สาวใช้ตัวป่วนของท่านแม่ทัพ - ตอนที่ 14
นางได้แต่ยิ้มรับอย่างเข้าใจ ทั้งที่ในใจมีแต่ความผิดหวังและเสียใจ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้เพราะตนเองเป็นเพียงบ่าวรับใช้ นางเหลือบตาขึ้นมองนายท่านแวบหนึ่งก็เจอกับรอยยิ้มร้ายกาจ จึงทำได้เพียงทำหน้าบูดบึ้งตอบกลับไปเท่านั้น
“วันนี้ลูกจะออกไปนั่งสูดอากาศที่นอกจวนเสียหน่อยขอรับท่านแม่”
“ไปที่ใดงั้นหรือ”
“จุดชมวิวริมแม่น้ำนอกเมือง ที่ลูกเคยไปบ่อย ๆ ขอรับ อยู่แต่ในจวนนานแล้วออกไปข้างนอกบ้างคงจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้”
“แล้วแต่เจ้าเลย แล้วจะพาเหม่ยเหมยไปด้วยหรือไม่”
“ขอรับท่านแม่”
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกันเถิด แม่ไม่อยากให้กลับมาค่ำ ๆ มืด ๆ กลัวอันตราย”
“ขอรับท่านแม่”
หยางฮูหยินยิ้มรับแล้วเดินกลับเข้าไปพักผ่อน ปล่อยให้เหม่ยหวานั่งอยู่กับนายท่านเพียงลำพัง นางเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นสบตา คนที่เพิ่งจะยืนขึ้นเหล่ตามองแล้วเดินเอามือขัดหลังออกไป
“ตามข้ามา”
เหม่ยหวาลุกขึ้นอย่างอิดออดเดินตามหลังนายท่านไป เว้นระยะห่างพอประมาณ เมื่อเขาหยุดนางก็หยุด เมื่อเขาเดินต่อนางก็เดินตามหลังไป ไม่พูดไม่จาผิดแปลกจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง หยางจื่อถงรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว
“เจ้าเป็นบ้าอะไร ไม่ยอมพูดยอมจา”
“เปล่านะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้เป็นอะไร ก็นายท่านไม่ถามบ่าวก็ไม่รู้จะพูดอะไร”
“แต่ก่อนข้าไม่ถามเจ้าก็ยังพูดมากจนข้ารำคาญ แล้วตอนนี้ทำไมเปลี่ยนไป”
“บ่าวไม่ได้เปลี่ยน บ่าวเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ”
นางเถียงกลับหน้าตาเฉย แล้วก้มหน้าลงเช่นเดิม หยางจื่อถงถอนหายใจเสียงดัง แล้วหมุนตัวเดินต่อไปอย่างเร่งรีบ ทำไมเขาจะต้องรู้สึกโมโหเมื่อเห็นนางทำหน้าเฉยเมยเช่นนั้น
หลังจากนั้นท่านแม่ทัพก็นั่งรถม้าออกจากจวน มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่นอกเมือง มันคือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่หยางจื่อถงมักจะไปนั่งเล่นกู่เจิงเป็นประจำเมื่อมีเวลาว่าง บางครั้งก็ชักชวนเพื่อนร่วมกองทัพไปสังสรรค์กันที่นั่นด้วย ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บมาก็ไม่ได้มีโอกาสไปที่นั่นอีกเลย จนถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตนเองอยู่ในจวนนานเกินไป ต้องออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกเสียบ้าง และแน่นอนว่าจะต้องพาสาวใช้ตัวป่วนมาด้วย
เมื่อถึงที่หมายซึ่งคือศาลาริมลำธารสายหนึ่งที่มีต้นน้ำมาจากยอดเขาหลี่ซาน เหม่ยหวาก็ทำความสะอาดพื้นที่ ตั้งโต๊ะวางกู่เจิงเตรียมไว้ให้นายท่าน กว่าจะเสร็จทำเอาซะเหงื่อไหลไคลย้อยเลยทีเดียว
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะนายท่าน” นางบอกแล้วทำทีจะเดินตรงไปยังลำธาร
“แล้วนั่นเจ้าจะไปไหน”
“บ่าวจะไปล้างหน้าที่ลำธารเจ้าค่ะ เตรียมพื้นที่ให้นายท่านจนเหงื่อเต็มตัวไปหมดแล้ว” นางว่าพลางยกมือขึ้นซับเหงื่อบนแก้มขาวนวลเนียน เห็นริมฝีปากอวบอิ่มนั่นทีไรหยางจื่อถงก็คิดอะไรเกินเลยทุกครั้ง จนต้องเสตาไปทางอื่นแล้วปัดมือไล่นางให้ไป
เหม่ยหวาล้างหน้าล้างตาจนสดชื่นดีแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืนทอดสายตามองความงดงามของยอดเขาสูง ที่มีเมฆหมอกปกคลุมหนาตา เบื้องล่างมีลำธารที่โค้งงอไปมาราวกับงูที่กำลังเลื้อย ใบไม้หลากสีสันช่วยเพิ่มความงดงามให้กับผืนป่าแห่งนี้ นางรู้สึกดีกับการได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก
“อากาศดีสุด ๆ เลย เสียอย่างเดียวต้องมากับคนอย่างนั้น เอาแต่ออกคำสั่ง ชิ อดทนอีกนิดนะเหม่ยเหมย อีกไม่นานเจ้าจะได้ไปรับใช้ฮูหยินแล้ว”
ในขณะที่นางกำลังนินทานายท่านอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกูเจิงที่นายท่านบรรเลงดังขึ้นเป็นจังหวะที่ชวนฟัง ไม่บ่อยนักที่นางจะได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะเช่นนี้ เสียงนั่นราวกับกำลังขับกล่อมให้คนที่ได้ยินเคลิ้มตาม และฉายรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่มีนิสัยเย็นชาเช่นนั้น จะสามารถบรรเลงเพลงออกมาได้ซาบซึ้งกินใจเช่นนี้
“ช่างไพเราะเหลือเกิน”
นางหมุนตัวกลับไปมองยังศาลาไม้หลังนั้น ที่มีท่านแม่ทัพหยางกำลังนั่งกรีดกรายนิ้วบนเส้นสายของกู่เจิงด้วยความคล่องแคล่ว ท่วงท่าของเขาช่างสง่างามเหนือบุรุษใด จนสาวน้อยเหม่ยหวาได้เห็นก็ต้องยืนอึ้ง แววตาของนางวาววับเป็นประกายดั่งต้องมนตร์ ริมฝีปากอวบอิ่มฉายรอยยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ยืนฟังจนนายท่านเล่นจนจบเพลงแล้วเดินเข้าไปหา นั่งลงข้าง ๆ อย่างนึกสนใจกับเจ้าเครื่องดนตรีชิ้นนี้
“ได้ยินเสียงกู่เจิงของข้าถึงกับยืนอึ้งเลยหรือ”
ได้ยินอย่างนั้นเหม่ยหวาก็ทำหน้าเลิ่กลั่กเหมือนคนทำความผิดที่โดนจับได้ นางพยายามไม่สบตากับนายท่าน เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นความประหม่านี้
“ก็งั้น ๆ ล่ะเจ้าค่ะ ไม่ได้ไพเราะถึงขนาดนั้น”
“จริงหรือ”
“จริงที่สุดเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นลองเล่นให้ข้าดูหน่อยสิ ข้าอยากจะรู้ว่าเสียงอันไพเราะของเจ้ามันเป็นอย่างไร” ไม่ว่าเปล่าหยางจื่อถงดึงร่างอันบอบบางให้มานั่งบนตัก กักตัวสาวใช้ไว้ด้วยวงแขนแกร่ง
“บะ…บ่าวเล่นไม่เป็นเจ้าค่ะ”
“แล้วทำไมถึงกล้าบอกว่าเสียงกู่เจิงของข้าไม่ไพเราะ”