สาวใช้ตัวป่วนของท่านแม่ทัพ - ตอนที่ 52
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านหมอหลวง”
“เป็นที่น่าพอใจ ท่านแม่ทัพหยางไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ แล้ว แต่ยังคงต้องพักฟื้นอีกสักระยะ เพราะมีแผลฉกรรจ์ที่หน้าท้องและร่างกายยังคงอ่อนแอ”
“ขอบพระคุณมากนะเจ้าคะที่ช่วยรักษาคู่หมั้นของข้าจนอาการดีขึ้น”
“มิเป็นไร มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เชิญพวกท่านตามสบาย ข้าต้องไปรายงานฝ่าบาทให้ทรงทราบเสียก่อน”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อท่านหมอหลวงเดินออกไปจากห้องแล้ว ทั้งหมดก็รีบเข้ามายืนข้างเตียงอย่างพร้อมหน้ากัน หยางจื่อถงได้ยินเสียงจางหมิงซวนเรียกดังกว่าใครจึงกลอกลูกตาไปตามเสียง เมื่อรู้ว่าเป็นคู่หมั้นก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะคนที่เขาอยากเจอหน้าที่สุดตอนนี้คือเหม่ยหวาและบุตรชาย
“เหม่ยเหมย ซินอวี่ สะ…เสี่ยวซูลูกพ่อ”
ท่านแม่ทัพหยางพยายามเปล่งเสียงออกมา หยาดน้ำตาไหลหลั่งเมื่อเห็นคนที่รักพร้อมหน้า แม้จะเหลือมารดาอีกหนึ่งคนที่อยากเจอหน้า แต่แค่นี้ก็ดีใจเหลือเกินแล้ว เมื่อไม่ได้รับความสนใจเหมือนอย่างคนอื่น จางหมิงซวนก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ แสดงสีหน้าเกี้ยวกราดใส่ทุกคนแล้วเดินออกไปทันที เห็นอย่างนั้นซินอวี่ก็ยิ้มุมปากอย่างพอใจ
“ไปซะได้ก็ดีก้างขวางคอชิ้นโต” กล่าวแล้วก็หันมาเอ่ยกับพี่ชาย “ท่านพี่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ วันพรุ่งท่านแม่ถึงจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง”
หยางจื่อถงพยักหน้ายิ้ม ๆ จากนั้นสายตาคมจึงเลื่อนไปมองดูเด็กชายตัวน้อยที่ยืนน้ำตาคลอ ลูกชายของเขาสินะ ช่างน่ารักน่าชัง แม้ไม่เคยเห็นหน้ากันสักครั้งแต่ก็รู้สึกรักมากเหลือเกิน เมื่อได้สบตากับอดีตสาวใช้ตัวป่วนน้ำตายิ่งไหลพรากกว่าเดิม ไม่นึกว่าชาตินี้จะได้มีโอกาสพบหน้า เขานึกว่านางจะโกรธจนไม่คิดจะมาดูดำดูดีกันแล้ว ทั้งสองส่งยิ้มให้กัน แค่มองตาก็รับรู้ว่าภายในใจนั้นกำลังพูดอะไรบ้าง
“เข้ามาหาพ่อใกล้ ๆ สิเสี่ยวซู”
เด็กชายมองหน้ามารดา เหม่ยหวาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เสี่ยวซูจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้น หยางจื่อถงพยายามจะลุกขึ้นแต่รู้สึกเจ็บที่แผลจนต้องร้องโอ๊ย ทำให้คนที่มองดูอยู่ต้องร้องปรามเอาไว้ ซินอวี่รีบพยุงร่างพี่ชายกลับลงนอนเช่นเดิม
“รอให้หายดีกว่านี้ก่อนค่อยลุกขึ้นนะเจ้าคะ” เหม่ยหวาเอ่ยปากครั้งแรกหลังจากเขาฟื้นขึ้นมา
“ข้าเข้าใจแล้ว” เขายิ้มแล้วหันมามองบุตรชาย เอื้อมมือไปสัมผัสแก้มจ้ำม่ำอย่างเอ็นดู “เจ้าโกรธพ่อหรือไม่เสี่ยวซู”
“ทำไมข้าต้องโกรธท่านพ่อด้วยขอรับ”
“ที่พ่อทิ้งเจ้ากับแม่ให้ต้องอยู่เพียงลำพัง จนเจ้าโตป่านนี้เราเพิ่งจะได้เจอหน้ากัน”
“ท่านพ่อต้องไปทำหน้าที่รับใช้ชาติ เป็นวีรบุรุษ ข้าต้องภูมิใจในตัวท่านพ่อมากกว่า โตขึ้นข้าอยากจะเก่งเหมือนท่านพ่อขอรับ”
“เจ้าเป็นเด็กที่ช่างพูดช่างเจรจายิ่งนัก แม้เราเพิ่งจะเคยเจอหน้ากันแต่พ่อก็รักและคิดถึงเจ้าตลอดรู้หรือไม่”
“ข้าก็รักและคิดถึงท่านพ่อมากเช่นกันขอรับ ท่านพ่อจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้วใช่ไหมขอรับ”
“ใช่ พ่อจะไม่ไปไหนอีกแล้ว พ่อจะอยู่กับเจ้าตลอดไป”
“เย้! ข้าดีใจที่สุดเลยขอรับ ท่านแม่สัญญากับข้าแล้วว่าหากท่านพ่อกลับมา จะย้ายเข้ามาอยู่ในจวนด้วยกัน ต่อไปนี้ข้าก็จะมีทั้งท่านพ่อและท่านแม่อย่างพร้อมหน้าแล้ว” เด็กชายกระโดดโลดเต้นพร้อมทั้งกล่าวด้วยความดีใจเป็นที่สุด นั่นทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามต่างก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า หยางจื่อถงใช้โอกาสนี้จ้องมองเหม่ยหวาอย่างลึกซึ้ง ราวกับต้องการบอกนางว่าเขาคิดถึงจับใจ
“เสี่ยวซูน้าว่าเราออกไปข้างนอกก่อนดีไหม ให้พ่อกับแม่เจ้าได้สนทนากันให้หายคิดถึง แล้วเราค่อยกลับเข้ามาอีกครั้ง”
“ขอรับท่านน้า”
ซินอวี่ยิ้มให้คนทั้งสองก่อนจะรีบจูงมือหลานชายออกไปด้านนอก เมื่ออยู่กันเพียงลำพังแล้วเหม่ยหวาก็เดินไปหยิบเก้าอี้ไม้มาวางไว้ข้างเตียง ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงเพื่อจะได้สนทนากับท่านแม่ทัพได้สะดวก นางส่งยิ้มให้เขาผ่านม่านน้ำตา เมื่อได้เห็นใบหน้าคมเข้มนี้ใกล้ ๆ อีกครั้ง
“ข้าดีใจ ที่ท่านแม่ทัพชนะศึกกลับมา”
“ข้าก็ดีใจที่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกครั้ง ข้าขอโทษที่เคยไล่เจ้าออกจากจวน จนทำให้เจ้ากับลูกต้องตกระกำลำบาก”
“ข้ามิเคยลำบากเลยสักนิดเจ้าค่ะ ดีเสียอีกได้อยู่กับครอบครัว คุณชายซุนไห่บอกข้าหมดทุกอย่างแล้วว่าท่านทำเช่นนั้นเพราะอะไร ข้าเข้าใจท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
“ที่เสี่ยวซูบอกว่าเจ้าจะยอมย้ายกลับเข้ามาอยู่ในจวน เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ เพื่อความสุขของลูกข้าย่อมทำได้ทุกอย่าง”
“แค่นั้นหรือ”
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ต่างคนต่างก็ทำหน้าเหมือนมีคำถามค้างคาใจ แม้ไม่ควรน้อยใจแต่หยางจื่อถงคิดว่าที่นางยอมย้ายเข้ามาในจวนเพราะเห็นแก่ความสุขของลูกเท่านั้น
“เพียงเพราะเสี่ยวซูคนเดียวสินะที่ทำให้เจ้ายอม คนอย่างข้าคงไม่มีโอกาสได้ครอบครองหัวใจเจ้าอีกแล้ว”