้าให้คนมาอ่านให้เจ้าฟัง หรือว่าให้ข้าอ่านให้เจ้าฟัง”
“รบกวนพี่เจี้ยงซวงแล้ว”
ดังนั้นเจี้ยงซวงจึงอ่านจดหมายให้เจ้าแปดฟัง ในจดหมายเนื้อความไม่มาก ความหลักก็คือบอกเจ้าแปดว่าหากวันหน้าโรงนาอูอวิ๋นพบเจอเรื่องยากลำบากให้ไปขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงเจาหยางได้
โรงนาอูอวิ๋นมีคนสองร้อยกว่า คนที่เคยเป็นโจรภูเขาอย่างไรก็ต่างจากชาวบ้านทั่วไป มีเพียงสถานะเช่นองค์หญิงเจาหยางจึงจะเอาอยู่
เจ้าแปดประคองจดหมายสะอื้นไห้ “คุณหนูไปแล้วยังไม่ลืมพี่น้องเรา…”
เจี้ยงซวงรู้สึกเห็นใจไปด้วย ก่อนจะไปร้านหนังสือชิงซง
ร้านหนังสือชิงซง ตอนมีลูกค้าเข้าร้าน พวกผู้จัดการร้านหูก็ตั้งใจต้อนรับเต็มที่ พอลูกค้าไปแล้ว บ้างก็เหม่อลอย บ้างก็ถอนหายใจ หลายวันนี้ตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมกลัดกลุ้ม
พอมีเสียงเคลื่อนไหวหน้าประตู หลิวโจวก็มองไปอย่างไม่มีกะจิตกะใจเท่าไร นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็กระโดดตัวลอยขึ้น “พี่เจี้ยงซวง?”
ผู้จัดการร้านหูเองก็รีบลุกขึ้นสีหน้าเข้มขึ้นมา
เจี้ยงซวงมาร้านหนังสือต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าของร้านเป็นแน่
“ผู้จัดการร้าน เจ้าของร้านมีธุระมอบหมายข้ามา สะดวกคุยไหม” เจี้ยงซวงเคยพักอยู่เรือนตะวันออกของร้านหนังสือระยะหนึ่ง คุ้นเคยกับคนในร้านหนังสือดี
ผู้จัดการร้านหูชี้ไปยังห้องรับแขก เดินนำเจี้ยงซวงเข้าไป
หลิวโจวมองไปยังประตูห้องรับแขกถอนหายใจ กล่าวกับสือโถวว่า “เมื่อก่อนเจ้าของร้านกับใต้เท้าเฮ่อคุยกันที่นั่น”
วันหน้าก็คงไม่ได้เห็นภาพนั้นอีกแล้ว
หลิวโจวรู้สึกปวดใจ
สือโถวเองก็ไม่แตกต่าง ก้มศีรษะนิ่งเงียบ
ซินโย่วจากไปกะทันหัน คล้ายดังกระชากกระดูกค้ำร้านหนังสือชิงซงไปด้วย ทุกคนล้วนไม่มีกะจิตกะใจทำงาน
เจี้ยงซวงนั่งลงในห้องรับแขกไม่ใหญ่นัก วางกล่องในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบกล่องไม้ในหีบออกมา
“คุณหนูทิ้งจดหมายให้ข้าบอกว่านี่คือต้นฉบับ ให้ข้ามอบให้ผู้จัดการร้าน”
ผู้จัดการร้านหูนิ่งอึ้งไปทันที จ้องมองกล่องสี่เหลี่ยมด้วยดวงตาแดงก่ำ
ท่านเจ้าของร้านถึงกับยังทิ้งต้นฉบับนิยายใหม่ไว้ให้ร้านหนังสือ…
เขาลูบกล่องไม้อย่างทะนุถนอม รอบแล้วรอบเล่า
“นี่คือจดหมายที่คุณหนูฝากให้ผู้จัดการร้าน” เจี้ยงซวงส่งจดหมายให้ไ
ผู้จัดการร้านหูรับจดหมายมา รีบเปิดออกอ่านทันที อ่านไปๆ มือก็เริ่มสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายชายชราก็วางจดหมายลง ก่อนแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น
แม้ว่าเจี้ยงซวงไม่รู้ว่าซินโย่วเขียนจดหมายใดให้ผู้จัดการร้านหู แต่ทว่าจากจดหมายที่เขียนให้นาง ให้นางนำสัญญาร้านหนังสือชิงซงมาก็พอแอบคาดเดาได้
พวกหลิวโจวได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้จัดการร้านหูก็รีบวิ่งมายังประตูห้องรับแขกถามอย่างเป็นห่วง
“หลิวโจว สือโถว พวกเจ้าเข้ามา” ผู้จัดการร้านหูตะโกนเรียกพร้อมเสียงสะอื้น
เจี้ยงซวงเอ่ยว่า “เชิญคุณหนูจูเข้ามาด้วยเถอะ”
ดูจากท่าทีผู้จัดการร้านหู ในจดหมายเขาไม่ได้เอ่ยถึงคุณหนูจู แต่ทว่าคุณหนูเอ่ยถึงในจดหมายของนาง
ไม่นานสามคนก็เข้ามา เดิมห้องรับแขกก็ไม่ใหญ่นัก ตอนนี้ก็เริ่มเบียดเสียดอยู่สักหน่อย
“ผู้จัดการร้านร้องไห้ทำไม” หลิวโจวสนิทกับผู้จัดการร้านหูที่สุด ก็เอ่ยถามขึ้นคนแรก
ผู้จัดการร้านหูชี้ไปยังจดหมายบนโต๊ะ ให้หลิวโจวอ่าน
หลิวโจวหยิบขึ้นมาอ่านแล้วก็ร้องไห้ดังยิ่งกว่าผู้จัดการร้านหูเมื่อครู่
สือโถวมองผู้จัดการร้านหู มองหลิวโจวแล้วก็ตกใจไปทันที
ผู้จัดการร้านหูค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้แล้วก็เตะหลิวโจวทีหนึ่ง กล่าวกับสือโถวว่า “ท่านเจ้าของร้านมอบร้านหนังสือชิงซงให้พวกเรา ข้าได้สี่ส่วน สือโถวกับหลิวโจวคนละครึ่งส่วน อีกสามส่วนเอามาเป็นเงินช่วยเหลือชาวบ้านตกยากและงานกุศลต่างๆ”
สือโถวฟังแล้วก็อึ้งไป ชี้ตนเองอ้าปากค้าง “ข้าก็มีส่วน?”
เขาได้ทำงานในร้านหนังสือชิงซงได้ล้วนเพราะเจ้าของร้านกับผู้จัดการร้านใจดีมีเมตตา พี่หลิวโจวมีก็แล้วไป แต่เหตุใดเขาจึงมีส่วนด้วย!
แม้สือโถวอายุไม่มาก แต่ทว่าเป็นคนมีเหตุผลกระจ่างชัด แสดงท่าทางว่ารับไว้ไม่ได้
ด้วยกำไรของร้านหนังสือชิงซง เพียงแค่ครึ่งส่วนก็เป็นรายรับที่น่าตกใจมากแล้ว และยังได้ทุกปี
ผู้จัดการร้านหูเอ่ยว่า “นี่เป็นการจัดการของท่านเจ้าของร้าน ท่านเจ้าของร้านย่อมต้องมีเหตุผล เจ้าคิดว่าเป็นคนงานตัวเล็กๆ ไม่คู่ควรรับ ข้าเองก็ทำงานให้นาย ควรได้รับถึงสี่ส่วนหรือ”
ความจริงผู้จัดการร้านหูเองก็ยังรู้สึกงุนงง
รายได้ของร้านหนังสือชิงซง เจ้าของร้านแบ่งให้สือโถวครึ่งส่วน แต่ทว่าไม่เอ่ยถึงจูเสี่ยวเยวี่ย ส่วนหลิวโจวนั้นไม่แปลกใจ เจ้าของร้านให้ความสำคัญกับน้ำใจผูกพัน ความสัมพันธ์กับหลิวโจวสนิทกว่าสือโถวและเสี่ยวเยวี่ยมาก
ไม่ใช่ว่าสือโถวมี จูเสี่ยวเยวี่ยก็ต้องมี เพียงแต่ทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นคนงาน คนหนึ่งเป็นคนคิดบัญชี หากเจ้าของร้านคิดถึงเรื่องนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีส่วนของจูเสี่ยวเยวี่ย
นอกจากเจ้าของร้านมีเหตุอื่น…
ผู้จัดการร้านหูสูงวัยย่อมฉลาด ไม่ได้แสดงความสงสัยออกมาแม้สักนิด เอ่ยต่อว่า “เจ้าของร้านยังมีจดหมายถึงคุณชายรองต้วนกับคุณหนูสามต้วนด้วย”
เจี้ยงซวงนับดูในใจ ครบแล้ว
นางหยิบสัญญาร้านที่พกติดตัวมาส่งให้ผู้จัดการร้านหู “นี่คือสัญญากรรมสิทธิ์ร้านหนังสือชิงซง ผู้จัดการร้านเก็บให้ดี”
ผู้จัดการร้านหูรับมาด้วยสองมือสั่นเทา
เจี้ยงซวงหยิบกล่องอีกใบออกมาจากหีบส่งให้จูเสี่ยวเยวี่ย “คุณหนูจู นี่คือกล่องที่คุณหนูมอบให้ท่าน”
จูเสี่ยวเยวี่ยสีหน้าแปลกใจ “ท่านเจ้าของร้านให้ข้า?”
เจี้ยงซวงพยักหน้า “คุณหนูจูไม่ใช่ว่าจะออกเรือนแล้วหรือ ในจดหมายคุณหนูบอกว่าเสียดายไม่ได้ดื่มสุรามงคลของท่านกับใต้เท้าเหอ”
จูเสี่ยวเยวี่ยขอบตาแดงก่ำรับกล่องมาเปิดออกดู เป็นมงกุฎทองคำฝังทับทิมที่หรูหราชุดหนึ่ง ยามนี้ไม่อาจบังคับน้ำตาได้อีก
นางสูญเสียบิดาและมารดาไป เข้าเมืองหลวงมาตัวคนเดียว คิดแก้แค้นด้วยชีวิต นางคิดไม่ถึงว่าจะได้มีคนรัก ได้มีสหาย และมีชีวิตที่ราบรื่นสุขสงบได้
น้ำตานางหยดลงไปบนทับทิมบนมงกุฎ ทับทิมยิ่งส่องแสงแวววาว
เจี้ยงซวงกลับไปแล้ว ผู้จัดการร้านหูก็ให้หลิวโจวไปเชิญต้วนอวิ๋นหลางกับต้วนอวิ๋นหลิงมา
หลังรองเจ้ากรมต้วนถูกปลด คนตระกูลต้วนย้ายออกจากจวนรองเจ้ากรม ซื้อบ้านธรรมดาทั่วไปสองหลัง ฮูหยินผู้เฒ่า อ้อ ตอนนี้ได้แต่เรียกว่า นายหญิงผู้เฒ่าออกหน้าให้สองพี่น้องแยกเรือนกัน
อย่าได้เห็นว่าสุดท้ายตระกูลต้วนคายสมบัติของโค่วชิงชิงออกมา ความจริงอูฐผอมตายก็ยังใหญ่กว่าม้า หลายปีมานี้เงินต่อเงิน ยังได้ดำเนินกิจการร้านค้าหลายแห่งและมีที่นาไม่น้อย
นายหญิงผู้เฒ่าลำเอียงอย่างเปิดเผย แบ่งบ้านหลังเล็กให้บ้านสอง ร้านค้าหนึ่งร้านและที่ดินจำนวนหนึ่ง ที่เหลือเป็นของบุตรชายคนโตนาง
แน่นอนว่านายหญิงผู้เฒ่าอยู่กับบ้านหนึ่ง
ต้วนเหวินซงพาต้วนอวิ๋นหลางไปด้วย สองพ่อลูกร่วมกันดูแลร้านค้า ต้วนอวิ๋นหลางเป็นคนเปิดเผยจริงใจ ต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้น การค้าดีกว่าเมื่อก่อนมาก
เห็นหลิวโจวเข้ามา ต้วนอวิ๋นหลางมิได้มีท่าทางคุณชายสูงส่งเหมือนตอนเรียนอยู่สำนักกั๋วจื่อเจี้ยนก็รู้สึกเก้กังยิ้มถามว่า “น้องหลิวโจว ต้องการซื้ออันใดหรือ”
“ข้าน้อยมิได้มาซื้อของ เจ้าของร้านเรามีของมอบให้คุณชายรองต้วน ขอท่านไปร้านหนังสือชิงซงสักหน่อย”
“อาโย่วมีของมอบให้ข้า?” ต้วนอวิ๋นหลางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะมีสีหน้าเสียใจอยู่บ้าง
ตอนเขาได้ยินข่าวว่าอาโย่วไปจากเมืองหลวงก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ในใจก็มักรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ยามค่ำคืนนอนอยู่บนเตียงก็มักจะนอนไม่หลับ หลังสูญเสียน้องชิงไป วันหน้าก็จะไม่ได้เห็นน้องอาโย่วอีกแล้ว
“ขอรับ ขอคุณชายรองต้วนตามข้าน้อยไป”
ต้วนอวิ๋นหลางรีบโบกมือ “ตอนนี้ข้ามิใช่คุณชายอันใดแล้ว น้องหลิวโจวเรียกข้าพี่ต้วนก็พอ”
หลิวโจวลังเลก่อนเอ่ยว่า “พี่ต้วน ท่านเจ้าของร้านยังมีของมอบให้คุณหนูสามต้วน รบกวนท่านตามไปพร้อมกัน”
ต้วนอวิ๋นหลิงออกเรือนแล้ว ต้วนอวิ๋นหลางพาหลิวโจวไปบ้านสามีของต้วนอวิ๋นหลิง
ตระกูลสามีนางแซ่หลี่ว์ บิดาสามีรับตำแหน่งอยู่ในสำนักพระราชยานหลวงเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเป็นลูกน้องต้วนเหวินซงก่อนที่ต้วนเหวินซงจะถูกปลดจากตำแหน่ง
ตอนตระกูลต้วนล้ม นายหญิงผู้เฒ่ารอคนมาสู่ขอ กลัวว่าตระกูลหลี่ว์จะถอนหมั้น แต่อีกฝ่ายมิได้ยกเลิกการหมั้น แต่งต้วนอวิ๋นหลิงไปตามกำหนด
ต้วนอวิ๋นหลางไปถึงบ้านสามีนางก็รออยู่ในเรือนบุปผา คนเฝ้าประตูเข้าไปแจ้งข่าว
ได้ยินว่าพี่รองมาหา มารดาสามีต้วนอวิ๋นหลิงก็ขมวดคิ้ว เอ่ยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปเถอะ”
กับสะใภ้คนนี้ ความจริงนางก็หาข้อบกพร่องไม่ได้ หน้าตาดี นิสัยคล่องแคล่ว ไม่ได้มีท่าทางขลาดกลัวเพราะตระกูลเดิมตนเกิดเรื่อง แต่พอคิดถึงตระกูลเดิมของนางตกต่ำ นางก็ยากจะระงับความกล้ำกลืน
เห็นชัดว่าบุตรชายนางหาคู่ครองได้ดีกว่านี้ แต่ทว่าชื่อเสียงว่าทอดทิ้งยามคนลำบากพวกนี้ ตระกูลหลี่ว์ไม่คิดแบกรับ จำต้องลำบากบุตรชายแล้ว
“พี่รองมาได้อย่างไร ที่บ้านมีเรื่องหรือ” เห็นต้วนอวิ๋นหลางดื่มน้ำชาอยู่ในห้องโถง ต้วนอวิ๋นหลิงก็ขอบตารื้น
หลังสถานะคุณหนูซินเปิดเผย ชีวิตนางในบ้านก็ดีขึ้นมาก แต่หลังแต่งเข้าตระกูลหลี่ว์มีสถานะสะใภ้ กลับต้องทนกล้ำกลืนทั้งที่แจ้งและที่ลับไม่น้อย
นางกัดฟันทน ยากทุกข์ใจก็นึกถึงคุณหนูซิน
จะลำบากอย่างไร จะลำบากเหมือนตอนคุณหนูซินเพิ่งมาถึงตระกูลต้วนหรือ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่คุณหนูซินอยู่ตระกูลต้วนนั้น สอนให้นางกล้าหาญ นางไม่มีวันลืมที่คุณหนูซินเคยบอกนาง ความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ล้ำค่าที่สุดตลอดไป โดยเฉพาะพวกเราที่เป็นสตรี
นางมีความกล้าหาญเผชิญหน้ากับคนที่หาเรื่องนางพวกนั้น นางจะดำรงชีวิตให้ดี
“น้องหลิง ได้ยินข่าวอาโย่วไปจากเมืองหลวงแล้วหรือยัง”
ต้วนอวิ๋นหลิงสีหน้าแปรเปลี่ยน ก่อนจะส่ายหน้า
นางเป็นเพียงสะใภ้เพิ่งแต่ง ไม่สะดวกออกนอกบ้าน และบ้านสามีก็ไม่เอ่ยเล่าอันใดกับนางมาก
ต้วนอวิ๋นหลางเล่าคร่าวๆ แน่นอนข่าวที่แพร่ในหมู่ชาวบ้านย่อมมิใช่ฉบับบทสนทนาพ่อลูก แต่เป็นเรื่องฝ่าบาทอาลัยบุตรีที่ทรงโปรดยิ่ง เสด็จออกไปส่งด้วยพระองค์เอง
“อาโย่วมอบของให้พวกเรา อยู่ที่ร้านหนังสือชิงซง พวกเราไปด้วยกันหน่อย”
ต้วนอวิ๋นหลิงพยักหน้า ให้ต้วนอวิ๋นหลางนั่งสักครู่ กลับขออนุญาตมารดาสามี
“ข้าขออนุญาตออกไปข้างนอกสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“นี่ก็บ่ายแล้ว ออกไปทำไมกัน” แม่สามีคิดไปเองว่าต้วนอวิ๋นหลิงจะกลับบ้านไปพบกับคนตระกูลต้วนที่โอรสสวรรค์มิทรงโปรด แน่นอนว่านางไม่ยินดีให้สะใภ้กลับไป
ต้วนอวิ๋นหลิงเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “คุณหนูซินออกเดินทางจากไปแล้ว มีของให้สะใภ้อยู่ที่ร้านหนังสือชิงซง”
ชื่อเสียงคุณหนูซินโด่งดังทั่วเมืองหลวง เรียกได้ว่าทุกคนล้วนรู้กันทั่ว นางรีบเก็บสีหน้าไม่พอใจทันที เลียบเคียงถามว่า “เจ้าสนิทกับคุณหนูซินไม่เลว?”
ต้วนอวิ๋นหลิงหลุบตาลง “คุณหนูซินดูแลข้าดังน้องสาวแท้ๆ มาตลอด”
หากไม่เป็นการทำให้ผู้อื่นลำบาก สิ่งที่นางนำมาใช้ประโยชน์ได้ย่อมนำมาใช้เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก
ดังคาดสีหน้ามารดาสามีนางจึงอ่อนลง “เช่นนั้นก็ไปเถอะ รีบไปรีบกลับ”
ต้วนอวิ๋นหลิงกับต้วนอวิ๋นหลางรีบมายังร้านหนังสือชิงซง ถูกหลิวโจวพาไปยังห้องรับรองทันที
ต้วนอวิ๋นหลางทนไม่ไหวเอ่ยว่า “อาโย่วมักดื่มน้ำชาอยู่ที่นี่”
ผู้จัดการร้านหูเองก็ไม่อ้อมค้อม นำสัญญาออกมาให้ต้วนอวิ๋นหลางดู
ต้วนอวิ๋นหลางดูแล้วก็ส่งสัญญาให้ต้วนอวิ๋นหลิงดูด้วยสีหน้างุนงง
ต้วนอวิ๋นหลิงดูสัญญาเสร็จก็ตกใจอ้าปากค้าง มองไปยังผู้จัดการร้านหู
“หากทั้งสองท่านได้ดูแล้ว ก็ลงนามประทับลายนิ้วมือในสัญญา วันหน้าทุกอย่างก็ดำเนินตามสัญญา”
สัญญาเหมือนกันหกฉบับ แบ่งสัดส่วนให้แต่ละคน เขียนไว้กระจ่างชัด
“ผู้จัดการร้านเข้าใจผิดหรือไม่ พวกเรามิได้เกี่ยวข้องอันใดกับร้านหนังสือชิงซง…”
ผู้จัดการร้านหูยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าของร้านเรามอบให้กับคุณชายรองต้วนกับคุณหนูสามต้วน ทั้งสองท่านจะต้องรับไว้ อย่าได้เสียน้ำใจเจ้าของร้านเรา”
ได้ยินผู้จัดการร้านหูกล่าวเช่นนี้ ต้วนอวิ๋นหลางกับต้วนอวิ๋นหลิงก็ไม่ปฏิเสธอีก
ผู้จัดการร้านหูเชิญผู้ดูแลจ้าวที่ดูแลโรงพิมพ์มาเป็นคนกลาง แต่ละคนลงนามประทับลายนิ้วมือเสร็จแล้วก็มอบให้กับห้าคนที่มีส่วนแบ่งในร้านหนังสือคนละฉบับกับผู้ดูแลจ้าวในฐานะคนกลางอีกหนึ่งฉบับ
ต้วนอวิ๋นหลิงนั่งรถม้ากลับไป เริ่มหลั่งน้ำตาเงียบๆ ในรถม้า
ต้วนอวิ๋นหลางไม่เข้าใจ “น้องหลิง ร้องไห้ทำไม อาโย่วนึกถึงพวกเรา ไม่ควรดีใจหรือ”
เขาดีใจมาก อาโย่วบอกว่าเห็นเขาเป็นพี่ชาย ไม่ใช่คำลวงหลอกเขา
ต้วนอวิ๋นหลิงปิดหน้า น้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม “ข้าดีใจ จึงได้ร้องไห้…”
นางอยู่ร่วมกับคุณหนูซินไม่นานนัก แต่คุณหนูซินกลับให้ความมั่นใจจนนางกล้าเผชิญหน้ากับชีวิต
ต้วนอวิ๋นหลางกลับถึงร้านค้าตนเอง ไม่รอให้บิดาถามก็เล่าถึงสาเหตุที่ไปร้านหนังสือชิงซงด้วยตนเอง
ต้วนเหวินซงได้ฟังแล้วก็เงียบงันไปนาน ถอนหายใจเรียกต้วนอวิ๋นหลางกลับบ้านไปร่ำสุราด้วยกัน
มิใช่ดีใจกับของล้ำค่าตกจากฟ้าของบุตรชาย แต่อารมณ์สับสนมาก มีเพียงร่ำสุราเท่านั้นจึงจะทำให้รู้สึกสบายขึ้น
“เหตุใดพอกลับมาก็ดื่มสุราล่ะ” จูซื่อถามอย่างไม่เข้าใจ
ได้ยินต้วนอวิ๋นหลางเล่าแล้ว จูซื่อก็เงียบงันไปนาน เทสุราดื่มเงียบๆ เช่นกัน
ส่วนต้วนอวิ๋นหลิง กลับถึงบ้านสามีก็เล่าเรื่องทุกอย่าง จากนี้ไปก็จะมีชีวิตที่ดี
องค์หญิงเจาหยางเห็นเจี้ยงซวงนำจดหมายมาก็ครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ผ่านไปหลายวัน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คล้ายดังปกติแล้ว เพียงแต่ตอนออกว่าราชการท้องพระโรงจะเคร่งเครียดอยู่สักหน่อย บรรดาขุนนางยื่นฎีกากันน้อยมากเป็นพิเศษ
“เสด็จพี่ยังจำคนที่อาโย่วพากลับมาจากทางใต้ได้หรือไม่เพคะ”
“จำได้ ทำไมหรือ”
“เสด็จพี่ไม่ได้ตรัสว่าจะเปิดเส้นทางทางทะเลหรือ หม่อมฉันอยากลองถามคนเหล่านี้ดูว่าอยากออกเดินทางไปหรือไม่ ไม่ใช่ในชื่อของราชสำนัก ให้ถือว่าเป็นชาวบ้านออกทะเลสำรวจเส้นทาง คนเหล่านี้ภักดีต่ออาโย่ว หากได้พบกับอาโย่ว และอาโย่วยินดีใช้งานพวกเขา ข้างกายนางก็จะมีคนปกป้อง พวกเราก็จะวางใจได้บ้าง เสด็จพี่คิดเห็นเช่นไรเพคะ”
“น้องพี่เสนอได้ไม่เลว เรื่องพวกนี้เราจะจัดการต่อเอง”
เดิมฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดว่าการยกเลิกคำสั่งปิดกั้นเส้นทางทางทะเลจะค่อยๆ ดำเนินการไปทีละก้าว ปีนี้ส่งราชทูตออกทะเลไปอีกชุด อีกสองสามปีให้ได้ข่าวเกี่ยวกับดินแดนโพ้นทะเลมากกว่านี้ ค่อยลองเปิดเส้นทางทะเล
แต่ทว่าการจากไปของซินโย่วทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงเปลี่ยนแผน
ซินซินถูกพวกคหบดีพวกนั้นสังหาร ก็เพราะกลัวซินซินกลับมากล่อมให้เขาผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ยกเลิกคำสั่งปิดกั้นเส้นทางทางทะเล
ตอนนี้ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ไปแล้ว คำสั่งยกเลิกปิดกั้นเส้นทางทางทะเลยังไม่เกิดขึ้น อาโย่วไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีคนกังวลว่าอาโย่วจะกลับมาอีกแล้วคิดเรื่องชั่วร้ายอีกหรือไม่
เขาบอกกับอาโย่วว่าจะไม่มีทางปล่อยให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสองอีก เรื่องนี้ก็เช่นกัน เขาจะยกเลิกคำสั่งปิดกั้นเส้นทางทางทะเล จัดการเรื่องนี้ไว้ก่อน อาโย่วก็จะไม่ถูกคนระแวงหมายเอาชีวิตแล้ว
“ก็ไม่รู้ว่าอาโย่วไปถึงที่ใดแล้ว” องค์หญิงเจาหยางถอนหายใจ
ซินโย่วกับเฮ่อชิงเซียวเดินทางไปทางตะวันตก ไปซีอวี้เที่ยวชมทิวทัศน์ ‘วิ่งทะยานไปบนผืนทะเลทรายสีเหลืองสุดขอบฟ้า’ เพื่อสัมผัสประสบการณ์อิสระก่อน พอไปถึงทางใต้ก็เป็นหน้าร้อนแล้ว
“เฮ่อชิงเซียว ยังจำได้ไหมว่าที่นี่คือที่ใด”
เฮ่อชิงเซียวมองดูสาวน้อยสีหน้ารอคอยก็ยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอน ไม่มีทางลืม นี่คืออำเภอหลิงซาน ตอนนั้นพวกเรามาที่นี่ก็เป็นฤดูกาลราวนี้”
“บ้านพี่นายพรานก็อยู่อำเภอหลิงซาน พวกเราไปเยี่ยมพวกเขากันเถอะ”
“ได้”
“พวกเรานำของขวัญใดไปดี”
…
ทั้งสองหารือกันไป คุยเล่นกันไป ดังสองสามีภรรยาไปเยี่ยมญาติสนิท
พอถึงบ้านนายพราน ยังไม่ทันเคาะประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมา
เป็นเสียงทารกร้องไห้
ซินโย่วสบตากับเฮ่อชิงเซียว เผยรอยยิ้มให้กัน ดูท่านายพรานแต่งภรรยาและมีลูกน้อยแล้ว
“เฮ่อชิงเซียว เจ้าไปเคาะประตูเถอะ” ซินโย่วผลักเฮ่อชิงเซียวไปด้านหน้า
เฮ่อชิงเซียวยกมือเคาะประตู ไม่รู้เหตุใดในใจจึงรู้สึกเครียดขึ้นมา
“ผู้ใด?” ตอนประตูเปิดออกก็เห็นใบหน้าดำเมี่ยมของนายพราน
พอเห็นทั้งสองคน นายพรานก็นิ่งอึ้ง ก่อนจะเผยสีหน้าตกใจระคนยินดี “เสี่ยวเฮ่อ น้องสะใภ้ ท่านแม่ รีบออกมาเร็ว เสี่ยวเฮ่อพาภรรยามาเยี่ยมพวกเราแล้ว!”
ไม่นานมารดานายพรานก็ก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว บิดหูบุตรชายเอ่ยว่า “ตะโกนเสียงดังเช่นนี้ทำไมกัน ทำเหอเป่าตกใจ จะทำอย่างไร”
มารดานายพรานด่านายพรานเสร็จ ก็รีบดึงซินโย่วกับเฮ่อชิงเซียวเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่หุบ “หลายวันก่อนยังบอกว่าไม่รู้พวกเจ้าสองคนจะมาเยี่ยมพวกเราเมื่อไร คาดไม่ถึงว่าในที่สุดก็มาแล้ว…เสี่ยวเฮ่อ เจ้ายังคงขาวเหมือนเดิม ภรรยาเจ้าอ้วนกว่าตอนนั้น รูปงามกว่าเดิม…”
ในลานมีหญิงสาวอุ้มทารกยืนอยู่ มารดานายพรานพูดไม่หยุด “นี่คือพี่สะใภ้พวกเจ้า เพราะพวกเจ้าสองคน เขาจึงได้แต่งภรรยาได้ เหอเป่าก็ครึ่งขวบแล้ว…เหอเป่าชื่อว่าเสี่ยวเหอ เหอจากคำว่าเหอเหมียว (แปลว่าต้นข้าว) …”
นายพรานหัวเราะอธิบายเสียงดัง “พอท่านแม่เห็นว่าเป็นลูกชายก็ตั้งชื่อนี้ บอกว่าเวลาเรียกจะได้คล้ายว่ากำลังเรียกเสี่ยวเฮ่อ วันหน้าจะได้หล่อเหลาเหมือนเจ้า”
เฮ่อชิงเซียว “…”
ซินโย่วเม้มปากยิ้ม “ท่านน้าตั้งชื่อเก่งจริง”
พอเวลารับประทานอาหาร มารดานายพรานก็คีบน่องไก่ให้สะใภ้หนึ่ง ให้ซินโย่วอีกหนึ่ง “เสี่ยวเฮ่อ พวกเจ้ามีทารกน้อยแล้วหรือยัง”
ครั้งนี้กลายเป็นซินโย่วหน้าร้อนผ่าวแทน “ยังไม่มีเจ้าค่ะ”
“ข้ามองก็รู้ว่ายังไม่มี ควรมีลูกสักคนได้แล้ว ทารกน้อยนี่มีเร็วไปไม่ดี มีช้าไปก็ไม่ดี…”
ซินโย่วก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ทราบแล้ว ท่านน้า”
มารดานายพรานรบเร้าให้ทั้งสองพักสักคืน ย่อมจัดให้หนึ่งห้อง
อากาศในหุบเขามิได้ร้อนมาก กลางคืนถึงกับเย็นสบาย
เฮ่อชิงเซียวโอบกอดซินโย่ว ในใจรุ่มร้อน
“อาโย่ว…” เขากระซิบเรียกเบาๆ พลางยื่นมือไป
ซินโย่วคว้ามือเขาไว้ ส่งเสียงกระซิบเบายิ่งกว่า “อยู่บ้านผู้อื่น อย่าเหลวไหล”
“ข้ารู้…” เขาปล่อยมือลงกุมมือซินโย่วไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น หมอกยังหนา ทั้งสองก็กล่าวอำลานายพราน ไปสมทบกับเชียนเฟิงและผิงอันยังที่พักอีกแห่ง ก่อนเดินทางไปกว่างเฉิง
ซินโย่วได้ยินระหว่างเดินทางว่ามีประกาศยกเลิกคำสั่งปิดกั้นเส้นทางทางทะเลออกมาแล้ว พอไปถึงกว่างเฉิงก็ได้เห็นเรือกางใบริมท่าเรือแน่นขนัด ภาพแห่งความรุ่งเรือง
ซินโย่วนำทางไปยังสถานที่ที่เคยมาพักครั้งก่อนระยะหนึ่ง ก็เห็นเสี่ยวเหลียน
หลังตื่นเต้นยินดีผ่านไป เสี่ยวเหลียนก็คำนับเฮ่อชิงเซียว “ท่านเขย”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้าทักทายกลับด้วยสีหน้านิ่งสงบ น่าเสียดายปลายหูแดงได้เปิดโปงความหน้าบางของเขาแล้ว
ในห้อง ซินโย่วดื่มน้ำชาแล้วก็เอ่ยว่า “ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”
“รับชาวเรือที่มีประสบการณ์ออกทะเลมาแล้ว พี่หกกำลังฝึกฝนพี่น้องโรงนาอูอวิ๋นเรา…”
“พี่น้องโรงนาอูอวิ๋น?”
“คุณหนูไม่รู้?” เสี่ยวเหลียนเห็นซินโย่วส่ายหน้าก็อธิบายว่า “สองเดือนกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็มาถึงที่นี่ รวมแล้วแปดสิบกว่าคน พี่หกไม่ได้ติดตามเรือราชสำนักไป แต่อยู่สอนพวกเขา…”
เสี่ยวเหลียนลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยเบาๆ ว่า “พวกเขาคิดติดตามคุณหนู ได้ยินว่าฝ่าบาทกับองค์หญิงใหญ่ทรงทราบแล้ว ไม่ทราบว่าคุณหนูยินดีพาพวกเขา…”
ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดไม่ยินดี พาพวกเขาไปด้วยดีกว่าพาคนแปลกหน้าไปด้วย”
ส่วนในบรรดาคนเหล่านี้จะมีคนส่งข่าวให้คนผู้นั้นหรือไม่ ก็ไม่มีอันใด ไปถึงดินแดนโพ้นทะเล คนบนเรือลำนี้ของพวกนางก็จะรวมกันเป็นหนึ่ง ทำได้เพียงแค่รู้ร่องรอยนาง นางไม่กลัว
ได้ยินซินโย่วเอ่ยเช่นนี้ เสี่ยวเหลียนก็ยิ้มหน้าบาน “เช่นนั้นก็ดีมากเจ้าค่ะ!”
ซินโย่วจ้องมองเสี่ยวเหลียนทีหนึ่ง ไม่ได้ถามนางกับหัวหน้าหกเป็นอย่างไร
หากมีใจรักกัน ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกสอบถามมากความ
ฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วง ลมทะเลแรงมาก ซินโย่วไม่รีบร้อนเดินทางออกทะเล แต่ถือโอกาสฝึกซ้อม และสนทนากับบรรดาเจ้าของเรือ ทำความเข้าใจกับสภาพท้องทะเลในด้านต่างๆ
เตรียมตัวพร้อมเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้เวลากางใบเรือออกทะเล
“คุณหนู ท่านเขย ขึ้นเรือขอรับ” หัวหน้าหกตะโกนดัง
บรรดาโจรภูเขาจากค่ายอูอวิ๋น ต่อมาเป็นชาวนาโรงนาอูอวิ๋น ตอนนี้เป็นคนงานบนเรือใหญ่ ตะโกนดังตาม “คุณหนู ท่านเขย ขึ้นเรือขอรับ….”
ซินโย่วกับเฮ่อชิงเซียวจูงมือกันขึ้นเรือใหญ่ที่เฝ้าขัดเงาทุกวันคืนท่ามกลางเสียงหัวเราะครึกครื้น
เรือใหญ่ค่อยๆ แล่นออกไปไกล รับแรงลมกระทบคลื่น เดินทางไปยังอีกฟากฝั่งที่ไกลออกไป
ซินโย่วมองไปยังฟากฝั่งที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง แย้มยกริมฝีปากยิ้ม
นางไม่เคยไปดินแดนโพ้นทะเล สถานที่ที่ไม่เคยพบเห็น ถือโอกาสที่ยังหนุ่มยังสาวไปเที่ยวชมกับคนรักสักหน่อย
“อาโย่ว”
“อืม”
“เฮ่อชิงเซียวเป็นชายที่โชคดีที่สุดในโลก”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
(จบบริบูรณ์)
……….